ตอนที่ 240 ข่มขู่ ผู้ที่มีความรอบคอบจะยากต่อการผิดพลาด (4)
คืนวันก่อนมั่วเชียนเสวี่ยตั้งกฎขึ้นมาให้พวกเขา ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะต้องมีการประชุมในตอนเช้า พวกเขาจะต้องมารายงานสถานการณ์ของงานที่ทำไป
เมื่อวานนี้นางได้รับรู้เรื่องราวของครอบครัวเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังได้ฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน วันนี้มีแผนการดีๆ ให้พวกเขาแต่ละคนเลือกเรื่องสำคัญออกมาพูด ฟังการรายงานจบก็ได้ออกคำสั่งว่าสถานที่ใดบ้างที่ควรให้ความสำคัญ จากนั้นก็ให้ทุกคนแยกย้ายออกไป
ความจริงจวนแห่งนี้ ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไร มีเพียงเรื่องอาหารการกิน การซื้อของ การดูแล ทำความสะอาด การเฝ้าเวรยาม และอื่นๆ
รอจนคนเหล่านี้แยกย้ายไปจนหมด พ่อบ้านมั่วก็เข้ามาขอคำแนะนำ “พ่อบ้านเฟิงที่รับผิดชอบดูแลงานเรื่องน้อยใหญ่ภายนอกจวนตอนนี้ได้รออยู่หน้าห้องโถงแล้ว ขอเชิญคุณหนูเข้าไปชี้แนะ” พ่อบ้านมั่วดูแลเรื่องราวต่างๆ ภายในจวนเป็นพ่อบ้านฝ่ายใน ส่วนพ่อบ้านเฟิงเป็นพ่อบ้านฝ่ายนอก ได้ยินมาว่าเขาคือบ่าวรับใช้ที่ติดตามเฟิงชิงอวี้แม่ของนางมาจากบ้านเดิม ได้ยินมาว่าเขาเป็นผู้ดูแลสินเดิมของฮูหยินกั๋วกงมาโดยตลอด และเป็นผู้ดูแลเรื่องภายนอกของจวนกั๋วกง
มั่วเชียนเสวี่ยคือเจ้านายสายตรงของเขา ตามมารยาท เขาจะต้องมาคำนับนางอยู่แล้ว เมื่อวานหลังจากที่นางกลับจากในวังมาได้ไม่นาน พ่อบ้านเฟิงก็ขอเข้ามาคำนับแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยจึงสั่งพ่อบ้านทันที ให้พ่อบ้านเฟิงรีบจัดการเรื่องน้อยใหญ่ข้างนอกให้เสร็จแล้วมาพบกับนางก่อน นางต้องการรับช่วงต่อกิจการทุกอย่างในเมืองหลวง เป็นนายจ้างก็ต้องตรวจสอบบัญชี ผู้จัดการร้านคนไหนบ้างที่ไม่อยากพักการทำบัญชีทั้งหมด เขานี่ดีจริง รีบเร่งขนาดนี้ รวดเร็วถึงเพียงนี้ ก็รวมคนมาที่นี่ได้ทั้งหมดแล้ว
หรือว่า คนผู้นี้มีความซื่อสัตย์มากทำงานได้ตลอดเวลา ในวันปกติก็สามารถทำบัญชีได้ดีมากๆ หรือคนผู้นี้เป็นคนทรยศ ต้องการใช้ประโยชน์จากความสับสนของนางในตอนนี้ ช่วงที่กิจการต่างๆ ยุ่งเหยิงไปหมด ก็เก็บเกี่ยวประโยชน์จากช่วงเวลานี้
เกรงว่าคนผู้นี้จะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า! มั่วเชียนเสวี่ยยกมุมปากขึ้นยิ้มเบาๆ “ให้พวกเขารอไปก่อน อีกสักครู่ข้าจะไป” อยากจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากช่วงเวลาที่ยุ่งเหยิงใต้จมูกนางอย่างนั้นหรือ เขาพลาดแล้ว
ตอนที่นางก่อตั้งบริษัทในตอนแรก เพราะต้องการประหยัดแรงงาน บัญชีทั้งหมดในบริษัทล้วนเป็นนางที่เป็นคนทำ บัญชีเหล่านั้นมีนับแสนนับล้านบัญชี นางไม่เคยคิดผิดพลาดแม้แต่น้อย
ในหมู่บ้านหวังจยา นางก็สร้างบ้าน สร้างโรงงาน สร้างร้านอาหาร บัญชีทั้งหมดก็ล้วนเป็นนางที่เป็นคนทำ ทักษะการคิดเลขในใจและการใช้ลูกคิดของนาง ขนาดหนิงเซ่าชิงยังชื่นชมเลย
พอเห็นพ่อบ้านมั่วที่รับคำสั่งแล้วแต่ยังลังเลที่จะออกไป มั่วเชียนเสวี่ยจึงเอ่ยถาม “พ่อบ้านยังมีเรื่องอื่นรายงานอีกหรือไม่”
พ่อบ้านคิดอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดก็พูดออกมา “เมื่อเช้านี้มีคนจากตระกูลมั่วมาส่งข่าวว่าคุณชายทั้งสามล้วนออกไปแล้ว”
“ส่งคนไปคอยจับตาดูพวกเขาตอนที่อยู่ในจวนก็พอแล้ว พวกเขาไปแล้วก็ไม่ต้องไปสนใจ” จื่อฮว่าผู้นั้นจะต้องเป็นคุณชายเจ้าสำราญชอบเที่ยวผู้หญิงเป็นแน่ หรือว่าถ้าเขาไปหอนางโลม นางก็ต้องส่งคนไปติดตามเขาด้วยเช่นนั้นหรือ
“ไม่ส่งคนไปคอยติดตามหรือขอรับ” พ่อบ้านมั่วถามด้วยสีหน้าที่แลดูเป็นกังวลอย่างมาก “บ่าวเกรงว่าที่พวกเขากลับไปเพราะตาเฒ่านั่นคิดอุบายอะไรมาทำร้ายคุณหนูอีก คุณหนูจะต้องคอยระวังตัวให้ดีนะขอรับ”
มั่วเชียนเสวี่ยกลับยิ้มเล็กน้อย “ต้องทำให้พ่อบ้านเป็นห่วงแล้ว พวกเขามาก็ดีเหมือนกัน” นางกำลังเป็นกังวลว่าจะหาข้อผิดพลาดและจับตัวตาเฒ่านั่นไม่ได้อยู่พอดี ทำให้เขาไม่กล้ามาให้นางเห็นหน้าที่จวนกั๋วกงนี้ตลอดชีวิต
หากเขาไม่ลงมือ แล้วจะเกิดข้อผิดพลาดได้อย่างไร เมื่อไม่เกิดข้อผิดพลาด แล้วนางจะจัดการเขาอย่างไร
พ่อบ้านมั่วยืนประหลาดใจอยู่ตรงนั้น เขาเห็นการดูหมิ่นจากนัยน์ตาของมั่วเชียนเสวี่ย เป็นสายตาเดียวกับเมื่อก่อนที่กั๋วกงมองพ่อบ้านมั่ว ราวกับคนในตระกูลมั่วทั้งหมดเหล่านั้นเป็นเพียงมดปลวกไม่ควรค่าให้พูดถึง ที่เขาให้ผลประโยชน์คนเหล่านั้นเล็กน้อย ก็เพียงเพื่อความปรารถนาของท่านแม่ ให้วิญญาณท่านแม่ได้ถูกสักการะก็เท่านั้น
ชั่วขณะหนึ่ง ในใจก็เกิดความคิดนับหมื่น และได้กล่าวเตือน “ระวังเหตุไม่คาดคิดขอรับ”
“ไม่มีปัญหา!” มุมปากของมั่วเชียนเสวี่ยยกขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าเคร่งขรึมราวกับจะแยกแสงแห่งรุ่งอรุณออกจากกัน ชั่วพริบตาตาเดียวแสงนั้นก็เจิดจรัสออกมา “พ่อบ้านเพียงคอยสังเกตคนในจวนให้ข้าก็พอ หากพวกเขามีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติในจวน ก็มารายงานต่อข้า”
พ่อบ้านตอบรับอย่างนอบน้อม “ขอรับ” แล้วก็ถอยออกไป
ในเมื่อคุณหนูมีอุบายที่ดีอยู่แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก คนเหล่านั้นก็แค่ตัวตลกกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ท่านกั๋วกงใจคอกว้างขวาง ฮูหยินกั๋วกงก็อ่อนโยนและใจดี ไม่อยากกระทบกระทั่งกับพวกเขา ปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่พวกเขากลับทำตัวเหิมเกริม ไม่รู้จักสถานะของตนเอง และไม่รู้ว่าตนเองพึ่งพิงใครอยู่
……
ณ ตำหนักคุนหนิงในพระราชวัง
สีหน้าของฮองเฮามืดหม่น เล่นกับนกแก้วที่อยู่ในกรงมาสักพัก นางข้าหลวงอาวุโสแต่ละคนที่อยู่ด้านหลังนางล้วนนิ่งเงียบด้วยความกลัว
ตั้งแต่เมื่อวานที่หัวหน้าขันทีที่อยู่ข้างกายฝ่าบาทมาพบ ฮ่องเฮาก็กลายเป็นแบบนี้
มองดูผิวเผินนางช่างสง่างาม แต่พอมองให้ละเอียดในดวงตากลับเต็มไปด้วยไอสังหาร ใบหน้าเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
กงหมัวมัวเดินเข้ามาด้านใน เดินมาหยุดอยู่ที่เบื้องหลังของฮองเฮาอย่างระมัดระวัง แล้วย่อตัวคำนับ “เมื่อวานนี้ท่านหญิงซูซูแห่งจวนจิ่งชินอ๋องส่งเทียบเชิญไปงานชมดอกท้อให้แก่คุณหนูใหญ่แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเพคะ…”
“มีตาหามีแววไม่!” ฮองเฮาหยุดมือที่กำลังเล่นกับนก หันกลับไปจ้องมองกงหมัวมัวตาเขม็ง “เด็กสาวบ้านนอกไร้การอบรมนั่น เหมาะสมที่จะเข้าร่วมหรือ!”
กงหมัวมัวตัวสั่น “บ่าวควรส่งคนไปแจ้งแก่จางหมัวมัวคนสนิทของท่านหญิงซูซูให้นางไปเอาเทียบเชิญกลับคืนมาดีหรือไม่เพคะ…”
“ไม่ต้องแล้ว ท่านหญิงซูซูผู้นี้ช่วยข้าได้มากเชียว ข้ากำลังกังวลอยู่เลยว่าจะจัดการกับนางอย่างไร จะให้นางเงยหน้าไม่ขึ้นต่อหน้าผู้คนมากมาย ตอนนี้…หึหึ…”
ก็เพราะนางหญิงชั้นต่ำคนนี้ ไม่กี่วันก่อนฝ่าบาทถึงได้ส่งคนมาตักเตือนนาง เมื่อวานเขายังส่งคนมาตำหนินางอีก ให้นางสำนึกตนอยู่แต่ในตำหนัก
แม้ว่าฝ่าบาทจะไว้หน้านางอยู่บ้าง เพียงแต่แค่คำพูด ไม่ได้มีพระราชโองการสู่ภายนอก ทำให้นางต้องติดอยู่ในสถาณการณ์ที่น่าอับอาย แต่ความโกรธที่สุมอยู่ในอกนางจะระงับอย่างไรก็ระงับไม่ได้
เข้าวังมาก็หลายปีดีดัก นี่คือครั้งที่สองที่ฝ่าบาทกักบริเวณนางไว้ ครั้งแรกเป็นเพราะมารดาของนาง ครั้งที่สองนี้เป็นเพราะนาง…
นังเด็กชั้นต่ำคนนี้ ก็เหมือนกับมารดาของนาง ล้วนเป็นศัตรูตัวฉกาจของฮองเฮาทั้งหมด
ด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายนั้น แท่งไม่เล็กๆ ที่ใช้เขี่ยนกเล่นที่อยู่ในมือนั้น ชั่วพริบตาเดียวก็แทงทะลุเข้าไปในร่างนกแก้วที่อยู่เบื้องหน้า
พอแท่งไม้เล็กๆนั้ นแทงเข้าไปในตัวนกแก้ว ฮองเฮาก็ยิ้มกว้างขึ้น ราวกับว่าไม้เล็กๆ ที่แทงเข้าไปในตัวนกแก้วแท่งนั้น เป็นดาบแหลมคม และนกแก้วตัวน้อยๆ นั้นคือร่างของมั่วเชียนเสวี่ย
นกแก้วถูกไม้เสียบ ก็ร้องออกมา หัวเอียงไปข้างหนึ่ง แล้วตายจากไป
ได้ยินเสียงร้องนี้ เหล่านางข้าหลวงที่คอยรับใช้ก็ขาอ่อนกันเป็นระนาว แต่กลับไม่มีสักคนที่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง
จิ๊บบบ
ฮ่าๆๆๆ เสียงร้องมาพร้อมกับเสียงหัวเราะของฮองเฮา มันทำให้บรรยากาศของทั้งตำหนักคุนหนิงอึมครึมมืดหม่น
กงหมัวมัวที่เห็นนกแก้วตายอยู่ในกรง แต่สีหน้าของนางก็ไม่ได้เปลี่ยนไป เห็นได้ว่าฉากนี้พบเห็นได้บ่อยครั้ง คำพูดของฮองเฮามีอะไรมากกว่าที่ได้ยิน นางจะฟังไม่ออกได้อย่างไร “เช่นนั้นบ่าวควรจัดการเรื่องนี้อย่างไรดีเพคะ”
ฮองเฮาหรี่ตาลงเล็กน้อย จ้องมองไปที่กงหมัวมัว ดวงตาทั้งสองเป็นประกาย กงหมัวมัวถอยหลังไปก้าวหนึ่งด้วยความตกใจ แล้วก็คุกเข่าลง ฮองเฮาก็หัวเราะขึ้นมา “ไปเชิญองค์หญิงอวี้เหอมาที่นี่ บอกนางว่าข้าคิดถึงนางแล้ว”
กงหมัวมัวรีบรับคำสั่งโดยเร็ว “เพคะ”
หลังจากหัวเราะแล้ว ราวกับว่าก้อนหินก้อนใหญ่ก้อนนั้นที่อยู่ในใจได้ร่วงลงสู่พื้นแล้ว ฮองเฮาไม่สนใจกงหมัวมัวอีกต่อไป แต่สีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย หาวอย่างเกียจคร้าน และกล่าวเบาๆ “ข้าเหนื่อยแล้ว”