บทที่ 207 เริ่มเห็นวิกฤต

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

ซูอันยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจพร้อมกับพูดว่า “ก็เขาแพ้การประลองไปแล้ว มันจะมีประโยชน์อะไรในการให้กำลังใจเขา? หรือว่าพูดให้กำลังใจแล้วเขาจะขึ้นไปบนเวทีและสู้ได้อีกครั้งงั้นเหรอ? ก็เปล่าซะหน่อย!”

“หุบปาก!” ฉินหว่านหรูตวาดขึ้นอย่างเดือดดาล “ใครก็ตามที่ทุ่มเทความสามารถของตัวเองทั้งหมดบนเวทีประลองมีค่าควรแก่ความเคารพทั้งนั้น ไม่ว่าผลออกมาจะชนะหรือแพ้ก็ตาม และหากเราซ้ำเติมใครก็ตามที่แพ้ มันจะไม่ทำให้กำลังใจของคนอื่นตกต่ำลงไปหมดเหรอ? ถ้าเจ้าพูดจาดี ๆ กับคนอื่นไม่เป็น ก็ควรหุบปากไปซะ!”

ฉู่จงเทียนเอ่ยขึ้นเสริมเช่นกัน “ซูอัน…การกระทำของเจ้าไม่เหมาะสมจริง ๆ ชนะและแพ้เป็นเรื่องปกติอย่างสมบูรณ์ ตระกูลฉู่ของเราไม่ได้ใจแคบถึงขนาดซ้ำเติมคนที่พ่ายแพ้อย่างสมศักดิ์ศรีหรอกนะ”

ซูอันขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นทำไมเมื่อครู่พวกท่านถึงไม่ออกมาพูดให้ข้าบ้างตอนที่หงซิงอิงล้อเลียนข้าเมื่อครู่!?”

ในขณะที่เขากำลังจะเถียงกลับต่อ ฉู่ชูเหยียนรีบดึงแขนเสื้อของเขาเอาไว้พร้อมกับพูดกับเขาผ่านพลังชี่ “หยุดทำให้แม่ของข้าโมโหกว่าเดิมเถอะ เจ้าควรกลับไปยังที่นั่งของเจ้าและนั่งลง เรายังคงต้องหารือแผนการต่อสู้ของเราในภายหลัง”

นางจดจ่อมากเกินไปกับการจัดลำดับผู้ลงประลองของพวกเขาก่อนหน้านี้จนนางไม่ทันสังเกตเห็นการกระทำเมื่อครู่ของหงซิงอิงที่เยาะเย้ย ซูอัน ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าซูอันทำเกินไปในครั้งนี้เช่นกัน

มันคงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เท่าไหร่หากวันนี้มันเป็นแค่หงซิงอิงที่ลงประลองแค่คนเดียว แต่วันนี้มีอีกหลายคนที่ต้องลงประลองและทุกคนก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าตัวเองจะคว้าชัยชนะมาได้ดังนั้นการกระทำของ ซูอันมันจะยิ่งเป็นการทำให้กำลังใจของคนที่เหลือเสียหาย หากพวกเขาแพ้แล้วจะต้องถูกเยาะเย้ยเช่นนี้ใครกันจะมีใจอยากทุ่มเทให้กับการประลอง?

ท้ายที่สุดซูอันก็ยังคงเป็นสมาชิกของตระกูลฉู่ แม้จะเป็นลูกเขยที่ถูกแต่งเข้าตระกูลมา แต่ทัศนคติของเขาสามารถถูกตีความได้ว่าเป็นทัศนคติของตระกูลฉู่ทั้งหมด…

ซูอัน ถอนหายใจแรงและกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง

ในขณะเดียวกัน ความโกลาหลของตระกูลฉู่ ก็ไม่พ้นสายตาการสังเกตของคนอื่น ๆ เมื่อเห็นซูอันถูกตำหนิโดยฉู่จงเทียนและฉินหว่านหรู คนหลายคนก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยอย่างมีความสุข “ดูสิ ไอ้เจ้าลูกเขยขยะนั่นแทบไม่มีค่าในสายตาของตระกูลฉู่เลย!”

“ข้าคิดว่าแม้แต่สุนัขในตระกูลฉู่ ก็น่าจะได้รับการปฏิบัติดีกว่าเขา!”

“นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงมักสอนลูกหลานอย่างพวกเจ้าเสมอว่าไม่ควรคิดไต่เต้าทางลัด พวกเจ้าจะเผชิญกับความสูญเสียมากกว่าที่เจ้าจะได้รับ!”

“แต่ดูสิว่าคุณหนูชูเหยียนสวยขนาดไหน! ข้ายินดีที่จะทนรับความอัปยศต่าง ๆ ตราบใดที่ข้าสามารถตื่นขึ้นมาพบกับใบหน้าที่สวยงามของนางทุกเช้า!”

“ชิ เจ้านี่มันช่างเป็นคนน่าสิ้นหวัง…อะแฮ่ม!…แต่ถ้าเป็นข้าก็คงเอาเหมือนกันล่ะมั้ง?”

บนอัฒจันทร์ซือคุนเอนหลังพิงพนักพิงเก้าอี้อย่างสบาย ๆ ขณะที่รอยยิ้มที่พึงพอใจก็ผุดขึ้นบนริมฝีปากของเขา “อย่างที่เจ้าพูดจริง ๆ เสวี่ยเอ๋อร์ ไอ้เวรนั่นมันไม่มีค่าเลยในสายตาตระกูลฉู่ ดูเหมือนว่าความกังวลของข้าจะเป็นการคิดไปเกินเลยกว่าเหตุ”

เสวี่ยเอ๋อร์ดีใจเช่นกันที่เห็นซูอันถูกดุด่า “แน่นอน! คุณหนูไม่เคยอนุญาตให้เขาเข้าไปในห้องของนางมาก่อน ดังนั้นนายน้อยไม่ต้องกังวลว่าเขาจะได้แตะต้องคุณหนู!”

ในขณะเดียวกัน หยวนเหวินตงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าซูอันจะไม่มีความหมายอะไรเลยกับตระกูลฉู่ นี่ข้าทำผิดพลาดที่เลือกเขาเป็นคู่ต่อสู้ของข้าหรือไม่? นี่อาจจะเป็นการลดสถานะของข้าลงไปเพื่อต่อสู้กับคนที่อยู่ต่ำกว่าข้าหรือเปล่า? อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจของเขา มันก็ถูกระงับอย่างรวดเร็วเมื่อเขานึกภาพใบหน้าที่น่ารังเกียจของซูอัน เขายืนยันการตัดสินใจของเขาอีกครั้ง…

ฮึ่ม! คอยดูเถอะข้าจะทำให้แน่ใจว่าเจ้าจะพิการไปตลอดชีวิต เจ้าจะได้รู้ว่าราคาที่เจ้าต้องจ่ายในการดูหมิ่นข้ามันมากแค่ไหน!

ในขณะเดียวกันในบรรดากลุ่มคนของตระกูลเจิ้ง เจิ้งตานก็มีรอยยิ้มบนริมฝีปากของนาง

ดูเหมือนว่าซูอันจะไม่ได้ใกล้ชิดกับฉู่ชูเหยียนอย่างที่นางเคยคิด นางควรใช้โอกาสนี้เพื่อล่อลวงซูอันให้ได้ ตราบใดที่นางยั่วยวนเขามากกว่าเดิม นางก็จะสามารถหาตั๋วหนี้ 7,500,000 ตำลึงได้อย่างง่ายดาย!

แต่ก็เกิดคำถามอีกอย่างหนึ่งว่าซูอันจะสามารถอยู่รอดได้จนถึงสิ้นวันหรือไม่ แม้ว่าเขาจะสามารถเอาตัวรอดได้ แต่ก็มีแนวโน้มว่าเขาจะต้องพิการเป็นอย่างน้อยที่สุด ถ้าหากนางแสดงความกังวลใจกับเขาในเวลาแบบนี้ นางควรจะได้รับความไว้วางใจจากเขาได้ง่าย ๆ ใช่ไหม?

ในขณะเดียวกันเพ่ยเหมียนหมานก็มองสถานการณ์ด้วยรอยยิ้มลึกลับ ยิ่ง ซูอันดิ้นรนในตระกูลฉู่มากเท่าไร มันก็ยิ่งมีประโยชน์สำหรับนางมากขึ้นเท่านั้น ในไม่ช้าเขาจะพบว่าตัวเองไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องขอความช่วยเหลือจากนาง และจากนั้นนางจะสามารถทำให้เขาค้นหาสมุดบัญชีแทนนางได้…

“ขอโทษนะ แม่นางคนสวย…”

ทันใดนั้นจู่ ๆ ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหานางด้วยรอยยิ้มซึ่งเขาเองก็คิดว่ามันน่าจะมีเสน่ห์เพียงพอ

อันที่จริงเพ่ยเหมียนหมานก็ได้รับความสนใจจากผู้ชายรอบ ๆ บริเวณนี้มาระยะหนึ่งแล้ว เรือนร่างของนางเย้ายวนเกินไปจนทำให้เหล่าผู้ชายยากที่จะละสายตาจากนาง ยิ่งไปกว่านั้นนางยังนั่งอยู่ตัวคนเดียว ซึ่งทำให้ดูเหมือนว่านางไม่ได้อยู่ในตระกูลใดเลย ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่บางคนพยายามจะเข้าหานาง

“ไสหัวไป!”

เพ่ยเหมียนหมานยกมือขึ้นโดยไม่หันไปมองชายคนนั้น พร้อมกับเรียกเปลวเพลิงสีดำให้พวยพุ่งขึ้นมาจากปลายนิ้วของนาง

“ข..ข..เข้าใจแล้ว!”

เมื่อรู้ว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขาไม่ใช่คนที่เขาคุยเล่นด้วยได้ ชายผู้นั้นก็ถอยออกไปอย่างหวาดกลัวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ในเวลาเดียวกัน ผู้ที่กำลังประเมินสถานการณ์เพื่อค้นหาโอกาสที่จะเข้าหาเพ่ยเหมียนหมานก็รีบระงับความตั้งใจที่พวกเขาคิดไว้

ในขณะเดียวกันในพื้นที่พักรอของตระกูลฉู่

ฉู่ฮวนเจาสังเกตเห็นว่าซูอันมีสีหน้าที่แย่มาก นางจึงส่งถ้วยชาให้เขา “พี่เขยอย่าโกรธเลย มาจิบชาคลายอารมณ์กันสักหน่อย อันที่จริงข้าเองก็ไม่ชอบไอ้เจ้าหงซิงอิงนั่นสักเท่าไหร่เหมือนกันแต่พ่อกับแม่ของข้าก็เป็นแบบนี้ตลอด พวกเขาปฏิบัติต่อเราอย่างเคร่งครัดเสมอแต่กลับเป็นมิตรกับบุคคลภายนอกอย่างออกนอกหน้า จนบางครั้งข้าเองก็สงสัยว่าข้าเป็นลูกของพวกเขาจริง ๆ หรือเปล่า?”

“ใช่ ข้าก็สงสัยเหมือนกัน” ซูอัน ระเบิดเสียงหัวเราะในขณะที่เขามองดูบริเวณหน้าอกของฉู่ฮวนเจาซึ่งไม่เหมือนกับแม่และพี่สาวที่สมบูรณ์แบบของนาง

ฉู่ฮวนเจาเงียบสนิท…

ท่านยั่วยุ ฉู่ฮวนเจา สำเร็จ

ได้รับคะแนนความโกรธแค้น +404!

“แส้ของข้าอยู่ที่ไหน!” ฉู่ฮวนเจาตะโกนอย่างโกรธจัดในขณะที่คลำหาแส้คร่ำครวญของนางไปด้วย…

ซูอัน ถอนรอยยิ้มของเขาอย่างรวดเร็วและพูดอย่างจริงจังว่า “ฮวนเจา ข้าขอบคุณ”

เมื่อได้ยินคำพูดขอบคุณอย่างจริงใจที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในน้ำเสียงของซูอัน ฉู่ฮวนเจาก็เริ่มกระวนกระวายอย่างไม่สบายใจ “ม…ไม่เป็นไรหรอก! พวกเราเป็นสหายที่เคยร่วมงานกันมาก่อนไม่ใช่หรือไง? แค่นี้เรื่องเล็กน้อย!”

ใบหน้าของ ซูอัน มืดลง เขารู้ว่านางหมายถึงช่วงเวลาที่พวกเขารีดไถเงินจากดอกบ๊วยสิบสาม นี่นางเข้าใจอะไรผิดเกี่ยวกับความหมายของ ‘การทำงาน’ รึเปล่า?

ในไม่ช้าการประลองคู่ที่สองก็เริ่มขึ้น คนที่ตระกูลฉู๋ส่งประลองคนถัดมาก็คือเติ้งจ้าวเก๋อ ส่วนตระกูลหยวนคือจู้ฉิง!

อย่างไรก็ตาม ในรอบการประลองนี้ความแข็งแกร่งของผู้ประลองทั้งสองไม่ได้ใกล้เคียงกันเลย แค่เพียงเวลาไม่กี่ชั่วอึดใจ เติ้งจ้าวเก๋อก็พ่ายแพ้ไปอย่างหมดรูป ด้วยเหตุนี้ตระกูลฉู่จึงแพ้สองรอบติดต่อกัน!

ทุกคนเริ่มพึมพำกับตัวเองเมื่อสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ ในงานประลองระหว่างตระกูลที่ผ่านมา ตระกูลฉู่ มักจะเอาชนะตระกูลหยวนอย่างง่ายดายเสมอ หลายครั้งพวกเขาชนะห้าหรือหกคู่แรกติดกัน ทว่าปีนี้ตระกูลฉู่ กลับเริ่มต้นด้วยการแพ้สองคู่แรกไปแล้ว นี่หมายความว่ายุคใหม่กำลังจะมาถึงเมืองจันทร์กระจ่างหรือไม่?

คนที่ฉลาดกว่าบางคนคิดลึกลงไป ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของรากฐานตระกูล ตระกูลหยวนไม่มีทางเทียบเคียงตระกูลฉู่ได้เลย ดังนั้นมันเป็นเรื่องแปลกมากที่จู่ ๆ พวกเขาจะมีรุ่นเยาว์นิรนามที่เก่งกาจพอจะเอาชนะคนของตระกูลฉู่ได้แบบนี้

ทั้งฉู่จงเทียนและฉินหว่านหรูต่างก็ขมวดคิ้วแน่น พวกเขาไม่คิดเลยว่าจะแพ้สองรอบติดกันแบบนี้ แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้พวกเขาคงจะต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่…

ฉู่ชูเหยียนแสดงสีหน้าหนักใจเช่นกันโดยเฉพาะเมื่อนางหันไปมองน้องสาวของนางและซูอันซึ่งกำลังคุยกันอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าไร้กังวล นางจัดลำดับทั้งสองเอาไว้ท้ายสุดด้วยความหวังว่าพวกเขาจะไม่ต้องขึ้นไปบนเวทีประลองหากนางและคนอื่น ๆ ชนะรวด6คู่แรก แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันมันมีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาอาจจะต้องขึ้นไปบนเวทีประลอง!

ไม่ได้! ข้าปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นไม่ได้!

ซูอัน ไม่มีทางป้องกันตัวเองจากหยวนเหวินตงได้แน่ ส่วนน้องสาวของนางก็เพิ่งจะทะลวงระดับมาอยู่ที่ระดับ 3 ซึ่งสามารถพูดได้ว่าพวกเขาเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในเวทีการประลองนี้ ยิ่งไปกว่านั้น น้องสาวของนางเป็นคนที่ไม่เคยจริงจังกับการบ่มเพาะเลย ดังนั้นนางจึงไม่มีทักษะการต่อสู้ที่เหมาะสม การต่อสู้ที่แท้จริงแบบนี้นางไม่มีความหวังที่จะชนะแม้แต่น้อย

ฉินหว่านหรูอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความกังวล “ท่านพี่…ถ้าเราคู่ต่อไปด้วยล่ะ?”

“เป็นไปไม่ได้” ฉู่จงเทียนตอบ “เยว่ซานคือคนต่อไปที่เราจะส่งไปประลอง!”