หลังจากที่แยกกับเจียงจั้น เจียงซื่อและพี่สาว สองพี่น้องก็เดินหาที่หลบแดดเพื่อคุยกันต่อ
สองพี่น้องไม่ได้พบเจอกันมานาน เจียงซื่อกังวลว่าในไม่ช้าจะเกิดเรื่องโชคร้ายกับพี่ใหญ่ ส่วนเจียงอีก็สงสารน้องสาวที่ต้องเผชิญหน้ากับการยกเลิกงานแต่ง ทำให้ทั้งสองคุยกันได้อย่างออกรสออกชาติ
ทันใดนั้นก็มีสาวรับใช้ที่สวมชุดดำคนหนึ่งเดินเข้ามา เอ่ยขึ้นกับเจียงอีด้วยท่าทางสุภาพ “เหล่าฮูหยินเชิญท่านไปพบเจ้าค่ะ”
แม้เจียงอีจะประหลาดใจ แต่ก็ลุกขึ้น
เจียงซื่ออยากจะไปด้วย ทว่าถูกเจียงอีห้ามไว้ “วันนี้อากาศร้อน น้องซื่ออย่าตามพี่ไปเลย ท่านยายคงจะเรียกพี่ไปถามไถ่แค่ไม่กี่คำ คุยกันเสร็จพี่ค่อยกลับมาหาเจ้า”
เจียงอีเดินจากไปพร้อมกับสาวรับใช้ชุดดำอย่างรวดเร็ว อาหมานหยิบพัดออกมาพัดให้เจียงซื่อ เจ้านายและสาวรับใช้คุยสัพเพเหระกันอยู่สองคน
“วันนี้ร้อนจริงๆ นะเจ้าคะ ดีที่คุณหนูหาที่นั่งพักที่เย็นสบายเช่นนี้ได้ ลมเย็นๆ พัดโกรกเข้ามาสบายยิ่งนัก”
เจียงซื่อหลับตาลง ปล่อยให้แสงแดดสาดส่องผ่านใบไม้ที่เขียวขจีลงมาที่ใบหน้าอันขาวนวลของนาง จากนั้นก็ลืมตาขึ้นชำเลืองมองอาหมานพลางยิ้มออกมา “ถ้างั้นเจ้าจะพัดให้ข้าทำไม หยุดพักเถอะ”
“บ่าวไม่เหนื่อยเลยเจ้าค่ะ” อาหมานหันมองซ้ายขวา เอามือป้องปากพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ “คุณหนู บ่าวเห็นว่าวันนี้คุณชายใหญ่ไม่ได้พูดน้อยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” ซูชิงสวินเป็นคนสุภาพเรียบร้อยมาก เมื่อก่อนเจียงซื่อมาพักค้างคืนที่จวนโหว ทั้งสองแทบจะไม่ได้คุยกันเลย อย่างมากก็แค่ทักทายถามสารทุกข์สุขดิบกันเพียงเท่านั้น
เจียงซื่อหลับตาลงอีกครั้ง เอ่ยเสียงเรียบ “พี่ใหญ่เป็นคนดี พอเถอะ เราอยู่ข้างนอก อย่าวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นเรื่อยเปื่อยเลย”
เจียงซื่อเข้าใจซูชิงสวินดีว่าเหตุใดท่าทีของเขาในครั้งนี้ถึงไม่เหมือนเมื่อก่อน หลังจากที่นางอายุสิบปี ป้าสะใภ้ใหญ่โหยวซื่อก็เริ่มระวังนาง กลัวว่านางที่เป็นสตรีฐานะธรรมดาจะให้ความหวังลูกชายจนเสียคน แม้ท่าทีของโหยวซื่อจะไม่แสดงออกชัดเจน แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่อ่อนไหวไวต่อความรู้สึกอย่างนางหรือว่าผู้ที่ฉลาดหลักแหลมอย่างซูชิงสวินต่างก็รูสึกได้
ซูชิงสวินไม่ยอมให้นางลำบากใจเพราะแม่ของเขา นับตั้งแต่นั้นมาเขาจึงมีท่าทางนิ่งเฉยกับนางมาโดยตลอด ทว่าวันนี้ที่ซูชิงสวินแสดงท่าทีแตกต่างออกไปนั่นก็เพราะในสายตาของผู้อื่นช่วงนี้นางดูน่าเป็นห่วง เขาก็แค่ไม่อยากให้นางรู้สึกว่าเขาเย็นชาเท่านั้นเอง
อาหมานแลบลิ้นปลิ้นตาออกมา “ก็ได้ บ่าวไม่พูดแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นเจ้านายหลับตาสนิท ท่าทางไม่แยแส อาหมานก็แอบถอนหายใจออกมาเงียบๆ แล้วคิดในใจว่า ในใจของคุณหนูคงจะมีเพียงแค่คุณชายอวี๋ ส่วนคนอื่นแม้แต่เอ่ยนามขึ้นมาก็ยังไม่สนใจ
เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังใกล้เข้ามา เจียงซื่อลืมตาขึ้น เห็นสาวรับใช้ชุดดำคนหนึ่งเดินรุดเข้ามา
นางดีดตัวขึ้นมานั่งตัวตรงอย่างไม่รู้ตัว
พอสาวรับใช้ชุดดำเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง ก็ย่อเข่าทำความเคารพพลางทำสีหน้าร้อนใจ “คุณหนูเจ้าคะ จู่ๆ จูไท่ไท่ก็เป็นลมล้มพับไปเจ้าค่ะ”
ตระกูลของสามีเจียงอีนามสกุลจู และเป็นเพราะออกเรือนแต่งงานไปแล้วคนรับใช้ในจวนโหวจึงไม่อาจเรียกว่าคุณหนูใหญ่ ต้องเรียกว่าจูไท่ไท่
เมื่อได้ยินเจียงซื่อก็ใจหายวาบ พลันลุกยืนขึ้น “ตอนนี้พี่ใหญ่ของข้าอยู่ที่ใด รีบพาข้าไปเร็วเข้า”
“เชิญคุณหนูตามบ่าวมาทางนี้เลยเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อเดินตามสาวรับใช้ชุดดำไป แม้ในใจจะกังวล ทว่าก็ยังคงเฝ้าระวังสถานการณ์รอบๆ ตัวอยู่ พอเห็นว่ากำลังมุ่งหน้าไปหาอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยิน จึงรู้สึกสบายใจ
เลี้ยวข้างหน้าก็เป็นทะเลสาบจวีสยา
ทะเลสาบจวีสยาและศาลาเฉาหยางที่อยู่ไม่ไกลนักเป็นส่วนเสริมซึ่งกันและกัน นับว่าเป็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของจวนอี๋หนิงโหว
เจียงซื่อรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่อันสวยงามแห่งนี้มาก ทว่าตอนนี้กลับไม่มีกะจิตกะใจอยากจะเชยชม
ขณะที่นางกำลังจะเดินผ่านไป จู่ๆ ก็มีคนพุ่งออกมาจากหลังพุ่มดอกไม้ เข้ามาขวางทางที่พวกนางกำลังจะไป
“ผู้ใดกัน!” อาหมานตะโกนโพล่งออกมาอย่างอดไม่ได้ ทว่าจ้องดูสักพักก็เอ่ยเสียงหลงออกมา “คุณชายรองงั้นหรือ”
ผู้ที่มาขวางทางเป็นเด็กหนุ่มอายุราวสิบสี่สิบห้า รูปร่างท้วมใหญ่ ใบหน้าที่หล่อเหลาเป็นทุนเดิมกลับกลมเป็นลูกแตงโมเพราะอ้วน จึงทำให้ดูน่ากลัวเล็กน้อย
แววตาของเด็กหนุ่มดูไร้ซึ่งความรู้สึกและจิตวิญญาณเล็กน้อย เขาปรบมือให้เจียงซื่ออย่างชอบอกชอบใจ ”พี่ซื่อมาเล่นกับข้าสิ!”
เจียงซื่อเห็นเขาวิ่งออกมาได้ครึ่งทางแล้ว แม้จะตกใจ ทว่าสีหน้ากลับนิ่งสงบ
ขณะที่นางต้องรักษาความสงบไว้ พบว่าสาวรับใช้ชุดดำที่นำทางให้พวกนางหายวับเข้าไปในพุ่มไม้ใบหญ้าภายในพริบตาเดียว
เจียงซื่อรู้สึกได้ทันทีว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล จึงตัดสินใจถอยหลังไปสองก้าว
พอดีกับจังหวะซูชิงอี้ยื่นมือมาคว้าชายแขนเสื้อเจียงซื่อ เขาคว้าน้ำเหลวเนื่องจากนางก้าวถอยหลังไป
อาหมานร้องเสียงแหลม “คุณชายรอง ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ!”
“อาหมาน ไม่ต้องพูดให้มากความ ไปกันเถอะ!”
เจียงซื่อหันหลังแล้วเดินออก
น้องรองซูชิงอี้สติไม่สมประกอบ หากมัวแต่ถกเถียงกับเขานั้นเป็นเรื่องโง่เปล่าๆ ตัดสินใจเดินหนีออกไปน่าจะเป็นวิธีที่ฉลาดมากกว่า
ตอนนี้เจียงซื่อไม่มีเวลามาคิดหรอกว่าใครเป็นคนอยู่เบื้อหลังการกลั่นแกล้งนาง จุดประสงค์เพื่ออะไร นี่แทบเป็นการอาศัยสัญชาตญาณล้วนๆ ในการตัดสินใจออกมาให้เหมาะสมที่สุด
ทว่าซูชิงอี้สติไม่สมประกอบ ตอนนี้อยากจะเล่นกับเจียงซื่อ จะปล่อยนางไปได้อย่างไร จึงรีบพุ่งเข้าไปผลักอาหมานออกทันที ปากก็ตะโกนออกไป “พี่ซื่อมาเล่นด้วยกันกับข้า ข้าอยากเล่นกับพี่ซื่อ!”
อาหมานไหวตัวทัน ยกเท้ขึ้นถีบออกไป
อาหมานมีวรยุทธ์ป้องกันตัว จึงไม่มีปัญหาหากต้องต่อกรกับชายหนุ่มอกสามศอกถึงสองคน และในสถานการณ์คับขันเช่นนี้นางถีบออกไปเต็มแรง ซูชิงอี้ที่แม้จะตัวใหญ่ล้มคว่ำลงไปบนพื้น
เจ้านายและคนใช้ถือโอกาสนี้เดินหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเดินออกไปไกล อาหมานก็เอามือทาบอกไว้ “คุณหนู นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมอยู่ดีๆ คุณชายรองถึงได้มาอยู่ที่นี่”
เจียงซื่อกลับมาเป็นปกติหลังจากที่วิ่งหอบหนีออกมาอย่างรวดเร็ว พลันเอ่ยพูดน้ำเสียงเรียบเฉย “ใช่ ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น!”
ซูชิงอี้สมองไม่สมประกอบ จึงไม่ได้ปรากฎตัวตอนฉลองวันเกิดท่านยาย หากจะบอกว่าทั้งสองเจอกันที่นี่โดยบังเอิญ แล้วสาวรับใช้ชุดดำที่หายตัวไปก็น่าจะเพียงพอที่จะบอกได้แล้วว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่
“ไปหาพี่ใหญ่ข้าก่อน”
สาวรับใช้ชุดดำผู้นั้นเอาความห่วงใยที่นางมีต่อพี่ใหญ่มาใช้ประโยนชน์ ทำให้นางจำเป็นต้องตามไป เช่นนั้นที่พี่ใหญ่โดนเรียกให้ออกไปเป็นเพราะคำสั่งของท่านยาย…หรือจะเป็นกลอุบาย!
เมื่อเจียงซื่อคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกกังวลขึ้นมาในใจ
พี่ใหญ่ไม่เหมือนนาง และไม่ได้มีสาวรับใช้ฝีมือดี แถมยังไม่มีหนอนและผงยาพวกนั้นเหมือนนาง หากเจอสถานการณ์ลำบากคงยากที่จะถอนตัวออกมาได้
เจียงซื่อกับอาหมานมุ่งหน้าไปหาอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินที่กำลังดูงิ้วพร้อมกัน เมื่อเห็นไกลๆ ว่าเจียงอีนั่งอยู่ข้างกายอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินถึงได้โล่งอก จากนั้นก็ผ่อนคลายสีหน้าท่าทางลงทันที
เวลานี้ถึงพบว่าฝ่ามือเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เจียงซื่อยกมือขึ้นมาจัดผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง ผ่อนฝีเท้าลงแล้วเดินตรงไปที่หน้าเวทีการแสดง
มีคนมากมายมาร่วมดูงิ้วกับอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยิน เจียงซื่อจึงไม่ได้เดินไปข้างหน้า แล้วเลือกที่นั่งที่ไม่ค่อยเด่นนักนั่งลง
ทว่าเจียงอีเห็นเจียงซื่อเดินมาแต่แรกแล้ว จึงส่งสายตาเป็นเชิงถามออกไป
เมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่สบายดี เจียงซื่อก็รู้สึกดีใจมาก พลางส่งยิ้มบางๆ ให้เจียงอีแสดงว่าไม่เป็นอะไร
เจียงอียิ้มตอบ อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินพูดอะไรบางอย่างขึ้นพอดี นางจึงต้องหันกลับไป
ขณะที่สองพี่น้องกำลังคุยกันผ่านสายตา ต้าไท่ไท่โหยวซื่อก็กวาดสายตามองเจียงซื่อเงียบๆ ด้วยความสับสน เกิดอะไรขึ้น หรือว่าซูชิงเสวี่ยจะทำพัง
ไม่นานก็มีเสียงวุ่นวายเกิดขึ้น มีคนร้องไห้พร้อมกับตะโกนไปด้วย “แย่แล้ว เกิดเรื่องกับคุณชายรอง!”