เจียงซื่อไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติใดๆ จากคำพูดของเจียงอี หากจะถามต่อไปเรื่อยๆ ก็คงดูไม่งาม จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข้ากำลังจะถามพี่ใหญ่พอดี วันนี้ไม่พาเยียนเยียนมาด้วยหรือ”
เมื่อเอ่ยถึงลูกสาวสุดที่รัก เจียงอีก็พูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนและความเสียใจออกมา “สองวันมานี้เยียนเยียนท้องเสีย ก็เลยไม่ได้พานางมาด้วย”
เจียงอีแต่งงานเข้าไปอยู่ในตระกูลจูตั้งหลายปี มีลูกสาวเพียงหนึ่งคน ปัจจุบันอายุสามปี มีชื่อเล่นว่าเยียนเยียน
“เยียนเยียนไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมเจ้าคะ” เจียงซื่อไม่กล้าปล่อยวางทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของเจียงอี จึงรีบเอ่ยถามขึ้น
ชาติภพที่แล้วนางมาร่วมงานเลี้ยงเวลานี้ ในฐานะลูกสะใภ้ที่มีหน้ามีตาสง่างามไร้ที่ติของจวนอันกงกั๋ว มีผู้คนล้อมรอบพูดคุยกับนางอยู่ไม่น้อย ก็เลยไม่มีโอกาสได้คุยกับพี่ใหญ่มากนัก และไม่ได้สังเกตเลยว่านางพาหลานสาวมาด้วยหรือไม่ พอคิดถึงตรงนี้ เจียงซื่อก็รู้สึกหงุดหงิดออกมาอย่างอดไม่ได้
ความเป็นห่วงจากน้องสาวทำให้เจียงอีรู้สึกอบอุ่นใจมาก จึงยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไร เด็กก็มักจะป่วยเช่นนี้แหละ หมอบอกแล้วว่าเยียนเยียนมีพื้นฐานร่างกายมี่ดี หากโตขึ้นจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็สบายใจ” เมื่อได้ยินว่าเยียนเยียนไม่ได้เป็นอะไรมาก เจียงซื่อก็โล่งอกไปที
เมื่อครู่นางอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าจะเป็นเพราะเยียนเยียนป่วยหนักรึเปล่าถึงได้ทำให้เกิดเรื่องหลังจากนี้เปลี่ยนไป ทว่าดูๆ แล้วตอนนี้อาจจะคิดมากไปเอง
ทันใดนั้นซูชิงซวงก็เข้ามาใกล้ “พี่อีกับพี่ซื่อพูดคุยกันจนไม่มีใครกล้าแทรกเข้ามา เห็นได้ชัดว่าพี่น้องที่ท้องเดียวกันยังคงต่างจากลูกพี่ลูกน้องอยู่มากโข”
นางแสร้งทำเป็นไม่สบายใจ ทว่าว่าดวงตาและใบหน้ากลับแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
เจียงอีเอ่ยขึ้นน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่เลย ในใจข้าน้องซวงกับน้องซื่อล้วนไม่แตกต่างกัน”
เจียงอีเป็นคนจริงใจ ซูชิงซวงสามารถสัมผัสได้ถึงความจริงใจในน้ำเสียงของนาง จึงถอนหายใจออกมา “พี่อี หากพี่ใจดีขนาดนี้ ระวังจะถูกคนกลั่นแกล้งเอานะเจ้าคะ”
ม้าที่เชื่องมักจะถูกนำไปขี่ คนที่ใจดีมักจะถูกรังแก ประโยคนี้ช่างมีเหตุผลเสียจริง
เจียงอีก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยว่าทำไมวันนี้น้องสาวและลูกพี่ลูกน้องเอาแต่กังวลกลัวว่านางจะถูกเอาเปรียบ ข้ามหัวข้อสนทนานี้ไปแล้วเอ่ยถามซูชิงซวง “ตอนฉลองวันเกิดท่านยายเมื่อครู่ทำไมถึงไม่เห็นเป่าเกอเอ๋อร์เลย แถมป้าสะใภ้รองก็สีหน้าไม่ดีนัก หรือว่าเป่าเกอเอ๋อร์จะไม่สบายตรงไหน”
ลุงรองกับป้าสะใภ้รองสวี่ซื่อของเจียงซื่อแต่งงานกันมาตั้งนานหลายปีถึงมีลูกชายด้วยกันคนหนึ่ง นั่นก็คือเป่าเกอเอ๋อร์ และก็เป็นลูกเพียงคนเดียวของเรือนรอง ไม่มีเหตุผลให้เขาไม่มาปรากฎตัวในวันฉลองวันเกิดของเหล่าฮูหยิน
ซูชิงซวงเผยสีหน้าที่ดูไม่เป็นธรรมชาติออกมาแวบหนึ่ง “เป่าเกอเอ๋อร์ป่วย อาสะใภ้รองคงจะดูแลเป่าเกอเอ๋อร์จนเหนื่อย”
เจียงอีได้ยินก็อดกังวลออกมาไม่ได้ “เป่าเกอเอ๋อร์ป่วยเป็นอะไรหรือ หมอที่มาดูแลเยียนเยียนบ่อยๆ ฝีมือไม่เลวเลย…”
“พี่อีอย่างได้กังวลไป อีกไม่นาน เป่าเกอเอ๋อร์ก็ดีขึ้นแล้ว”
เจียงซื่อที่เอาแต่เงียบมาโดยตลอดคอยมองสำรวจสีหน้าของซูชิงซวง ซึ่งมักจะรู้สึกว่านางมีอะไรปิดบังอยู่ แต่ก็บอกไม่ถูก ในเมื่อเป่าเกอเอ๋อร์ป่วย แล้วเหตุใดพี่ซวงจึงต้องพูดจาลับๆ ล่อๆ ด้วย หรือว่า… เป่าเกอเอ๋อร์ป่วยเป็นสืออี้[1]
โรคติดต่อสามารถแพร่ระบาดได้ ยิ่งถ้าเป็นท่านยายที่อายุหกสิบแล้ว หากป่วยเป็นโรคติดต่อก็คงยากที่จะบอกผู้อื่น
เจียงอียังอยากจะพูดต่อ ทว่าเจียงซื่อแอบดึงชายเสื้อไว้ เจียงอีจึงไม่พูดอีก
ฝั่งทางทิศตะวันตกบริเวณใกล้สวนดอกไม้ของจวนอี๋หนิงโหวมีการตั้งเวทีแสดงงิ้ว หลังงานเลี้ยงจบผู้คนจึงแห่กันไปดูงิ้ว พอดูไปได้สองตอนอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินก็พูดขึ้น “ข้ารู้ว่าเด็กอย่างพวกเจ้าไม่ชอบดูอะไรเช่นนี้หรอก ออกไปเล่นข้างนอกเถอะ อย่ามานั่งอมทุกข์อยู่ที่นี่เลย”
เจียงอีนั่งนิ่ง เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อก็นั่งนิ่งเช่นกัน จึงเอ่ยถามขึ้นเบาๆ “น้องซื่อทำไมไม่ออกไปเล่นกับพวกน้องซวงล่ะ”
เจียงซื่อยิ้ม “ข้าจะอยู่กับพี่ใหญ่”
เจียงอีดึงเจียงซื่อลุกขึ้น “ช่างเถอะ พวกเราออกไปเดินเล่นกัน ไม่แน่อาจจะได้เจอกับน้องรอง”
แม้แขกชายหญิงจะไม่ได้นั่งชมงิ้วด้วยกัน ทว่ากลับเดินเล่นในสวนดอกไม้ได้ คนพวกนี้ล้วนเป็นลูกพี่ลูกน้องกันทั้งนั้น หนีกันไม่พ้นหรอก
เดิมเจียงซื่อก็ไม่อยากนั่งดูงิ้วที่นี่อยู่แล้ว เพียงแค่อยากอยู่กับเจียงอีเท่านั้น พอได้ยินเจียงอีพูดเช่นนี้แน่นอนว่าคงไม่มีทางปฏิเสธ
ส่วนด้านเจียงจั้นก็คิดเช่นเดียวกัน พี่น้องสองคนเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ได้ไม่นานก็เจอ
เจียงจั้นไม่อาจปิดปังความดีใจไว้ได้ เขารีบเดินสาวเท้าก้าวเข้าไปตรงหน้าเจียงอีอย่างรวดเร็ว “พี่ใหญ่!”
ชายหนุ่มที่เดินเคียงคู่เจียงจั้นเห็นสองพี่น้องต่างตื่นเต้น ก็รู้ดีว่าไม่ควรรบกวน จึงหันสายตาไปที่เจียงซื่อ แล้วส่งยิ้มให้นาง “น้องซื่อ”
เจียงซื่อย่อเข่าทำความเคารพ “พี่ใหญ่”
ซูชิงสวินที่ยังอายุน้อยเป็นหลานสายตรงของจวนอี๋หนิงโหว เมื่อก่อนเจียงซื่อมักจะมาค้างคืนอยู่ที่จวนโหวบ่อยๆ ทว่ากลับไม่ได้สนทนากับลูกพี่ลูกน้องผู้เย็นชาคนนี้มากนัก โดยเฉพาะหลังจากที่เจียงซื่อหมั้นหมาย เมื่อมีการได้เจอกับพี่น้องเป็นครั้งคราว อย่างมากก็แค่เอ่ยทักทายกันเท่านั้น
วันนี้ซูชิงสวินพูดมากกว่าเดิมเล็กน้อย “น้องซื่อเป็นอย่างไรบ้างช่วงนี้”
“พี่ใหญ่ไม่ต้องกังวลไปหรอกเจ้าค่ะ ข้าสบายดี”
“งั้นก็ดี” ซูชิงสวินกวาดสายมองไปที่เจียงจั้น เห็นว่าเจียงอีกำลังรำพึงรำพันกับเขา ก็หันหน้ากลับมา “จากนี้ไปหากน้องซื่อมีเรื่องลำบากอะไรอย่าลืมว่ายังมีจวนโหวอยู่ ที่นี่เป็นบ้านของเจ้าเสมอ”
เจียงซื่อพยักหน้าเล็กน้อย ไม่พูดอะไรต่อ
ที่จริงพี่ใหญ่กับพี่ซวงนั้นไม่เลวเลย แต่นางรู้ว่าป้าสะใภ้ใหญ่นั้นไม่น่าคบค้าสมาคมด้วย ชาติภพที่แล้วท่าทีที่ป้าสะใภ้ใหญ่ปฏิบัติต่อนางหลังจากที่นางเป็นหม้าย มันได้สั่งสอนให้นางรู้ว่าอะไรคือการประจบสอพลอเมื่อมีนาจ และเดินข้ามเมื่อเราล้ม
เจียงอีเก็บความตื่นเต้นที่ได้เจอน้องชาย หันมาทักทายซูชิงสวิน
“ข้างหน้ามีต้นดอกพุดซ้อนผลิดอกอยู่สวยมาก เดี๋ยวข้าพาพี่กับน้องๆ ไปดู”
ทั้งสี่คนเดินไปข้างหน้าด้วยกัน
ซูชิงเสวี่ยเดินออกมาจากด้านหลังกระถางดอกไม้ มองทั้งสี่คนที่เดินจากไปพลางเบ้ปาก แล้วพูดกับซูชิงอวี่ขึ้น “เห็นรึยังว่าเจียงซื่อทำตัวสนิทสนมกับพี่ใหญ่ขนาดไหน เช่นนี้จะไม่คิดอะไรได้อย่างไรกัน”
“นางคงไม่มีความกล้าในเรื่องเช่นนี้หรอก”
“อีกครึ่งชีวิตต่อไปของสตรีนางหนึ่งจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับว่าได้แต่งงานกับคนเช่นไร เจียงซื่อพลาดโอกาสแต่งงานเข้าจวนอันกงกั๋วแล้ว คงหาโอกาสในการแต่งงานดีๆ ไม่ได้หรอก หากสามารถแต่งเข้าจวนโหวได้เกรงว่าคงต้องตื่นจากฝันกลางวันได้แล้ว เจ้าว่านางจะมีความกล้านี้หรือไม่”
ซูชิงอวี่พยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่รู้ตัว “พี่รองพูดไม่มีผิด ทว่าพี่ใหญ่มีท่าทีเฉยเมยต่อเจียงซื่อมาโดยตลอด คงไม่สนใจนางแน่นอน”
ซูชิงเสวี่ยหัวเราะเยาะออกมา ไม่สนใจซูชิงอวี่
อดพูดไม่ได้เลยว่าน้องสามนี่โง่เสียจริง ไม่คิดเลยหรือว่าเมื่อก่อนเจียงซื่อเย็นชากับพี่ใหญ่เพียงไหน และพี่ใหญ่ที่ไม่เคยยอมใครแน่นอนว่าคงไม่ยอมตามจีบนางหรอก หากตอนนี้เจียงซื่อยอมอ่อนข้อลง คงยากถ้าพี่ใหญ่จะไม่รู้สึกอะไร
เมื่อซูชิงเสวี่ยคิดได้เช่นนี้ ก็หาข้ออ้างปลีกตัวออกไปจากซูชิงอวี่ แล้วไประจบท่านแม่ใหญ่
ต้าไท่ไท่โหยวซื่อกำลังอยู่ดูงิ้วอยู่กับอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินแต่ดื่มชาเยอะไปหน่อยจึงอยากจะไปห้องน้ำ ก็เลยเดินออกไปด้านนอกพร้อมกับสาวรับใช้ แล้วเจอเข้ากับซูชิงเสวี่ยที่กลับมาพอดี
“ท่านแม่ ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านเจ้าค่ะ” ต่อหน้าโหยวซื่อ ซูชิงเสวี่ยประพฤติตัวดี ไม้กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามอง
แต่ไหนแต่ไรมาโหยวซื่อไม่ได้สนใจลูกสาวทั้งสองเป็นพิเศษ ทว่าการประจบของพวกนางถือว่ามีประโยชน์ นางจึงเดินไปที่ศาลาไม่ไกลนัก นั่งลงแล้วเอ่ยถามขึ้น “มีเรื่องอันใดรึ”
ซูชิงเสวี่ยมองไปรอบๆ ก้าวไปข้างหน้าพลางเอ่ยขึ้นเสียงเบา
โหยวซื่อที่แรกเริ่มอารมณ์ดีตอนนี้กลับสุขุมนุ่มลึกราวกับสายน้ำ ท้ายที่สุดก็หน้าดำคร่ำเครียด เอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ “เจ้าดูชัดแล้วหรือ”
“ข้าไม่กล้าโกหกท่านแม่หรอก ตอนนั้นน้องสามก็อยู่ด้วยเจ้าค่ะ”
โหยวซื่อตบฉาดลงบนโต๊ะ แล้วแค่นเสียง “หึ บัดสีบัดเถลิง!”
———————
[1] สืออี้ โรคระบาดตามฤดูกาล