บทที่ 244 กลับมาจากล่าสัตว์

บทที่ 244 กลับมาจากล่าสัตว์

“พวกฝ่าบาทกลับมาจากล่าสัตว์แล้ว!”

พร้อมกับเสียงนั้น เสี่ยวเป่าก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าสับสนดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

นางจูงมือพวกพี่ชาย ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นมีทั้งความกระวนกระวายใจและตื่นเต้น

“ท่านพ่อล่ะ ท่านพ่อของเสี่ยวเป่าอยู่ไหน” เสี่ยวเป่าที่ห่อตัวอยู่ในเสื้อคลุมขนปุกปุยชะเง้อมองไปทั่ว

จากนั้นยังไม่วายถามเพิ่มอีกว่า “ท่านอาเจ็ด ท่านอาสี่ พวกพี่ชายเล่า”

ดูสิ คนที่เด็กน้อยเป็นห่วงมีไม่น้อยเลย

หนานกงฉีเฉินกับหนานกงฉีรุ่ยยืนขนาบข้างจูงมือเสี่ยวเป่าเดินตรงไปยังลานกว้าง โดยมีข้าราชบริพารตามมาอยู่เบื้องหลัง

“องค์ชาย องค์หญิง พวกท่านเดินช้า ๆ หน่อยเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ!”

ทว่าขาสั้น ๆ ของเด็กน้อยที่ร้อนใจอยากจะพบคนเป็นพ่อเร็ว ๆ ยังคงวิ่งเร็วจี๋

ท่ามกลางสายตาทุกคน คนแรกที่ควบม้าออกจากป่าทึบก็คือหนานกงสือเยวียนซึ่งมีสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา

เสี่ยวเป่าเพิ่งเคยเห็นท่วงท่ายามบิดาควบม้าโผนทะยานจากด้านข้างเช่นนี้เป็นครั้งแรก

แม้แต่เส้นผมยังแฝงไว้ด้วยไอสังหาร แรงกดดันทั่วร่างที่แผ่ซ่านชวนให้ยำเกรง เพียงมองปราดเดียวก็ทำให้คนรู้สึกหวาดหวั่นครั่นคร้าม

การปรากฏตัวของเขาราวกับทำให้สรรพสิ่งสูญสิ้นสีสัน สายตาของคนทุกรูปนามจดจ่ออยู่ที่เขาเพียงผู้เดียว

“ท่านพ่อ ท่านพ่อ!”

เสี่ยวเป่าไม่กลัวบิดาที่เป็นเช่นนี้เลยสักนิด กระทั่งรู้สึกภาคภูมิใจมาก ท่านพ่อช่างองอาจห้าวหาญยิ่ง!

เด็กน้อยคล้ายจะกลัวว่าอีกฝ่ายอาจมองไม่เห็นตนเอง จึงให้องครักษ์คนหนึ่งอุ้มตนเองขึ้น ก่อนจะโบกแขนเล็กจ้อยไปมาอย่างตื่นเต้น กระทั่งคำเรียกขานว่าเสด็จพ่อยังโยนทิ้งไป เอาแต่เรียกว่าท่านพ่อ ๆ อยู่อย่างนั้น

มีคนร่ำร้องอย่างตื่นเต้นดีใจ ก็มีคนที่สีหน้าหนักอึ้งเช่นกัน

จี้หนานอ๋องแห่งเป่ยเยว่ทอดถอนใจด้วยสีหน้าหนักอึ้ง “สวรรค์ช่างลำเอียงรักต้าเซี่ยโดยแท้ ฮ่องเต้ของต้าเซี่ยกลับยังเหี้ยมหาญดุดันเช่นนี้ ฉายานามเทพสงครามไร้พ่ายในปีนั้นไม่ได้เรียกกันเปล่า ๆ สามารถสังหารสายโลหิตชิงบัลลังก์มาได้ในสถานการณ์เช่นนั้น พระโอรสพระธิดาแต่ละคนของเขายังเป็นหงส์มังกรในหมู่คน ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริง ๆ”

แล้วย้อนนึกถึงบรรดาองค์ชายที่เจริญชันษาหมดแล้วของเป่ยเยว่ แต่ละคนความสามารถธรรมดา ทว่าความทะเยอทะยานกลับสูงลิ่ว

เมื่อนำสองฝ่ายมาเปรียบเทียบกัน จี้หนานอ๋องก็รู้สึกคับข้องใจ

หลายปีมานี้เสด็จพี่ของเขาสุขภาพทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ องค์ชายทั้งหลายแข่งขันกันอย่างดุเดือด เป็นเหตุให้มีความขัดแแย้งภายในไม่ขาดสาย

เป่ยเยว่ตั้งอยู่ใกล้กับต้าเซี่ยเกินไป อำนาจของต้าเซี่ยแผ่ขยายดุจตะวันยามเที่ยง หากฮ่องเต้ของต้าเซี่ยคลุ้มคลั่งเที่ยวสังหารคนไปทั่วเหมือนในข่าวลือ เขาจะไม่กังวลเลยสักนิด อย่างไรเสียก็แค่คนคลุ้มคลั่งผู้หนึ่ง ถึงจะเป็นเทพสงครามไร้พ่าย แต่เดี๋ยวก็คงทำให้อาณาจักรของตนเองล่มสลายไปในสักวัน

ทว่าความจริงที่เขาได้มาประจักษ์ด้วยตนเองกลับไม่ใช่แบบนั้น ฮ่องเต้ของต้าเซี่ยยังแข็งแรงดี ยังคงเปี่ยมบารมีในราชสำนัก เรื่องที่ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยแล้วไม่มีขุนนางฝ่ายบุ๋นบู๊คนไหนกล้าคัดค้าน แสดงให้เห็นว่าพระราชอำนาจรวมอยู่ที่บุคคลผู้เดียว ซึ่งเป็นความใฝ่ฝันของฮ่องเต้ทุกพระองค์ แต่ชนชั้นสามัญไม่มีวันทำได้ถึงขั้นนั้น

ฮ่องเต้ของต้าเซี่ยไม่เพียงมีกองทัพที่น่าเกรงขาม ความสามารถในการบริหารปกครองของเขายังไม่อาจดูเบา ปกครองอาณาจักรต้าเซี่ยได้อย่างยอดเยี่ยม ได้ยินมาว่าเขายังได้สิ่งที่สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรมาอีกด้วย

ส่วนองค์ชายแต่ละพระองค์ล้วนมีความสามารถ

องค์ชายใหญ่นั้นไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว แม้ได้รู้จักเพียงช่วงสั้น ๆ แต่จี้หนานอ๋องก็แน่ใจว่า หากขาสองข้างของเขาไม่พิการ และได้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อไปในวันหน้าจะต้องเป็นฮ่องเต้ที่ทรงพระปรีชาสามารถอย่างแน่นอน ทั้งยังเป็นฮ่องเต้ผู้เปี่ยมเมตตาทว่าไม่ขาดแคลนอุบาย ซึ่งเป็นผู้ปกครองแบบที่จำเป็นสำหรับยุคสมัยอันรุ่งโรจน์

จากข้อมูลที่เขารู้มา องค์ชายรองก็ไม่ใช่ธรรมดา ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ชายสามไม่กระจ่างนัก องค์ชายสี่มีพละกำลังมาก องค์ชายห้ามีพรสวรรค์ในการเป็นแม่ทัพ

ส่วนองค์ชายพระองค์อื่น ยามนี้ยังเยาว์ชันษาจึงยังไม่อาจบอกอะไรได้ แต่ก็ได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นอย่างดี

เขาไม่กล้าจินตนาการเลยว่าหากองค์ชายเหล่านี้ช่วยกันบริหารราชการ เกรงว่าใต้หล้าคงตกอยู่ในการควบคุมของพวกเขา

ด้วยเหตุนี้จี้หนานอ๋องจึงนึกอิจฉา ความสามารถของโอรสที่ฮ่องเต้ต้าเซี่ยให้กำเนิด ในยามนี้ไม่มีแว่นแคว้นไหนเทียบเคียงได้!

โชคยังดีที่องค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองไม่ลงรอยกัน สามารถใช้จุดนี้กระพือความขัดแย้งขึ้นมาได้ เมื่อต้าเซี่ยเกิดความขัดแย้งภายในก็คงไม่อาศัยช่วงที่เป่ยเยว่กำลังวุ่นวายมาเขมือบกลืนเป่ยเยว่แล้ว

ขณะที่จี้หนานอ๋องแห่งเป่ยเยว่กำลังคิดอะไรวุ่นวาย หนานกงสือเยวียนก็มาถึงแล้ว

เขากุมบังเหียนด้วยมือข้างเดียว ใช้มืออีกข้างอุ้มเสี่ยวเป่าที่กำลังร้องเรียกขึ้นมาวางตรงหน้าตนเอง

เสี่ยวเป่าแกว่งเท้าไปมา หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างเบิกบานใจ

“ท่านพ่อ ท่าทางขี่ม้าของท่านสง่างามมาก!”

“ท่านพ่อเหนื่อยไหม”

“ท่านพ่อ เหตุใดบนตัวท่านมีเลือดด้วย! ให้เสี่ยวเป่าดูเร็วว่าได้รับบาดเจ็บไหม เจ็บหรือไม่เพคะ”

เสี่ยวเป่าพลิกอาภรณ์ของเขาไปมา ท่าทางตื่นเต้นลำพองใจจนหางแทบชี้ฟ้าเมื่อครู่ พอได้เห็นรอยเลือดบนร่างบิดากลับเปลี่ยนเป็นกังวลใจจนน้ำตาคลอหน่วย

หนานกงสือเยวียนหยุดมือน้อย ๆ ของนางเอาไว้ หากปล่อยให้เจ้าตัวเล็กเลิกชุดตามใจอยู่ตรงนี้ ฮ่องเต้เช่นเขาคงไม่เหลือหน้าตาอันใดแล้ว

“ไม่เป็นไร นี่ไม่ใช่เลือดข้า”

“จริงหรือ”

“อืม”

เสี่ยวเป่าพินิจใบหน้าของเขาอย่างละเอียด เมื่อพบว่าแลดูมีเลือดฝาดไม่เหมือนได้รับบาดเจ็บจึงค่อยวางใจได้

นางยังลูบอกน้อย ๆ ของตนเอง “เสี่ยวเป่าตกใจหมดเลย”

จากนั้นก็กลับมาดีใจอย่างไร้กังวลอีกครั้ง

เปลี่ยนสีหน้าได้รวดเร็วจนแม้แต่ซุนหงอคงยังสู้ไม่ได้ *[1]

หนานกงสือเยวียนปรายตามองเด็กน้อย แววตามีประกายขบขันวาบผ่าน

เขาลูบศีรษะเสี่ยวเป่าเบา ๆ แล้วพานางไปยังจุดรวมสัตว์ที่ล่ามาได้

เสี่ยวเป่าเห็นสัตว์ที่ตายไปเหล่านั้นก็พนมมือสวดมนต์

หนานกงสือเยวียนดีดหน้าผากนาง “เจ้าทำอันใด”

เสี่ยวเป่าลืมตามองเขาโดยที่ยังอยู่ในท่วงท่าสวดมนต์ ท่าทางน่ารักน่าชัง

นางกระซิบว่า “ท่านพ่ออย่ากวน เสี่ยวเป่ากำลังแผ่เมตตา วิญญาณของสัตว์เหล่านี้จะได้ไม่ตามมารังควานท่านพ่อ”

หนานกงสือเยวียนหยุดชะงัก มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะลูบศีรษะเล็ก ๆ ของนาง

“บารมีของฮ่องเต้ต้าเซี่ยมิได้ด้อยไปกว่าในอดีตเลยสักนิด หมียักษ์เช่นนี้ใช้ธนูแค่สองดอกก็สังหารมันได้แล้ว”

ทูตจากซยงหนูกล่าวคำเยินยอพร้อมทั้งยิ้มประจบ

เทียบกับท่าทางเคียดแค้นไม่ยอมศิโรราบก่อนนี้ ราวกับหักโค้งร้อยแปดสิบองศาก็มิปาน

เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนท่าทีของเขาย่อมมีสาเหตุ

บรรดาคุณชายคุณหนูที่เข้าร่วมการล่าสัตว์ครั้งนี้ล้วนล่าอยู่รอบนอก ส่วนใหญ่แล้วเป็นสัตว์ขนาดเล็กที่ค่อนข้างเป็นมิตร เน้นทดสอบทักษะการยิงธนูของพวกเขา

แต่หนานกงสือเยวียนกลับพาแม่ทัพของอาณาจักรต่าง ๆ มุ่งหน้าเข้าป่าลึกเพื่อล่าสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่า

ในจำนวนนั้นมีคนพบฝูงหมาป่า จ่าฝูงถูกหนานกงสือเยวียนสังหาร ส่วนคนอื่นก็สร้างผลงานได้ไม่เลว

สัตว์ตัวใหญ่ที่สุดที่ล่าได้ในวันนี้ก็คือหมีตัวนั้น หมีหนังหยาบเนื้อหนา หากฆ่าไม่ตายก็จะกลายเป็นการไปแหย่ให้มันโมโห ถึงตอนนั้นผู้ใดจะเป็นฝ่ายสังเวยชีวิตก็ยังไม่อาจบอกได้ แต่หนานกงสือเยวียนกลับใช้ธนูเพียงสองดอกก็สามารถล้มมันได้แล้ว

ตอนนั้นธนูดอกแรกทำให้หมีตัวนั้นคลุ้มคลั่ง คำรามลั่นแล้วกระโจนเข้าหาผู้คน พาลอาชาแตกตื่นเสียขวัญ ทว่าหนานกงสือเยวียนกลับน้าวศรอีกดอกอย่างเยือกเย็น ยิงหมีที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งจั้งตายคาที่ ลูกศรทะลุกะโหลกหมีสีน้ำตาลตัวนั้นออกไป

หมีตัวนั้นล้มลงอย่างหนักหน่วงจนพื้นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง

สามารถยิงทะลุกะโหลกศีรษะหมีได้เช่นนี้ ถึงจะเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าซยงหนูก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ ฮ่องเต้ต้าเซี่ยดูแล้วก็ไม่ได้บึกบึนอะไร ในร่างกายเช่นนี้กลับมีพละกำลังอันแข็งแกร่งแฝงอยู่!

ชั่วขณะนั้น ฝ่ายซยงหนูที่ตั้งใจว่าจะแสดงความสามารถข่มฝั่งต้าเซี่ยจึงต้องพับความคิดนั้นคืนไป ไม่ข่มแล้ว ไม่ข่มแล้ว ฮ่องเต้ต้าเซี่ยผู้นี้สามารถกดหน้าพวกเขาให้จมดินได้เลยนะ!

[1] ซุนหงอคง (孙悟空) เป็นตัวละครในวรรณกรรมเรื่องไซอิ๋ว ฝึกวิชาจนแปลงกายได้ 72 ร่าง