บทที่ 243 หว่านเมล็ดพันธ์ุความไม่ลงรอ

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 243 หว่านเมล็ดพันธ์ุความไม่ลงรอย

บทที่ 243 หว่านเมล็ดพันธ์ุความไม่ลงรอย

การที่พวกหนานจ้าวถูกนำตัวไปขังคุกเท่ากับเป็นการส่งคำเตือนให้พวกเขา

ว่าฮ่องเต้ต้าเซี่ยผู้นี้มิเคยเกรงกลัวสิ่งใด!

คนอื่น ๆ ล้วนไม่เอ่ยถึงหนานจ้าวอย่างรู้หน้าที่ และยิ่งเพิ่มความระมัดระวังที่มีต่อฮ่องเต้ต้าเซี่ยมากขึ้น

“ทุกท่าน การล่าสัตว์ในวันนี้เริ่มขึ้นแล้ว หวังว่าทุกท่านจะทำได้ดีตั้งแต่ก้าวแรก!”

ต้าเซี่ยนำโดยเหล่าองค์ชายในชุดขี่ม้าสะอาดสะอ้าน ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยพลังแลดูมีชีวิตชีวา เหล่าบุรุษดูมุ่งมั่นและฮึกเหิม พวกเขาต้องการจะเฉิดฉายในการล่าสัตว์ครั้งนี้

ในหมู่ของพวกเขายังมีสตรีหลายนางที่ฮึกเหิมไม่แพ้กัน ใบหน้าเย่อหยิ่งแฝงไว้ด้วยความมั่นใจ ดูงดงามองอาจในชุดขี่ม้า ท่วงท่าไม่ด้อยไปกว่าเหล่าบุรุษ

เมื่อสิ้นคำสั่งของหนานกงสือเยวียน ทุกคนก็พุ่งทะยานเข้าไปในป่า

เสี่ยวเป่าถูกพี่ใหญ่กอดไว้ในอ้อมแขน นางชะโงกคอน้อย ๆ ออกไปดูอย่างรู้สึกอิจฉา

นางก็อยากไปล่าสัตว์เหมือนกัน แต่ช่วยไม่ได้ที่ขาของนางสั้นป้อมแตะไม่ถึงโกลนม้าเสียด้วยซ้ำ!

เมื่อเห็นคณะล่าสัตว์เคลื่อนตัวเข้าไปในป่า เสี่ยวเป่าก็บ่นมุบมิบและนั่งลงแต่โดยดี

หนานกงฉีซิวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ยังมีการล่าสัตว์ในสารทฤดูปีหน้าอยู่ ทั้งยังไม่มีพวกทูตมาเข้าร่วม เสด็จพ่ออาจจะพาเจ้าไปด้วย”

ดวงตาของเสี่ยวเป่าทอประกาย “เสี่ยวเป่าจะถามตอนท่านพ่อกลับมา”

เมื่อนางเห็นสายตาของพี่ใหญ่มองไปทางป่าเช่นกันก็รู้สึกเศร้าใจ

“ปีหน้าพี่ใหญ่ก็จะเดินได้ ขี่ม้าได้ แล้วไปล่าสัตว์กับเสี่ยวเป่าได้ด้วย!”

หนานกงฉีซิวก้มมองนาง เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏในแววตา

“เช่นนั้นพี่ขอยืมคำอวยพรของเสี่ยวเป่านะ”

ในฐานะองค์ชายใหญ่ แม้ว่าหนานกงฉีซิวจะมิอาจออกไปล่าสัตว์กับเสด็จพ่อและคนอื่น ๆ แต่ก็ต้องนั่งรักษาการณ์อยู่แนวหลัง

คนที่ไม่ได้ไปล่าสัตว์ก็มีไม่น้อย จึงมีเรื่องให้ต้องจัดการพอสมควร

เสี่ยวเป่าออกไปเที่ยวเล่นกับพี่หก พี่เจ็ดและก็พี่แปด ขาของเด็กชายทั้งสามก็ยังสั้นเกินกว่าจะเหยียบโกลนม้าได้ในตอนนี้

หนานกงฉีเฉินสาบานว่า “รอให้โตขึ้นอีกปี ข้าจะต้องขี่ม้าได้อย่างแน่นอน ปีหน้าข้าจะต้องออกไปล่าสัตว์กับพวกเสด็จพ่อให้ได้”

เขาจับมือคู่เล็กของน้องสาว ก้มหน้ามองด้วยสายตามุ่งมั่น

“ปีหน้าข้าจะจับจิ้งจอกมาให้เจ้า”

เสี่ยวเป่าตอบเสียงหวาน “เสี่ยวเป่ามีหงหงแล้ว”

เสี่ยวปารีบพุ่งตัวเข้ามาถาม “เช่นนั้นน้องหญิงชอบสิ่งใด ข้าขี่ม้าได้เมื่อไหร่จะไปจับมาให้เจ้า”

เสี่ยวเป่าส่ายหัว “ไม่เอา เสี่ยวเป่ามีเสี่ยวไป๋ เฟิงเฟิง ถวนจื่อ ลูกหมาป่าของพวกท่านพี่ แล้วก็หงหง…”

ทุกครั้งที่พูดชื่อก็จะงอลงหนึ่งนิ้ว จากนั้นก็กระดิกนิ้วไปมา “มีเจ้าสัตว์ตัวน้อยเป็นเพื่อนเล่นเสี่ยวเป่าเยอะแล้ว”

“เด็กโง่ เหตุใดเจ้าถึงรวมเสือสองตัวนั้นไปด้วยเล่า ตัวนั้นเจ้าเล่นไม่ได้ พวกหนานจ้าวเป็นคนให้มา คนพวกนั้นคิดร้ายกับเสด็จพ่อนะ!”

พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เสี่ยวเป่าก็รู้สึกโกรธขึ้นมาบ้าง

โชคดีที่นางอยู่ใกล้เสด็จพ่อ จึงใช้พลังวิญญาณควบคุมเจ้าสิ่งไม่ดีที่อยู่ในตัวท่านพ่อได้ทันเวลา มิเช่นนั้นท่านพ่อต้องป่วยอีกแน่!

“คนไม่ดี!”

พวกเขาคิดจะทำร้ายท่านพ่อ นิสัยไม่ดีที่สุด!

“ถูกท่านพ่อจับขังคุก สมน้ำหน้าแล้ว!”

หนานกงฉีเฉินยิ้มพลางบีบแก้มก้อนนุ่มนิ่มของนาง สัมผัสนุ่มนวลชวนให้รู้สึกดี

“อย่างพวกมันน่ะหรือจะทำร้ายเสด็จพ่อได้ รอชาติหน้าเถอะ!”

ดวงตาคู่เล็กของหนานกงฉีรุ่ยยิ้มอย่างเย้ยหยัน “คิดเพ้อเจ้อ”

หนานกงฉีจวิน “พวกเรายังกลัวเสด็จพ่อแทบตาย พวกมันช่างใจกล้าจริง ๆ!”

สมาชิกตัวน้อยของครอบครัวกำลังสุมหัวรุมประณามพวกหนานจ้าว จากนั้นเสี่ยวเป่าก็ชื่นชมท่านพ่อไม่ขาดปาก พร้อมกับทำท่าทางประกอบไปด้วย

“ท่านพ่อเก่งที่สุด ยิงธนูลอยฟิ้ว แต่ท่านพ่อปิดตาเสี่ยวเป่าเอาไว้ มหาปุโรหิตกับองค์ชายนั่นกลัวจนตัวแข็งทื่อไปเลย…”

ทุกคำพูดล้วนแต่เป็นการโอ้อวดท่านพ่อ

พี่ชายทั้งสามคน “…”

รู้แล้ว ๆ เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว

“ในเมื่อไปล่าสัตว์ไม่ได้ พวกเราก็ไปตกปลากันเถอะ ดีกว่าไม่มีอะไรทำ”

พวกเด็กน้อยออกตามหาลำธารสายเล็ก ๆ เพื่อตกปลา ทางด้านหนานกงฉีซิวก็กำลังต้อนรับแขกท่านหนึ่ง

“จี้หนานอ๋องแห่งเป่ยเยว่ ท่านมีธุระอันใดกับข้าหรือ”

ตรงหน้าหนานกงฉีซิวมีกระดานหมากล้อมซึ่งมีตัวหมากสีขาวและสีดำจำนวนมากวางอยู่

จี้หนานอ๋องนั่งลงตรงข้ามเขา และวางหมากสีดำในมือลงบนกระดาน

ทั้งสองผลัดกันวางหมาก เป็นเวลาพักหนึ่งที่พวกเขาไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใด

“องค์ชายใหญ่ช่างใจกว้างยิ่งนัก เวลาเช่นนี้ยังสามารถเล่นหมากล้อมกับข้าได้อย่างคลายกังวล”

ในที่สุดชายวัยกลางคนก็พูดขึ้น

มิผิดไปจากที่คิด เขามาเพื่อตั้งใจยุยงให้แตกคอ

หนานกงฉีซิวเพียงแย้มยิ้มบางรับ “ข้าเป็นคนไร้ประโยชน์ หากไม่ทำใจยอมรับในเรื่องนี้ คนที่ต้องทนทุกข์ทรมานก็มีเพียงตัวข้า”

จี้หนานอ๋องจ้องมองเขา จะว่ายิ้มก็ดูไม่ใช่เท่าใดนัก “องค์ชายใหญ่คิดเช่นนั้นจริงหรือ ข้าได้ยินมาว่าเมื่อก่อนองค์ชายใหญ่เก่งกาจมีความสามารถเป็นที่เลื่องลือ ไม่ว่าราษฎรหรือขุนนางน้อยใหญ่ก็ล้วนชื่นชมในความสามารถของท่าน ช่างน่าเสียดาย น่าเสียดายจริง ๆ…”

เขาเห็นว่าหนานกงฉีซิวยังมีท่าทีเฉยเมย ในใจก็อดชื่นชมองค์ชายใหญ่ผู้นี้มิได้

อายุยังน้อยทว่าไม่หุนหันพลันแล่น ควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ชื่อเสียงเรียงนามไม่ด้อยไปกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกัน

“หากไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น องค์ชายใหญ่ในวันนี้จะยังเป็นองค์ชายใหญ่หรือไม่”

จี้หนานอ๋องวางหมากลงบนกระดาน กินหมากขาวไปได้ไม่น้อย

หนานกงฉีซิวเงียบงัน หากว่าฉลาดพอก็ย่อมเข้าใจในความหมายแม้จะไม่ได้พูดออกมา

หากว่าขาทั้งสองข้างของหนานกงฉีซิวใช้การได้ เขาก็จะไม่ใช่องค์ชายใหญ่ แต่เป็นองค์รัชทายาท

เมื่อเห็นว่าองค์ชายใหญ่ยังนิ่งเงียบ จี้หนานอ๋องจึงพูดต่อ “จะว่าไป ข้าได้ยินเรื่องสนุกตอนที่มาถึงต้าเซี่ย พูดกันว่าองค์หญิงไท่จ่างแห่งจวนเซวียนผิงโหวกับนางในวังผู้นั้น อ้อ ไม่สิ ตอนนี้ควรจะอยู่ที่สำนักชีเป็นคนที่ทำร้ายท่านจนขาพิการ”

หนานกงฉีซิววางหมากขาวล้อมกินหมากดำ

“ขอบคุณที่อ่อนข้อให้”

เขาเอ่ยเสียงเรียบ

จี้หนานอ๋องหัวเราะขึ้น “หรือว่าองค์ชายใหญ่มิอยากล้างแค้นให้ตนเอง”

ความรู้สึกจูงใจแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา ด้วยคำพูดก่อนหน้านี้ หากว่าในใจรู้สึกแค้นเคืองก็คงเกิดความคิดอยากล้างแค้นให้ตนเองอยู่บ้าง

“หรือองค์ชายใหญ่จะบอกว่าไม่อยากช่วงชิงทุกสิ่งที่เคยเป็นของท่านคืนมา แม้ว่าจวนเซวียนผิงโหวจะสิ้นไปแล้ว องค์หญิงไท่จ่างก็ตายจากไปแล้ว แต่ว่าศัตรูอีกคนของท่าน รวมไปถึงลูกชายของนางยังใช้ชีวิตอย่างสงบสุข องค์ชายรองเป็นคนแข็งแกร่ง ฉลาดหลักแหลมทั้งยังมีความสามารถ ต่อให้ตอนนี้จะไม่มีตระกูลฝั่งมารดาคอยสนับสนุน แต่ก็เป็นองค์ชายเพียงคนเดียวที่คู่ควรให้พวกขุนนางเข้าหา เดิมทีทั้งหมดนี้ควรเป็นของท่าน ท่านเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมและความรู้ความสามารถ หากไม่ใช่เพราะว่า…”

พูดมาถึงตรงนี้เขาก็เงียบลง และเห็นว่าอีกฝ่ายถือหมากสีขาวค้างไว้ อีกทั้งมุมปากยกขึ้น ปลายนิ้วพลันซีดขาว

ต่อให้มั่นคงหนักแน่นเพียงใด แต่สุดท้ายก็ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่ม มิอาจเก็บซ่อนอารมณ์ไว้ได้

“จิ๊จิ๊…ถึงแม้ท่านจะมีความสามารถเป็นเลิศ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสภาพท่านในตอนนี้ทำให้ท่านไร้วาสนาในตำแหน่งรัชทายาท ท่านต้องใช้ชีวิตอย่างระหกระเหิน ทว่าตอนนี้ลูกชายของศัตรูกลับได้ติดตามฮ่องเต้ออกไปล่าสัตว์ และอาจจะทำผลงานโดดเด่นจนได้รับคำชื่นชม แต่ท่านกลับนั่งหดหัวอยู่ที่นี่ หากเป็นข้าคงเพียงวาดหวังว่าจะได้ฆ่าเขาด้วยกระบี่ของตนเอง”

กลุก ๆ ๆ…

โถบรรจุหมากสีขาวล้มลง ตัวหมากที่ทำจากหยกขาวกลิ้งหล่นกระจัดกระจาย

นัยน์ตาของหนานกงฉีซิวจ้องมองตัวหมากบนพื้น น้ำเสียงที่ให้ความรู้สึกอ่อนโยนมาตลอดบัดนี้กลับฟังดูเยือกเย็น

“น่าเสียดายที่หมากกระดานนี้เละเทะเสียแล้ว ดูท่าวันนี้คงจะเดินหมากต่อไม่ได้ จี้หนานอ๋องเชิญกลับไปเถอะ”

จี้หนานอ๋องส่งเสียงหัวเราะ “ช่างน่าเสียดายจริง ๆ เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อน ไว้โอกาสหน้าจะมาประชันฝีมือกับท่านใหม่”

เมื่อจี้หนานอ๋องไปแล้ว อารมณ์ของหนานกงฉีซิวก็เปลี่ยนไป ไม่หลงเหลือท่าทีอดกลั้นอย่างในทีแรก

สีหน้าของเขาเรียบเฉย จากนั้นก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบ เผลอยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

“ตกปลาได้จริง ๆ เสียด้วย”