ตอนที่ 241 เขาชื่อเจียงเฉา

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

ตอนที่ 241 เขาชื่อเจียงเฉา

วันจันทร์ ฝึกวิทยายุทธ์ตามปกติ

เหลียงจีกับเย่ว์จือเหิงเข้าครัวทำอาหารเช้าด้วยกัน

มู่เถาเยา เย่ว์เลี่ยง และลู่จือฉินไปเก็บของที่จะเอากลับเผ่า

อันที่จริงก็ไม่มีอะไรต้องเอากลับจากตำหนักพระจันทร์มาก ของที่นี่ส่วนใหญ่เป็นของขวัญที่ทางเผ่าส่งมาให้มู่เถาเยา

ของที่ต้องเอากลับเผ่าจริงๆ อยู่บนเครื่องบิน เมื่อคืนเอาลงไม่เยอะ ส่วนใหญ่วางอยู่ในพื้นที่เก็บของ

“เสี่ยวเยาเยา ระวังเหมียวฉีไว้หน่อยนะ อย่าหลงกลเข้าล่ะ แล้วก็เจียงเย่ว์ด้วย อย่าไว้ใจ เป็นลูกสาวของเจียงจี๋กับเหมียวฉี อาไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

ตอนนี้เย่ว์เลี่ยงไม่เชื่อใจเหมียวฉีเลยสักนิด

เหมียวฉีออกจากเผ่าเพื่อไปเรียน ไม่ได้มีความขัดแย้งกับที่บ้าน แต่กลับไม่กลับบ้านตัวเองเลยยี่สิบปี ไม่ใช่แค่ตัวเองไม่กลับ แม้แต่สามีกับลูกก็ไม่เคยพากลับไป มันน่าสงสัยเหลือเกิน

“วางใจได้ค่ะอา เหมียวฉีทำอะไรหนูไม่ได้หรอก หนูเป็นห่วงแค่พวกศิษย์พี่ใหญ่ หนูจะคอยดูพวกเขาไว้จนกว่าอันตรายจะคลี่คลาย”

“อืม ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนก็เอาความปลอดภัยของตัวเองไว้ก่อนนะ”

มู่เถาเยาพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

“ถ้าไม่ติดว่าพวกอาจารย์กับคนหมู่บ้านเถาหยวนดีกับหลานมาก อาคงอยากให้กลับเผ่าแล้ว อย่างน้อยอยู่ในสายตาพวกเราก็ปลอดภัยกว่าหน่อย”

เมื่อก่อนไม่เคยระแวง เพราะมั่นใจเกินไปว่าในเผ่าไม่มีใครเลวได้ถึงขั้นนั้น อย่างไรเสียกฎหมายของพวกเขาก็ลงโทษแรง

สิบแปดปีก่อนในเผ่าเข้มงวดกับคนนอกผ่อนปรนกับคนในมาตลอด ไม่ได้ระแวงคนกันเองเลย

คนในเผ่าร่ำรวย ไม่มีทางมีใครย่อมเสี่ยงเพื่อเงินทอง คนทำผิดจึงมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

“อาคะ อีกห้าปีค่อยว่ากัน ตอนนี้ตี้อู๋เปียนยังต้องการหนู ส่วนเรื่องความปลอดภัย หนูรับรองได้ค่ะ”

“อืม ขอแค่หลานปลอดภัย อย่างอื่นจะยังไงก็ได้”

บุญคุณที่เลี้ยงดูยิ่งใหญ่กว่าบุญคุณที่ให้กำเนิด ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาไม่มีทางเอ่ยปากขอให้เสี่ยวเยาเยากลับเผ่าก่อน

“ต้องปลอดภัยอยู่แล้วค่ะ หนูยังต้องเลี้ยงอวิ๋นเยี่ยนหังกับเสี่ยวลู่ลู่อีกนะคะ” มู่เถาเยาคล้องแขนข้างละคน ดวงตาโค้งมนเหมือนจันทร์เสี้ยว

เย่ว์เลี่ยงกับลู่จือฉินแจกมะเหงกคนละที

ลู่จือฉิน “อยากเลี้ยงเด็กอีกหน่อยก็เชิญมีเองเถอะ”

เมื่อชาติก่อนลูกศิษย์สุขภาพไม่ดี ต่อให้แต่งงานก็มีทายาทยาก

ถ้าไม่มีจริงๆ ยังพอไหว แต่ถ้าตั้งครรภ์ขึ้นมาก็เป็นไปได้ว่าอาจตายทั้งแม่และลูกตอนคลอด เธอจึงไม่กล้าเร่งให้ลูกศิษย์แต่งงาน

พอมีสามี พวกญาติๆ อาจพยายามคิดหาทางอยากให้จักรพรรดินีมีทายาท…

เรื่องบนเตียงของสามีภรรยา เธอเป็นอาจารย์ต่อให้ห้ามยังไงก็คงห้ามไม่อยู่

ความเสี่ยงนี้มีมากเกินไป เธอไม่กล้าเดิมพัน

ดังนั้นถ้าเสี่ยวเยาเยาไม่อยากแต่งงานเธอก็เห็นด้วย

ยังดีที่มีเยี่ยนหัง มิฉะนั้นหลังจากเสี่ยวเยาเยาเสียราชวงศ์เทียนเย่ว์จะต้องวุ่นวายแน่นอน

ไม่มีทายาทสายตรงสืบทอด ใครบ้างไม่อยากลองนั่งบัลลังก์นั้น

มู่เถาเยา “อาจารย์ หนูไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานมีลูกเลยนะคะ”

“เสี่ยวเยาเยา งั้นต่อไปหลานจะใช้ชีวิตยังไง พวกเราคงอยู่เป็นเพื่อนไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอกนะ” เย่ว์เลี่ยงไม่แต่งงาน แต่ก็ไม่อยากให้ลูกสาวไม่แต่งงานด้วย

“อาจารย์ใหญ่ของหนูก็สุขสบายดีไม่ใช่เหรอคะ ถึงแม้จะไม่มีทายาท แต่มีพวกเรา ตอนแก่ไม่เหงาหรอกค่ะ”

คราวนี้เย่ว์เลี่ยงกับลู่จือฉินค้านไม่ได้

พวกเธอจะพูดโกหกหน้าตาเฉยก็ไม่ได้ว่าหมอเทวดาหยวนมีชีวิตโดดเดี่ยว

“เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากัน ยังไงตอนนี้หลานก็ยังเด็ก เกิดวันหนึ่งไปชอบผู้ชายคนไหนเข้า คนในครอบครัวไม่ถูกใจหลานอาจขโมยทะเบียนบ้านไปจดทะเบียนแต่งงานก็ได้ใครจะไปรู้”

มู่เถาเยา “…”

นี่เหมือนเรื่องที่คนแบบเธอจะทำเหรอ

อาพูดเรื่องเหลวไหลอะไรเนี่ย!

ลู่จือฉินยิ้มพูด “ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เสี่ยวเยาเยา พวกเราขอแค่สองข้อ หนึ่งคือเธอต้องปลอดภัย สองคือห้ามทำให้ตัวเองต้องน้อยเนื้อต่ำใจ”

ผู้หญิงหลายคนได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมในชีวิตคู่ แถมทางบ้านสามียังคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา

เสี่ยวเยาเยาที่แสนล้ำค่าของพวกเธอห้ามเป็นแบบนั้นเด็ดขาด!

“อาคะ อาจารย์คะ ชาตินี้พวกเราใช้ชีวิตตามใจตัวเองได้ค่ะ”

“อืม ไปห้องอาหารเถอะ เดี๋ยวหลานยังต้องไปเรียนอีก”

“ค่ะ”

ทั้งสามคนคล้องแขนกันเดินไปห้องอาหาร

หลังจากกินข้าวเสร็จมู่เถาเยา ลู่จือฉิน เหลียงจี ก็ไปส่งเย่ว์เลี่ยงกับเย่ว์จือเหิงที่ลานจอดเครื่องบิน

มาครั้งนี้เย่ว์จือเหิงเป็นคนขับเครื่องบิน ไม่มีนักบินกับบอดี้การ์ดมาด้วย ขากลับย่อมมีกันแค่สองคน

เมื่อทั้งสองคนไปแล้ว เหลียงจีก็ขับรถพามู่เถาเยากับลู่จือฉินไปมหาวิทยาลัย

ไปห้องทำงานของอธิการบดีก่อน หาอาจารย์อาเล็กแล้วไปที่ห้องทดลองด้วยกัน

เก็บตัวอย่างเลือดเอาไปตรวจดีเอ็นเอ

อาจารย์อาเล็กตรวจด้วยตัวเอง

“เสี่ยวเยาเยาไปเข้าเรียนก่อนเถอะ อาจารย์จะเดินเล่นอยู่ในมหาวิทยาลัยรอเธอเลิกเรียน”

“ค่ะ”

มหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูมีพื้นที่กว้างขวางมาก ทิวทัศน์งดงาม อย่าว่าแต่เดินตลอดช่วงเช้าเลย ต่อให้เดินหลายวันก็ยังไม่ทั่ว มองได้ไม่มีเบื่อ

เหลียงจี “ฉันจะเดินเป็นเพื่อนอาจารย์สามเองค่ะ”

“ได้ ยังไงเธอก็ไม่มีธุระสำคัญต้องไปทำ”

ไปส่งมู่เถาเยาที่อาคารเรียนเสร็จเหลียงจีก็ขับรถไปจอดที่ลานจอดรถแถวนั้นแล้วไปเดินเล่นในมหาวิทยาลัยกับลู่จือฉิน

“เหลียงจี เธอเป็นผู้หญิงทำไมถึงมีความคิดขับเครื่องบินล่ะ”

นักบินหญิงมีค่อนข้างน้อย

“คุณแม่ของฉันเป็นทหารอากาศ คุณพ่อเป็นทหารบกค่ะ”

“อ้อ”

“อาจารย์สามคะ เสี่ยวเยาเยาเก่งมากเลยนะคะ ฉันสอนรอบเดียวก็เป็นเลย”

“ใช่ เด็กคนนี้หัวดีมาก”

“เฮ้อ เสี่ยวเยาเยาเก่งเกินไป ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้ช่วยอะไรเลยค่ะ”

“อันที่จริงแต่ละคนก็มีข้อดีของตัวเอง อยู่ที่ว่าจะหยิบมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้หรือเปล่า เหลียงจี ถ้าเธออยากทำอย่างอื่นๆ เสี่ยวเยาเยาต้องปล่อยเธอไปแน่นอน”

“ไม่ค่ะไม่ ฉันอยากติดตามเสี่ยวเยาเยา ฉันเรียนรู้จากเธอได้เยอะเลยค่ะ”

“ผู้หญิงอายุเท่าเธอคิดได้แบบนี้หายากมากเลยนะ”

“ฉันเคยเป็นทหารค่ะอาจารย์สาม อีกอย่างเสี่ยวเยาเยาก็คู่ควรค่ะ”

“อืม เสี่ยวเยาเยาคู่ควร”

ลู่จือฉินกับเหลียงจีเดินไปคุยไป หัวข้อสนทนาแทบจะวนเวียนอยู่แต่กับมู่เถาเยา

พอเห็นเวลาพอประมาณแล้วทั้งสองคนจึงเดินกลับอีกทางหนึ่ง

เดินไปได้ครึ่งทางโทรศัพท์มือถือของลู่จือฉินก็ดังขึ้น

พอเอามาดูก็พบว่ากู่ย่าโทรมา

ลู่จือฉินยิ้มพลางกดรับ

“พี่สะใภ้”

“จือฉินอยู่ที่ไหนเหรอ เดี๋ยวมากินข้าวที่บ้านพร้อมเสี่ยวเยาเยาสิ พี่เตรียมซื้อกับข้าวกลับไปแล้ว”

“ฉันอยู่ที่มหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูค่ะ รอเสี่ยวเยาเยาเลิกเรียน”

“งั้นรอเสี่ยวเยาเยาเลิกเรียนแล้วมาด้วยกันนะ”

“มีเหลียงจีด้วยค่ะ”

“ได้ พวกเราจะซื้อของเยอะหน่อย อวี้เสวี่ยอยู่กับพี่ เดี๋ยวเรียกอาหราน อันนั่ว และก็เสี่ยวอินมาด้วย”

“ค่ะ”

“งั้นเดี๋ยวเจอกันนะ”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะพี่สะใภ้”

“จ้ะ”

เก็บโทรศัพท์ ลู่จือฉินกับเหลียงจีเดินต่อ

“ผลตรวจดีเอ็นเอที่อาจารย์อาเล็กทำน่าจะออกแล้วไหมคะอาจารย์สาม”

ลู่จือฉินพยักหน้า

“อาจารย์สามโกรธไหมคะ”

ลู่จือฉินยิ้มพูด “มีอะไรน่าโกรธ พวกเราสองคนมีแค่ดวงตาที่คล้ายกัน ตรวจดีเอ็นเอก็เป็นเรื่องปกติ ต่อให้อาจารย์อาเล็กของเธอไม่อยากทำ ฉันก็จะร้องขออยู่ดี”

ต้องทำ เพราะเธอไม่อยากให้ผิดพลาด

ไม่ใช่ไม่เชื่อเสี่ยวเยาเยา แต่เมื่อชาติที่แล้วหาพี่ชายไม่พบ กลายเป็นสิ่งที่ติดค้างในใจ ชาตินี้ถึงได้ตามหาต่อ

ดังนั้นเธอต้องยืนยันให้มั่นใจว่าจริงแท้แน่นอนทุกด้าน

ใช้แค่ความรู้สึกยังไม่พอ ต้องมีข้อมูลยืนยันด้วย ไม่อย่างนั้นยังปล่อยวางอย่างสิ้นเชิงไม่ได้

ฝีเท้าของลู่จือฉินชะงัก

เธอนึกถึงเมื่อชาติก่อน หมอที่เจอในเมืองที่มีโรคระบาดคนนั้นชื่อว่าเจียงเฉา…

ครั้งแรกที่เจอเธอยังรู้สึกคุ้นหน้าหมอคนนี้ แต่เพราะสถานการณ์โรคระบาดรุนแรงเธอจึงไม่ได้คิดเรื่องนี้เท่าไร

ต่อมา…เธอก็ตาย…

อยู่ๆ ลู่จือฉินก็อยากร้องไห้

“เป็นอะไรไปคะอาจารย์สาม”

ลู่จือฉินกลั้นน้ำตาไว้ “เปล่า พวกเรากลับไปรอเสี่ยวเยาเยากันเถอะ”

“ค่ะ”