พอซูชิงเสวี่ยเห็นโหยวซื่อโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ก็ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เดินหมากตัวนี้แหละถูกแล้ว
หากว่ากันตามนิสัยของท่านแม่ใหญ่ แน่นอนว่าคงไม่เรียกน้องสามเข้ามาถามยืนยันหรอก อีกอย่างนางก็ไม่ได้บิดเบือนความจริง เดิมพี่ใหญ่ก็พาเจียงซื่อไปชมดอกไม้
เป็นอย่างที่ซูชิงเสวี่ยคิดไม่ผิด ตอนนี้ในใจโหยวซื่อเต็มไปด้วยความโกรธ จึงไม่สงสัยสิ่งที่พูดเลยแม้แต่นิดเดียว
หัวอกแม่ทุกคนบนโลกใบนี้ ลูกชายของตัวเองดีที่สุดแล้ว ฉะนั้นการที่มีสตรีน้อยใหญ่ถาโถมเข้ามาหาลูกชายจึงเป็นเรื่องปกติ ยิ่งไปกว่านั้นซูชิงสวินลูกชายคนโตของโหยวซื่อแห่งจวนอี๋หนิงโหวเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ แม้จะอยู่ในเมืองหลวงเขาก็โดดเด่นเป็นสง่า แตกต่างจากผู้อื่น
โหยวซื่อคลายความโกรธลงช้าๆ มองไปที่ซูชิงเสวี่ย “วันนี้เจ้าทำดีมาก บางคนทำเพื่อที่จะให้ตัวเองได้ขึ้นที่สูงจึงมีความคิดชั่วร้ายผุดออกมา พี่ชายของเจ้ายิ่งเป็นคนใจกว้าง โอบอ้อมอารี ไม่ปฏิเสธผู้ใด ต้องคอยจับตาดูอย่าให้ใครมาปองร้าย”
ซูชิงเสวี่ยพยักหน้าเออออไปตามที่ท่านแม่ใหญ่พูด “ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ท่านพี่โดดเด่นมีสง่าราศี ไม่รู้ว่ามีหญิงสาวหมายปองอยู่มากเพียงใด หากเป็นสตรีที่เหมาะสมกันทั้งรูปร่างหน้าตาและฐานะก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเกิดถูกหญิงสาวที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเข้ามายุ่งวุ่นวายคิดร้ายด้วยล่ะ…ข้าล่ะกลัวแทนพี่ใหญ่จริงๆ เจ้าค่ะ”
“แม้จะเป็นผู้ที่เหมาะสมกันทั้งหน้าตาและทรัพย์สินเงินทองก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกัน” ถึงโหยวซื่อจะพูดเช่นนี้ แต่น้ำเสียงที่พูดกับซูชิงเสวี่ยกลับอ่อนโยนลงมาก
ท่าทีของท่านแม่ใหญ่ทำให้ซูชิงเสวี่ยดีใจยกใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย นางจึงต้องก้มหน้าหลบตาลงเพื่อปิดบังความสุขในไว้
โหยวซื่อหลับตาลงครุ่นคิดพลางเอามือจับโต๊ะหินไว้
ซูชิงเสวี่ยไม่กล้ารบกวน ได้แต่ยืนรอเงียบๆ
ท่านแม่ใหญ่ของนางท่านนี้ไม่ได้มีนิสัยโอบอ้อมดั่งเจ้าแม่กวนอิม นางไม่มีทางเชื่อว่าเจียงซื่อจะไม่โดนจัดการ
เมื่อซูชิงเสวี่ยนึกถึงเจียงซื่อ ใบหน้าอันสวยงามก็เหยเกขึ้นมา
นางเกลียดเจียงซื่อที่สุด!
เป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องชัดๆ เหตุใดถึงไม่อยู่ในเรือนของตนเอง มาพักค้างคืนที่จวนโหวบ่อยๆ ทำไมกัน ซึ่งนี่มันก็มากพอแล้ว ทว่าทุกครั้งที่มาก็วางตัวเป็นใหญ่เสียยิ่งกว่านางที่เป็นบุตรหลานแห่งจวนโหวอีก และแม้แต่พี่ใหญ่ที่แต่ไหนแต่ไรมาทำตัวเฉยชากับน้องสาวคนนี้มาตลอดกลับปฏิบัติต่อเจียงซื่ออย่างใกล้ชิดสนิทสนม
ซูชิงเสวี่ยนึกย้อนไปเมื่อตอนเด็กที่พูดถากถางเจียงซื่อออกมาอย่างอดไม่ได้ ทว่าเจียงซื่อกลับพูดอย่างไม่แยแสออกมา “แม่ข้าเป็นลูกสาวแท้ๆ ของท่านยาย แม้ข้าจะเป็นลูกพี่ลูกน้องแต่ก็เป็นหลานสาวแท้ๆ ของท่านยายเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดจาถากถางข้า”
เพียงแค่นึกถึงเรื่องนี้ซูชิงเสวี่ยก็โกรธจนตัวสั่น
ทำไมนางถึงกล้าตอบโต้ได้อย่างเต็มปากเช่นนั้น ที่จวนโหวใช้แซ่ซูนะ ไม่ใช่เจียง!
เดิมเด็กทะเลาะกันนั้นเป็นเรื่องปกติมาก ทว่าซูชิงเสวี่ยกลับจำมาถึงตอนนี้ ความเกลียดชังที่มีต่อเจียงซื่อไม่เคยมลายหายไปแม้แต่นิด
โหยวซื่อลืมตาขึ้น พลางกระแอมเสียงเบาๆ
“ท่านแม่…” ซูชิงเสวี่ยยืดตัวตรงขึ้นทันที
“เมื่อครู่สาวรับใช้ของพี่รองเจ้าเข้ามารายงานว่าพี่รองของเจ้าโวยวายจะไปเที่ยวเล่นในสวน ตอนนี้ไปแล้ว เจ้าเห็นเขาหรือไม่”
ซูชิงเสวี่ยไม่เข้าใจว่าเหตุใดโหยวซื่อถึงเอ่ยชื่อพี่รองซูชิงอี้ออกมา จึงส่ายหน้าพูดออกไป “ข้าไม่เห็นพี่รองเจ้าค่ะ”
โหยวซื่อใช้นิ้วมือเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ “เจ้าไปหาดูหน่อย แล้วพาพี่รองไปเล่นที่ศาลาเฉาหยาง…”
โหยวซื่ออธิบายอย่างละเอียด ซูชิงเสวี่ยยิ่งฟังดวงตาก็ยิ่งเบิกกว้างขึ้น
นางเข้าใจสิ่งที่ท่านแม่ใหญ่ต้องการจะบอกแล้ว ท่านแม่ใหญ่ต้องการวางแผนให้เจียงซื่อกับพี่รองเป็นคู่กัน!
หลังจากคิดได้ ซูชิงเสวี่ยรู้สึกดีใจยกใหญ่
พี่รองเป็นลูกชายแท้ๆ ของท่านแม่ใหญ่ก็จริง เดิมไม่มีเหตุผลที่จะยกให้เจียงซื่อง่ายๆ หรอก ทว่าตอนเด็กพี่รองป่วย นับแต่นั้นมาก็เลยกลายเป็นคนสติไม่สมประกอบ
เมื่อนึกถึงใบหน้าโง่ๆ คราบน้ำลายที่เลอะมุมปากของซูชิงอี้ ซูชิงเสวี่ยก็เม้มปากออกมาอย่างไม่รู้ตัว
นางแทบทนไม่ไหวอยากจะเห็นหน้าตอนเจียงซื่อกลายเป็นพี่สะใภ้รองว่าเป็นอย่างไรแล้ว
พวกเขาไม่ใช่ตระกูลที่เลี้ยงสตรีที่ยากจนไม่ได้ อย่าว่าแต่พี่รองเป็นคุณชายแห่งจวนโหวเลย ถึงจะเป็นราชโอรส ก็ไม่มีครอบครัวไหนเห็นด้วยที่จะยกลูกสาวให้แต่งงานกับคนสติไม่ดีหรอก
“ไปเถอะ” โหยวซื่อพูดเร่ง
ซูชิงเสวี่ยลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่วางใจได้เลยเจ้าค่ะ ข้ารู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร”
โหยวซื่อพยักหน้าด้วยความพอใจ “อืม ขอบใจเจ้ามาก”
รอซูชิงเสวี่ยเดินจากไปโหยวซื่อก็กำชับสาวรับใช้สองสามประโยค ถึงได้กลับไปดูงิ้วต่อ
เวลานี้บนเวทีกำลังแสดงงิ้วเรื่อง ‘บันทึกถุงหอม’ ถึงตอนที่สิบ ผู้ชมต่างกำลังตั้งอกตั้งใจดู ทว่าโหยวซื่อกลับไม่มีกะจิตกะใจดูเลย นางเหลือบมองอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินที่โดดเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางผู้คน พลางยิ้มเยาะออกมา
ตอนแรกที่เจียงซื่อยังไม่ได้หมั้นหมายกับจวนอันกงกั๋ว เหล่าฮูหยินก็ได้มาพูดหว่านล้อมนาง ในคำพูดล้วนวนอยู่แต่เรื่องอยากจะให้เจียงซื่อกับสวินเอ๋อร์ครองคู่กัน ตอนนั้นนางโกรธมากจริงๆ
เด็กสาวคนหนึ่งที่สูญเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก ครอบครัวก็ใกล้สูญเสียการสืบทอดตำแหน่งไปอย่างรวดเร็ว มีสิทธิ์อันใดถึงจะมาแต่งงานกับลูกชายที่นางอบรมสั่งสอนมาอย่างดีได้ จิตใจของเหล่าฮูหยินทำด้วยอะไรกัน หึหึ เหล่าฮูหยินอยากให้แต่งงานนัก เช่นนั้นนางจัดการให้อี้เอ๋อร์แต่งกับเจียงซื่อเสีย มันก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ
โหยวซื่อกลุ้มใจเล็กน้อยเมื่อนึกถึงซูชิงอี้ลูกคนรอง
หากอี้เอ๋อร์ไม่ได้ป่วยในครั้งนั้น จะต้องฉลาดและโดดเด่นเฉกเช่นเดียวกับสวินอ๋อร์เป็นแน่ และนางคงไม่ยกให้เจียงซื่อง่ายๆ หรอก! โหยวซื่อคิดเตลิดไปไกล หางตาชำเลืองมองเห็นเอ้อร์ไท่ไท่สวี่ซื่อขมวดคิ้วพลางลุกออกไป ความสงสัยผุดขึ้นมาในใจ ทว่าไม่นานก็สลัดความคิดอันฟุ้งซ่านนี้ออกไปแล้วตั้งใจดูการแสดงงิ้วต่อ
ซูชิงเสวี่ยได้รับการฝากฝังจากโหยวซื่อให้ไปหาพี่รองซูชิงอี้ ในใจรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
จะต้องไม่มีการผิดพลาดเกิดขึ้น มิเช่นนั้นหากทำให้ท่านแม่ใหญ่ผิดหวัง การประจบเอาใจของนางก็จะสูญเปล่า ไม่แน่อาจจะทำให้ท่านแม่ใหญ่เกลียดนางด้วย
“เสวี่ยเอ๋อร์…” มีน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ ดังขึ้น
ซูชิงเสวี่ยหยุดเดิน เมื่อเห็นใบหน้าคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจนก็ทำหน้าขรึม “ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร”
คนที่พูดเป็นสตรีนางหนึ่ง อายุสามสิบต้นๆ ริ้วรอยเหี่ยวย่นที่มุมปากและหน้าผากทำให้ใบหน้าที่สวยงามเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม ความมีชีวิตชีวาบนใบหน้าถดถอยลงไปอย่างรวดเร็ว แต่หากมองดูดีๆ ก็จะดูออกว่าสตรีผู้นี้กับซูชิงเสวี่ยใบหน้าคล้ายกันมาก
ซูชิงเสวี่ยมองแม่แท้ๆ ของตัวเองที่ท่าทางไม่เอาไหน พลางเอ่ยพูดด้วยความโมโห “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าเสนอหน้าอมทุกข์นี่ออกมาให้ข้าเห็นอีก”
สตรีผู้นั้นขยับริมฝีปาก พูดอย่างระมัดระวัง “เสวี่ยเอ๋อร์ อี๋เหนียงคิดถึงเจ้า…”
สตรีผู้นี้คืออนุของนายท่านซู งานฉลองวันเกิดของอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินเช่นนี้จึงไม่มีสิทธิ์ปรากฎตัว ปกติการจะได้เจอลูกสาวสักครั้งก็ไม่ง่ายเลย ตอนนี้เมื่อเห็นซูชิงเสวี่ยจึงรู้สึกดีใจมาก ขนาดใบหน้าที่เศร้าสร้อยยังดูมีความสุขขึ้นมาเล็กน้อย
นางเหม่อมองลูกสาว แทบอยากจะสลักลูกสาวเข้าไปไว้ในใจ
เมื่อซูชิงเสวี่ยได้ยินสิ่งที่สตรีผู้นั้นพูดกลับรู้สึกหงุดหงิดออกมาอย่างอดไม่ได้ จึงพูดอย่างเย็นชา “อี๋เหนียงพูดจาระวังหน่อย ข้าเป็นลูกของท่านแม่ เรียกท่านว่าอี๋เหนียงก็เพราะเห็นแก่หน้าท่านพ่อ ส่วนเรื่องอื่นท่านอย่าได้คิดเพ้อเจอไปเองเลยจะดีกว่า”
นางพูดจบก็ไม่ได้สนใจว่าสตรีผู้นั้นจะหน้าซีดเผือดไร้ซึ่งเลือดฝาด จากนั้นก็ก้าวเดินจากไป
สตรีผู้นั้นยื่นมืออกไปคว้าชายแขนเสื้อของซูชิงเสวี่ยไว้อย่างไม่รู้ตัว
ซูชิงเสวี่ยกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “เจ้าปล่อยข้านะ ข้ายังมีเรื่องต้องไปจัดการ ไม่ว่างมาสนใจเจ้าหรอกนะ”
“เสวี่ยเอ๋อร์ วันนี้เป็น…”
ซูชิงเสวี่ยไม่รอสตรีผู้นั้นพูดจบ ออกแรงดึงชายแขนเสื้อ พลางเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ “เจ้ารับผิดชอบแทนข้าได้หรือไม่หากทำให้งานของท่านแม่ล่าช้า ไร้ประโยชน์เสียจริง รู้จักแต่ทำให้ข้าลำบาก เสียดายจริงที่ข้าไม่ได้เกิดออกมาจากท้องท่านแม่!”
สตรีผู้นั้นมองซูชิงเสวี่ยที่ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมาด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว น้ำตาค่อยๆ ไหลอาบแก้ม