ยูซอดัมมองไปที่อีดงจุนและคิดว่าการปรากฏตัวของชินฮเยจีนั้นส่งผลต่อเขามากกว่าที่ตนเองคิดไว้ตอนแรกเสียอีก

ในการต่อสู้อันแสนรุนแรงที่ปะทุขึ้น อีดงจุนกำลังดิ้นรนต่อไปโดยที่ไม่แม้แต่จะสามารถแสดงความแข็งแกร่งของตัวเขาเองออกมาได้ บาดแผลบนร่างกายของเขาค่อยๆเพิ่มมากขึ้นเรื่อยและชุดต่อสู้ในตำนานของเขา คยอรยองบก ก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ

ฉึบ!!!

วัตถุบางอย่างที่ร้อนและวัตถุบางสิ่งที่เย็นก็แทงทะลุไปที่หลังของอีดงจุนในเวลาเดียวกัน

มันเป็นกรีซที่ปกคลุมไปด้วยยาพิษ,หอกที่มีรูปลักษณ์คล้ายมังกร และขวานที่มีข่าวลือมาว่าถูกสร้างขึ้นมาจากต้นไม้ที่มีอายุพันปี อาวุธสามชิ้นนี้กำลังแทงทะลุผ่านร่างกายของอีดงจุน

มันเป็นการต่อสู้ที่แสนน่าอนาทและน่าสมเพช ไม่คุ้มค่ากับชื่อการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของชายผู้คนแข็งแกร่งในโลกคนนี้เลย

การที่เลเวลของเขาลดลงเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าส่งผลกระทบต่อทิศทางต่อสู้อย่างใหญ่หลวง

ในความเป็นจริงแล้ว แม้ว่าอีดงจุนจะยอมรับความผิดของตนแล้วได้พลังของตัวเองกลับมา ชินฮเยจีก็จะต้องปรากฎตัวออกมาตามแผนที่วางเอาไว้และพังทลาย ‘การแก้ไขของตัวเอก’ อยู่แล้ว และด้วยความสั่นไหวทางอารมณ์ของเดอมาร์ที่เกิดจากการตอบสนองของเธอ อีดงจุนสูญเสียเลเวลไปอย่างใหญ่หลวงถึง 150 เลเวลเลยทีเดียว

ด้วยแผนการนี้ทำให้สกิลบางอันของเขาอ่อนแอลง สกิลบางอันก็หายไปและนั้นส่งผลต่อความสามารถโดยรวมของเขาอย่างชัดเจน

รวมไปถึง นักรบบางคนที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี้รวมทั้งฮาซุนยัง มีพลังการต่อสู้ที่อยู่ราวๆ เลเวล 300

ในการต่อสู้ที่แม้แต่พลังอำนาจที่ซ่อนเร้นของเดอมาร์ ‘การแก้ไขของตัวเอก’ ก็ถูกใช้ไปแล้ว อีดงจุนไม่มีพลังการต่อสู้เหลืออยู่ในร่างกายของตนเองให้ต่อกรกับคนอื่นได้อีกต่อไป

ฉึบ!!

แล้วดาบของฮาซุนยังก็ได้เจาะทะลุผ่านหน้าอกของเดอมาร์ ทันใดนั้น ความเงียบได้เข้าปกคลุมยอดเขาหิมาลัยทั้งหมดอีกครั้ง

มันเป็นการตายที่เงียบเหงาเป็นอย่างมากสำหรับใครสักคนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด สำหรับใครสักคนที่ครั้งหนึ่งเคยมีอำนาจมากพอที่จะปกครองโลกใบหนึ่งได้

ไม่มีใครสักคนที่โศกเศร้าเสียใจให้กับการตายของเขา

แต่ก็ไม่มีใครสักคนที่ดีใจกับการตายของเขาเช่นกัน

เพราะว่าเหล่านักรบทั้งหมดจากมูริมทราบดีว่ามันรู้สึกอย่างไรกับการตายอย่างน่าเวทนาท่ามกลางความหนาวเหน็บ,สายลม,และหิมะเพียงลำพัง

ดังนั้นทุกคนเลยเลือกที่จะเงียบลงต่อหน้าการตายของคนๆนี้ คนที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้โลกมูริมทั้งใบสั่นไหวเพราะว่าความยุติธรรมอันบิดเบี้ยวของตัวเองมาแล้ว

ท่ามกลางความสงบนี้เอง ชินฮเยจีได้ร้องไห้ออกมาอย่างเงียบๆ ยูซอดัมไม่สามารถที่จะนำตัวเขาเองไปปลอบประโลมเธอได้ เธอเคยบอกเอาไว้แล้วว่ามันเป็นการตัดสินใจของเธอเองที่จะปรากฏตัวขึ้นที่นี้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตามมันไม่ได้เป็นการกล่าวเกินจริงไปเลยว่าเธอเป็นหนึ่งในคนที่ชักนำอีดงจุนไปสู่ความตายของตัวเขาเอง

และ

[คุณประสบความสำเร็จในการล่าตัวเอกเลเวล 500]

และหลังจากที่ข้อความได้ปรากฏขึ้นมา

“อ้ากกกก!”

ยูซอดัมได้คร่ำครวญออกมาเนื่องจากคลื่นความเจ็บปวดได้ปะทุขึ้นภายในร่างกายของเขาทั่วทั้งร่าง

เขาสามารถที่จะรู้สึกได้เลยว่ากระดูกของตัวเขากำลังบิด,ผิวหนังได้แตกออกมา และการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดได้เกิดขึ้นพร้อมๆกันไปทั่วทั้งร่างกายของเขา

“เกิดอะไรขึ้นกับนายกัน? นายโอเคไหม?”

“…..!”

ซอลจองยอนถาม ในขณะที่ชินฮเยจีพยายามที่จะช่วยเหลือเขาพร้อมกับเธอปาดน้ำตาที่ไหลออกมาของตัวเองไปด้วย แต่เขาไม่สามารถที่จะตอบอะไรกลับไปได้เลยแม้แต่เสียงของเขาก็ปฏิเสธที่จะออกไปเพราะว่าความเจ็บปวดที่ดูเหมือนว่าจะเผาไหม้ไปทั่วทั้งร่างกายของเขามันมากมายเกินกว่าที่เขาจะเปล่งคำพูดออกมาได้

“อึก…!”

มันเป็นราวกับว่ามีใครบางคนกำลังจับกระดูกของเขาและบังคับให้มันเป็นไปอย่างที่ตนต้องการ,ตัดมันเป็นชิ้นๆ และประกอบมันขึ้นมาใหม่เข้าด้วยกัน หรือไม่มันก็คงรู้สึกคล้ายกับว่ามีใครสักคนกระสวกลำไส้ของคุณออกไปแล้วใส่ของใหม่ทั้งหมดเลยเข้าไปแทน

และในทันใดนั้นเอง บางสิ่งบางอย่างก็ได้ปะทุออกมาจากร่างกายทั้งร่างของเขา แสงสีขาวบริสุทธิ์ได้ประทุออกมามา มันเป็นพลังงานที่เกิดจากมานาบริสุทธิ์! เหล่านักรบทั้งหลายจากมูริมเริ่มที่จะมองมาที่เขาที่ละคนๆ และคนพวกนั้นทั้งหมดก็ได้แต่อ้าปากค้างเนื่องจากความประหลาดใจ

“นี้ไม่ใช่…การผลัดเปลี่ยนไขกระดูกใช่ไหม?”

“โอ้พระเจ้าช่วย!”

อะไรคือการผลัดเปลี่ยนไขกระดูกนะหรือ? ด้วยการก้าวข้ามผ่านอิมดอกจางเมค และผ่านประตูแห่งชีวิตและความตาย คุณจะได้รับร่างกายแห่งความเยาว์วัยและไม่ว่าคุณจะแก่ขึ้นเท่าไหรก็ตาม คุณจะยังคงมีรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิม มากไปกว่านั้นอายุขัยของคุณก็จะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากเช่นกัน

มีเพียงแค่เหล่าปรมาจารย์ที่ได้บรรลุในระดับสูงเป็นอย่างมากเท่านั้นที่จะสามารถได้รับการผลัดเปลี่ยนไขกระดูกเช่นนี้ได้ ที่จริงแล้วนั้น มีเพียงเหล่าปรมาจารย์น้อยกว่ายี่สิบคนเสียอีกที่มีชีวิตรอดมาได้หลังจากที่ได้ก้าวผ่านการผลัดเปลี่ยนไขกระดูกเช่นนี้

“ข้าไม่อยากที่จะเชื่อเลย…!”

เหล่านักรบทั้งหมดจากมูริมที่อยู่ที่นี่ต่างก็ยอมรับในไหวพริบของยูซอดัม ต้องขอบคุณชายคนนี้ที่ทำให้พวกเขาสามารถที่จะมารวมกันที่นี่ได้และได้สะสางความแค้นที่ตนเองมี อย่างไรก็ตามนั้นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะยอมรับในเรื่องของพลังความสามารถในการต่อสู้ของยูซอดัมหรอกนะ

แต่ว่าการผลัดเปลี่ยนไขกระดูกนะไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ตามสามารถที่จะได้รับมาได้อย่างง่ายดาย มีเพียงแค่หนึ่งในอัจฉริยะนับพันๆคนเท่านั้นที่จะสามารถประสบความสำเร็จหลังจากที่ได้ฝึกฝนแบบพิเศษมาเป็นสิบๆปีเท่านั้น

“แม้ว่าเจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่อยากจะเชื่อก็เถอะ…แต่ว่านั้นจะต้องเป็นการผลัดเปลี่ยนไขกระดูกเป็นแน่”

มันเป็นปรากฎการณ์ที่พลังงานธรรมชาติได้มารวมตัวกัน ณ จุดๆเดียวแล้วชะล้างสิ่งสกปรกที่ลงอยู่ในร่างกายของคนๆนั้นและแทนที่มันด้วยพลังงานที่ใหม่เอียมโดยสมบูรณ์

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ความจริงตรงหน้านี้ออกจะต่างไปจากสิ่งที่หลายๆคนได้คิดไว้เล็กน้อย

[เลเวลของคุณเพิ่ม 50+5 เลเวล]

[โบนัสเลเวลเสริม 20 เลเวลได้รับเพิ่มหลังจากที่ได้เอาชนะความแตกต่างของพลังอำนาจอย่างท่วมท้นมาได้ เลเวลของคุณเพิ่มขึ้นอีก 20 เลเวล]

[โบนัสเลเวลเสริม 15 เลเวลได้รับเพิ่มหลังจากการล่าตัวเอกที่ได้รับความเป็นไปได้สูงถึงขีดสุด เลเวลของคุณเพิ่มขึ้นอีก 15 เลเวล]

[ค่าสถานที่ไม่สามารถจะดูดกลืนไปก็ถูกกระจายไปยังพรสวรรค์และทักษะต่างๆ]

[พรสวรรค์ ‘ความชำนาญดาบ (A+)’ ได้รับการอัพเกรดเป็น “ความชำนาญดาบ (S)”]

[สกิล ‘สัมผัสที่หก (F)’ ได้รับการอัพเกรดเป็น ‘สัมผัสที่หก (C)’]

[สกิล……]

มันเป็นปรากฏการที่เกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใดกับร่างกายของยูซอดัมซี่งเคยอ่อนแอเป็นอย่างมากก่อนหน้านี้ มันเป็นสิ่งที่เหนือยิ่งไปกว่าบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่อย่างการผลัดเปลี่ยนไขกระดูก แต่ว่าในสายตายของเหล่านักรบจากมูริมทั้งหลายมันก็คงจะคล้ายกับการผลัดเปลี่ยนไขกระดูกจริงๆนั้นแหละ และเมื่อแสงสว่างได้จางหายไป ฮาซุนยังที่ได้มองดูยูซอดัมเปลี่ยนแปลงไปสู่ยูซอดัมคนใหม่ ก็ได้เปิดปากของเธอไปทางเหล่านักรบจากมูริมทั้งหมด

“ทุกๆคนฟังฉันสักครู่จะได้ไหมคะ?”

เสียงของเธอ ไม่เหมือนกับโทนเสียงโดยปกติทั่วไปที่เธอใช้ มันเต็มไปด้วยพลังอำนาจของปรมาจารย์ที่ได้มีชีวิตอยู่มากว่าครึ่งศตวรรษ เมื่อเธอมั่นใจได้แล้วว่าทุกคนกำลังให้ความสนใจมาที่เธอ เธอก็ได้พูดในสิ่งที่เธอต้องการในทันที

“ถึงแม้ว่านี้จะเป็นที่โลกก็ตาม ปราบใดที่เหล่าผู้คนจากมูริมอาศัยอยู่ที่นี่มันก็สามารถที่จะนับไปว่าเป็นมูริมเช่นกัน ดังนั้นฉันเลยอยากที่จะแนะนำอะไรสักอย่างนะ”

“แนะนำอะไรกันหละ?”

“ก็อย่างที่พวกคุณรู้กันดี พวกเราทั้งหมดมาจากสถานที่ที่แตกต่างกันไป,ต่างเชื้อชาติและต่างสัญชาติ ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมเราถึงไม่สร้างนิกายมูริมขึ้นมาใหม่ที่นี้ในยุคปัจจุบันนี้หละ?”

“หืมมมมมม!!”

“นิกายมูริม!!”

เมื่อเหล่านักรบทั้งหลายจากมูริมตอบสนองค่อนข้างจะไปในทางบวกกับสิ่งที่เธอพูด ฮาซุนยังก็ได้พูดขึ้นอีกครั้ง

“พวกเราเหล่าผู้คนจากมูริมมีจำนวนน้อยกว่ามากนักเมื่อเทียบกับจำนวนของเหล่าฮันเตอร์แม้ว่าจะรวมกับพวกเราบางส่วนที่ยังคงซ่อนตัวอยู่ในอีกหลายๆที่แล้วก็ตาม ถ้าหากว่าพวกเราเคลื่อนไหวด้วยตัวคนแล้วหละก็ พวกเราคงจะถูกใช้เป็นเบี้ยด้วยสมาคนฮันเตอร์เท่านั้นเอง แต่ถ้าหากว่าพวกทั้งหมดรวมตัวกันเป็นนิกายมูริมหละ! พวกเราจะไม่ข่มเหงง่ายๆแน่นอน”

ข้อห้ามของอีดงจุนไม่มีอีกต่อไปแล้ว ผู้คนจากมูริมสามารถที่จะใช้พลังของพวกเขาเองได้อย่างอิสระแล้วในตอนนี้แต่ว่ามันยังคงมีสมาคมฮันเตอร์และกิลด์อีกนั้นไม่ถ้วนที่ได้จับจ้องจะกลืนกินพวกเขาเข้าไปแล้วคนพวกนั้นจะปล่อยชาวมูริมไปง่ายๆงั้นเหรอ? แน่นอนว่าไม่มีทางอยู่แล้ว เพื่อที่จะให้ตนเองใช้พลังของมูกงได้คนพวกนั้นคงจะต้องพยายามที่จะติดต่อกับเหล่าผู้คนจากมูริมเพื่อที่จะขโมยความลับของมูกงจากพวกเขาเป็นแน่

อย่างไรก็ดี ถ้าหากว่านิกายมูริเกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง และได้รับการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับยุคปัจจุบันแล้วหละก็มันจะสามารถปกป้องพวกเขาได้ จะไม่มีใครสักคนที่สามารถปฏิบัติกับชาวมูริได้อย่างไร้ซึ่งความยับยั้งชั่งใจ

“อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญที่สุดยังไม่ได้ถูกพูดถึงอยู่ดีนิ…”

ใครบางคนพูดขึ้น

“เราจะกำหนดหัวหน้ายังไงหละ?”

หลังจากที่ได้ฟังคำถามเช่นนั้นฮาซุนยังก็ได้ยิ้มเยาะออกมา การแสดงออกของเธอก็ราวกับว่าเป็นคำตอบที่ชัดเจนในตัวมันเองอยู่แล้ว

“ไม่ใช่ว่ามันควรที่จะมอบให้กับคนที่แข็งแกร่งที่สุดงั้นเหรอ?”

คนๆเดียวที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น!

มันเป็นโลกที่ช่างสวยงามซะจริง

ในขณะที่เหล่าผู้คนจากมูริมเริ่มที่จะรู้สึกตื่นเต้น ฮาซุนยังได้ต่อโดยที่ไม่พลาดโอกาสของเธอ

“แต่มันยังมีอีกปัญหาหนึ่งที่เหลืออยู่”

“เจ้ากำลังพูดถึงปัญหาอะไรกับหละ?”

“ชาวมูริมส่วนใหญ่นั้นใช่ชิวิตอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ ความรู้และสติปัญญาของพวกเราก็ไม่เพียงพอที่จะทำงานอย่างพวกคนที่มีความสามารถลึกลับเหล่านั้น นั้นเป็นเหลุผลที่ว่าทำไมฉันอยากจะเสนอให้ฮันเตอร์ยูซอดัมมาเป็นที่ปรึกษาทางการทหารให้กับนิกายมูริมนะ”

ที่ปรึกษาทางการทหาร

มันเป็นตำแหน่งที่ปกติแล้วจะมอบให้กับเหล่าตัวตนระดับท็อปๆ คนที่มีความเป็นเลิศในการใช้สมองของพวกเขาและแน่นอนว่าความแข็งแกร่งทางร่างกายก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกันสำหรับตำแหน่งนี้ด้วยเหมือนกัน มันเป็นตำแหน่งที่มีไว้สำหรับเหล่าคนที่สามารถจะรับผิดชอบต่อสิ่งไหนก็ตามที่มีความเกี่ยวข้องกับการกลยุทธ์ของนิกายมูริมได้และยูซอดัมก็เป็นคนๆนั้นที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้พอดี

ก็ไม่ใช่ว่าเป็นตัวเขาเองหรอกหรือที่เป็นคนที่เปิดเผยความลับของเดอมาร์ให้กับคนทั้งโลกได้รับรู้,รวมตัวเหล่านักรบทั้งหลายจากมูริมให้มาอยู่ในที่เดียวกัน,ทำให้เดอมาร์อ่อนแอลงโดยเล่นงานไปที่จุดอ่อนของเขาและแม้กระทั้งล่าชายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกโดยที่ไม่มีผู้เสียชีวิตเลยสักคนกันนะ?

มันไม่มีช่องว่างใดๆสำหรับการปฏิเสธเลยรวมไปถึงการผลัดเปลี่ยนไขกระดูกที่เขาพึ่งจะทำเสร็จสิ้นไปเมื่อตะกี้นี้ ก็ทำให้เขาได้กลายมาเป็นคนที่สามารถจะเชื่อถือได้ด้วยพลังที่เขามี

“ถึงแม้ว่าฮันเตอร์ยูซอดัมจะไม่คนที่มาจากมูริม…ข้าก็คิดว่ามันไม่มีเหตุผลใดๆเลยที่จะปฏิเสธในเรื่องที่จะให้เขามาเป็นที่ปรึกษาทางการทหารของนิกายมูริมในยุคปัจจุบันนี้ ข้าเห็นด้วย”

เริ่มด้วยแดเนียลที่อยู่ข้างเดียวกับกอมฮีตั้งแต่เริ่ม ผู้คนทั้งหมดจากมูริมก็เริ่มที่จะเห็นด้วยเช่นเดียวกัน ฮาซุนยังยิ้มออกมาอย่างสว่างไสวและแลกเปลี่ยนความคิดกันผ่านทางสายตากับยูซอดัม

ในความเป็นจริง การสร้างนิกายมูริมขึ้นมาในยุคปัจจุบันนั้นเป็นสิ่งที่ยูซอดัมได้คิดมาสักพักแล้ว

เพราะว่าหลังจากที่อีดงจุนตายลง ข้อห้ามที่เขาสร้างขึ้นก็จะหายไป มันเลยจำเป็นที่จะต้องหาหนทางที่จะควบคุมเหล่าผู้คนจากมูริมขึ้นมาใหม่ ในตอนแรกๆเขาคิดที่จะใช้วิธีการอื่นที่มันอาจจะได้รับผลตอบรับที่แย่ๆมากกว่านี้ แต่ไม่ต้องสงสัยเลยด้วยเลเวลที่ได้ยกระดับขึ้นจนคล้ายกับการผลัดเปลี่ยนไขกระดูกมันเลยทำให้เขามีทางเลือกที่ดีกว่า

‘นอกจากนี้แล้ว พี่สาวคนนี้…เธอก็พูดได้ดีกว่าที่คิดคิดไว้อีกมั้งเนี่ย?’

ดูเผินๆแล้ว เธอก็ดูเหมือนหญิงสาวธรรมดาๆ มันง่ายที่จะเข้าใจผิดได้ว่าเธอเป็นน้องสาวเพื่อนบ้านที่จับดาบได้ค่อนข้างดี แต่ในตอนนี้เขาสามารถที่จะเห็นภาพลักษณ์ที่แท้จริงของเธอแล้ว

“ในเมื่อที่ปรึกษาทางการทหารได้รับการตัดสินใจแล้วอย่างต่อไปคงจะต้องเป็นตำแหน่งผู้นำของนิกาย ‘โมเดิร์นมูริมลีก’ และการต่อสู้กันด้วย ‘การประลอง’ สินะ”

มันเป็นชายที่มีชื่อเรียกว่าควอนฮวังที่ได้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาในกำลังกระแทกกำปันของตัวเองเข้าด้วยกัน

“ใช่แล้ว! ในอีกสามวันให้พวกเราทุกคนมาเจอกับที่หิมาลัยอีกครั้งก็แล้วกัน!”

นั้นเป็นจุดเริ่มต้นของนิกายมูริมซึ่งไม่น่าที่จะได้เห็นอีกในโลกใบนี้ แต่ในตอนนี้มันกำลังจะถูกสร้างขึ้นมาอีกครั้งในยุคศตวรรษที่ 21 แล้ว

……………………………………………………..

หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง mynovel.co หรือ

……………………………………………………..

หมู่เมฆได้แยกตัวออกจากกัน และ แสงอาทิตย์ได้ส่องลงมา

ในตอนนี้เหล่าผู้คนจากมูริมทั้งหมดต่างพากันลงไปจากเทือกเขาแห่งนี้ ในช่วงเวลาบ่ายแก่ๆนี้เอง ซอลจองยอนยังคงลูบไล้มือของเธอไปกับผนังของกระท่อม เธอเสียใจบ้างไหมนะที่ต้องไปจากที่นี่? หรือบางที เธอจะมีงานให้ทำบ้างไหมนะ? นับตั้งแต่ที่ซอลจองยอนบอกว่าเธอจะอยู่ที่นี่อีกสักพัก ยูซอดัมก็รอคอยเธออยู่ที่กระท่อมแห่งนี้ด้วยเช่นกัน

ซอลจองยอนยกปลายนิ้วของเธอขึ้นมา แล้วเป่าลมหายใจออกไป พลังงานที่มีลักษณะคล้ายกับดอกบัวบานก็ได้ปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้วของเธอ มันเป็นแกนแท้ของนิกายชอนมาเช่นเดียวกันกับตัวของซอลจองยอนเอง

ยูซอดัมถามซอลจองยอนที่ดูเหมือนว่าจะกำลังร้องไห้อย่างมีความสุขในขณะที่แสดงพลังงานคิของเธอออกมา

“ไม่ใช่ว่าสีดังเดิมของพระสูตรชอนมามันเป็นสีแดงหรอกหรือ?”

“ถูกแล้วหละ แต่เมื่อฉันใช้งานมันมันจะกลายเป็นสีชมพู ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน”

“มันสวยดีนะ”

“แล้วนายไม่เห็นหรือไงกันนะว่าฉันเป็นคนใช้มัน? มันก็ต้องสวยแน่นอนอยู่แล้ว”

ยูซอดัมหัวเราะออกมาให้กับคำพูดที่สุดแสนจะมั่นใจของเธอ

“…ขอบคุณสำหรับความพยายามอย่างหนักของเธอนะ”

เมื่อยูซอดัมพูดออกไปเช่นนั้น ซอลจองยอนก็ได้เด็ดดอกบัวขึ้นมาและมองเข้าไปในดวงตาของเขา ดวงตาสีชมพูของเธอ ซี่งให้ความรู้สึกลึกลับราวกับว่ากำลังยิ้มออกมาด้วยความขี้เล่น

“ไม่ใช่ว่านายเป็นคนที่ลงแรงไปมากที่สุดไม่ใช่หรือไงกัน?”

“ไม่หละ…เธอแสดงเก่งมากต่างหากหละ ฉันไม่เคยเลยว่าเธอจะยอมทำตามความคิดฉัน”

หลังจากที่ได้รู้ว่าเลเวลของอีดงจุนจะลดลงเมื่ออารมณ์ของเขาเสียสมดุล ยูซอดัมก็ได้เตรียมการวิธีนี้ขึ้นมาในทันที มันเป็นไอเดียที่จะใช้กระตุ้นความโกรธในตัวอีดงจุนได้มากที่สุด ด้วยการแกล้งทำเป็นเหมือนกับว่าตัวเองเป็นคนรักกับชอนมา ซอลจองยอน อย่างไรก็ดีนี้นับเป็นเรื่องที่อ่อนไหวเป็นอย่างมาก มันเป็นเรื่องง่ายหรือไงกันที่จะให้ใครสักคนที่อยู่เหนือกว่าคนเกือบจะทั้งมูริมมาเล่นเป็นคนรักต่อหน้าของผู้คนมากมายนะ?

‘ถ้างั้นทั้งหมดที่ฉันต้องทำก็แค่แสดงออกมาว่าตัวเองรักนายสสินะ ถูกต้องไหม?’

‘ใช่แล้ว’

‘เป็นแบบงั้น ฉันจะลงมือทำด้วยตัวเอง’

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ราวกับว่าเธอจะประชดประชันความกระวนกระวายใจของเขา ซอลจองยอนทำได้ดีกว่าทีเขาคาดไว้เสียอีก ทั้งหมดที่เขาทำก็แค่โอบไปรอบเอวของเธอด้วยมือของตัวเองอย่างงุ่มง่าม และปล่อยให้ซอลจองยอนจับแก้มทั้งสองข้างของเขาไว้และจูบเขาราวกับว่าเขาเป็นคนรักของเธอจริงๆ ตามจริงแล้ว ยูซอดัมเขินอายเป็นอย่างมากในตอนนั้นแต่ต้องแกล้งทำเป็นสงบเข้าไว้

อย่างไรก็ตาม

“นี่นายกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่?”

ซอลจองยอนพูดในขณะที่เธอมองมาที่ยูซอดัมด้วยร้อยยิ้มทีเล่นทีจริง

“ฉันไม่เคยแสดงสักหน่อยนะ”

“…หืม?”

ร่องรอยของความซุกซนปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเธอ แถมดวงตาของเธอก็กำลังมองตรงมายังยูซอดัม

“ฉันเป็นคนครั้งหนึ่งเคยเป็นชอนมาที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นคนที่อยู่เหนือผู้คนมากมายภายใต้สวรรค์และปกครองไปทั่วทั้งผืนแผ่นดิน ต่อหน้าต่อตาของชาวมูริมเป็นร้อยๆคน คิดว่าฉันจะแกล้งเล่นเป็นคนรักกับใครสักคนงั้นเหรอ?”

“นั้น…”

“ฉันเป็นชอนมา…ในอดีต…”

ชอลจองยอนยิ้มและค่อยๆเดินเข้ามาหายูซอดัมอย่างช้าๆ เธอสูงเพียงแค่อกของยูซอดัมเท่านั้นเอง แต่ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่อาจทราบได้เธอกลับดูสูงใหญ่ราวกับเป็นยักษ์ตัวแบบๆ

“แต่ไม่ใช่ในตอนนี้…ฉันจะได้ทิ้งชื่อของชอนมาและเลือกที่จะกลายมาเป็นเพียงแค่หญิงสาวธรรมดาๆทั่วไปและมันเป็นสิ่งที่นายต้องรับผิดชอบนะรู้ไหม?”

“ฉันเข้าใจทำพูดของเธอ…”

“ฉันยังน่าอึดอัดอยู่ไหม?”

ตึง!

หลังของยูซอดัมกระแทกเข้ากับกำแพงของกระท่อมแห่งนี้ ซอลจองยอนวองมือของตัวเองไว้ที่หน้าอกของเขาแล้ว ค่อยๆถอดเสื้อคลุมของตัวเธอเองด้วยมืออีกข้างหนึ่งและยืนสายรัดไปทางยูซอดัม

(ผู้แปล : ⊙ω⊙)

“นี่…”

“ฉันหวังว่ากำแพงระหว่างเราทั้งคู่จะหายไปนะ”

สายรัดที่อยู่ในมือของเขาตอนนี้ก็ไม่ใช่อะไรเลยนอกไปจากริบบิ้นที่รัดชุดของซอลจองยอนเอาไว้ด้วยกัน

“ดึงสิ แล้วพวกเราจะได้ใกล้ชิดกันมายิ่งขึ้น”

เธอพูดและหลับตาของตัวเองลง หลังจากนั้นยูซอดัมก็ดึงสาวรัดเส้นนี้ออกโดยที่ไม่มีความลังเลอยู่ในใจเลยแม้แต่นิดเดียว

(ผู้แปล : (づ ̄ ³ ̄)づ)