ซอลจองยอนค่อยๆเปิดประตูของกระท่อมออกและเดินออกไปด้านนอก สายลมได้พัดผ่านแก้มของเธอไป ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้มันไม่ได้เป็นสายลมที่เย็นยะเยือกแต่เป็นสายลมที่อบอุ่นแสนสบาย

เธอเดินไปบนพื้นหิมะโดยที่ไม่หลงเหลือรอยเท้าใดๆไว้บนพื้นหิมะที่เธอได้เดินผ่านมาเลย เดิมทีเธอก็เป็นนักรบที่มีระดับสูงถึงขั้นชอนมาอยู่แล้วหรือถ้าจะเปรียบในแบบของโลกมนุษย์ เธอก็คงจะถูกจัดอยู่ในระดับเดียวกับพวกยอดมนุษย์แรงค์ SSS เลยทีเดียว ดังนั้นแม้ว่าเธอจะไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตาม แต่การที่ไม่เหลือร่องรอยจากการเดินของเธอก็เป็นเรื่องธรรมดาๆสำหรับเธออยู่แล้ว

ซอลจองยอนนั่งลงบนก้อนหินบนเนินเขาด้านข้างของกระท่อมในขณะที่จ้องมองไปยังภาพของพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นผ่านหมู่มวลก้อนเมฆทั้งหลาย สีหน้าของเธอดูดีขึ้นกว่าที่เคย

“ฟู…”

ในตอนที่เธอกำลังถอนหายใจออกมา ลมหายใจอุ่นๆของเธอก็เต็มไปในอากาศ

ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าหากว่าเธอพบวิธีใดๆก็ตามที่จะฆ่าตัวตายได้แล้วก่อนหน้านี้ เธอคงจะทำมันโดยไม่ต้องคิดซ้ำสองด้วยซ้ำ

เมื่อนานมากแล้วตัวเธอเอง ชอนมาสูงสุด เคยได้นำพาผู้คนของเธอ เส้นทางที่เธอได้เดินผ่านพ้นมาก็ได้กลายมาเป็นเจตจำนงของเธอในเวลาไม่นาน เธอได้เผยแพร่ความฝันของเธอเองออกไปทั่วทั้งโลก ในระหว่างที่ทำเช่นนั้น เธอได้สูญเสียเพื่อนพ้องไปมากมาย คนพวกนั้นเป็นคนที่ไม่ได้หวาดกลัวความตายแม้ว่าตนเองจะต้องเผชิญหน้ากับความตายก็ตาม และทุกๆคนในนั้นก็มักจะฝากคำพูดเดิมๆ คำหนึ่งทิ้งเอาไว้เสมอ

‘ทำให้ความฝันของเจ้าเป็นจริงด้วยหละ’

เมื่อไหรกันนะ? มันเป็นความทรงจำจากสถานที่อันแสนห่างไกลที่เธอไม่สามารถที่จะจดจำมันได้อย่างชัดเจนไปมากกว่านี้อีกแล้ว

‘ข้าอยากที่จะให้เจ้าเดินไปบนเส้นทางของเจ้าเองนะ เดินไปตามความฝันของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องก้าวเดินลงมาในเส้นทางที่แสนเจ็บปวดเช่นเดียวกันกับข้าหรอก เจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องแบกรับมันไปจากข้า โปรดทำให้ความฝันของเจ้าเป็นความจริงเสียแทนเสียเถอะ’

นั้นเป็นคำพูดสุดท้ายจากผู้มีพระคุณของเธอ

แต่ว่า…เธอกลับไม่ได้มีความฝันของตัวเธอเอง ดังนั้นแล้วเธอเลยได้แต่นำเอาความฝันของชอนมาคนก่อนมาเป็นความฝันของตัวเธอเอง ความฝันที่จะทำให้นิกายชอนมากลายมาเป็นจุดศูนย์กลางของโลกมูริมทั้งใบ

ถึงอย่างนั้นก็ตาม ความฝันนั้นก็ได้พังทลายลงอยู่ดี

นิกายชอนมาได้พังพินาศลง และเธอ หลักฐานเพียงหนึ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ที่แสดงถึงการมีตัวตนนิกายนี้ ก็ถูกปิดผนึกพลังงานคิที่ตนมีเอาไว้

เธอติดอยู่ในใจกลางของที่ไหนสักที่ที่มีพื้นที่เพียงแค่ประมาณ 10 พยอง (ผู้แปล : 1 พยองเท่ากับประมาณ 3.3 ตารางเมตร 10 พยองก็เท่ากับ 33 ตารางเมตรครับ) โดยตัวเธอเองก็ไม่อาจทราบได้ แถมตัวเธอเองก็ไม่สามารถที่จะติดต่อสื่อสารกับใครได้เลยไม่แม้แต่การที่จะได้รับอิสระให้ฆ่าตัวตายก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ

ในแต่ละวันที่นี่นั้นผ่านไปก็ราวกับว่าเป็นนรกสำหรับตัวเธอเอง เธอได้สูญเสียทุกสิ่งอย่างที่แสนล้ำค่าสำหรับตัวเธอเองไป เธอไม่มีเหตุผลอะไรอีกต่อไปแล้วที่จะมีชีวิตอยู่ให้นานกว่านี้ แถมเธอยังไม่สามารถที่จะเอาชีวิตตัวเองได้อีกด้วย นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงได้ร้องไห้ในทุกๆคืนตลอดสี่ปีที่ผ่านมานี้

ถ้าหากว่านรกมีจริง มันจะเป็นสถานที่แบบนี้ไหมนะ?

ไม่สำคัญเลยว่าเธอจะอ้อนวอนขอร้องให้เดอมาร์ฆ่าเธอเพียงใด เขาก็ปฏิเสธและได้ยืนข้อเสนอที่แย่ยิ่งกว่านรกที่เธอได้เผชิญในทุกๆวันให้กับเธอ

เขาบอกให้เธอปล่อยวางและยอมแพ้ในชื่อของ ‘ชอนมา’ ซึ่งเป็นแก่นของตัวตนของเธอและกลายมาเป็นเพียงแค่หญิงสาวธรรมดาทั่วไป แล้วมันจะมีอะไรที่น่าสะพรึงมากยิ่งไปกว่านั้นอีกหรือไง?

‘ฉันยอมตายเสียยังจะดีซะกว่าที่จะยอมแพ้กับชื่อของชอนมา’

มันก็เป็นแบบนั้นเอง แล้วในตอนที่เธอแทบจะมีชีวิตอยู่โดยที่เป็นเพียงแค่ร่างไร้จิตวิญญาณ แทบที่จะปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้วนั้นเอง ผีเสื้อที่แสนลึกลับก็ได้บินผ่านหน้าต่างบานนั้นเข้ามาและบอกว่า

– ฉันกำลังจะไปหาเธอ

หัวใจของเธอเต้นอย่างบ้าคลั่ง ความหวังที่เธอเคยลืมเลือนไปแล้วจากการที่ต้องถูกปล่อยทิ้งไว้ในภูเขาหิมะบ้านี้ได้ฟื้นกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง เธอไม่ได้ฝันถึงนิกายชอนมาอีกต่อไป

ชอนมา ไม่สิ ซอลจองยอน หญิงสาวคนนี้ได้มีความฝันเป็นของตัวเองในท้ายที่สุด

– วันนี้นายเป็นยังไงบ้าง?

เจ้าผีเสื้อสีเงินตัวนี้ไม่ได้ปล่อยให้ซอลจองยอนถูกกลืนกินด้วยความสิ้นหวังเพียงคนเดียวอีกต่อไป มันได้มาหาเธออย่างต่อเนื่องและพูดคุยกับเธอ

– วันนี้ฉันกินรามยอนเป็นอาหารเช้านะ

– นี้เป็นของขวัญจากเพื่อนของฉันหละ

– อากาศที่นี่นะดีมากเลยนะ

ซอลจองยอนที่ไม่ได้พูดคุยบทสนทนาทั่วๆไปกับใครเลยมานานถึง 5 ปี นับตั้งแต่ 1 ปีที่มูริมและอีก 4 ปีที่เธอถูกขังอยู่ที่นี้ เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีที่สุดเลยสำหรับเธอ ดีกว่าการโต้เถียงข้างเดียวกับเดอมาร์ศัตรูคู่แค้นของเธอมามายนัก

ซอลจองยอนติดหนึบกับผีเสื้อตัวนี้อย่างสิ้นหวังและใช้ชีวิตอยู่กับความวิตกกังวลในเรื่องอื่นแทน

‘ฉันจะทำยังไงดีหากว่าเขาเริ่มที่จะเกลียดฉันและทิ้งฉันไปหละ?’

เธอไม่อยากที่จะกลับไปอยู่ในนรกนี้เพียงลำพังอีกต่อไปแล้ว เธออยากที่จะให้ใครสักคนพูดคุยกับเธอและเธอก็อยากจะพูดคุณกับใครสักคน

ทำไมเธอถึงได้ไม่เคยที่จะรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยนะ?

เธอมีความสุขมากๆที่ได้เห็นมาตัวเธอเองเป็นเพียงแค่คนๆหนึ่งมากกว่าที่จะเป็นชอนมา

ซอลจองยอนรอคอยสำหรับวันนั้น วันที่เธอต้องการให้มันมาถึงในขณะเดียวกันก็คอยอ่านข้อความจากชายคนที่แม้แต่หน้าตาของเขาเธอเองก็ไม่รู้ เธอไม่ได้รู้ตัวเลยว่าความปรารถนาที่อยู่ในใจของเธอค่อยๆรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตามที่มุมหนึ่งของหัวใจเธอเอง เธอกลับเต็มไปด้วยความสงสัย

‘ฉันจะรักษาความสุขนี้ไว้ได้ไหมนะ?’

เดอมาร์สูงสุดเป็นใครสักคนที่ได้บรรลุไปถึงขั้นขอบเขตที่เรียกว่า ‘นักรบสวรรค์’ เป็นขอบเขตที่สูงยิ่งกว่าตัวเธอเอง และแม้ว่าทุกคนในมูริมร่วมมือกันต่อสู้กับเขาก็ตาม โอกาสที่จะชนะก็ช่างน้อยนิดเหลือเกิน แล้วเธอจะหลบหลีกสายตาของตัวตนดังเช่นชายคนนั้นได้ยังไงกัน?

‘นี้มันจะเป็นไปได้จริงๆงั้นหรือ? หรือว่าฉันแค่กำลังเหนี่ยวรั้งความหวังที่ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้อยู่เท่านั้นเอง?’

มันช่างเป็นความหวังที่แสนอ่อนแอราวกับว่าเป็นเปลวเทียนที่ริบหรี่ทามกลางพายุซะเหลือเกินสำหรับเธอ

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม ซอลจองยอนก็ยังปฏิเสธที่จะยอมแพ้ มันไม่ใช่เพราะว่าเจตจำนงหรือความตั้งใจที่แน่วแน่อะไรของเธอหรอกแต่ว่านี้นะเป็นความความหวังหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่สำหรับเธอ เธอได้เตรียมพร้อมที่จะตายไว้แล้วหากว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้มเหลว ดังนั้นเธอจึงได้ล้อมเปลวเทียนไว้ด้วยฝามือของเธอเองเพื่อปกป้องมันด้วยความระมัดระวัง

ในท้ายที่สุด เธอก็ประสบความสำเร็จในการปกป้องเปลวไฟที่แสนริบหรี่ของเปลวเทียนนี้ได้

สายลมที่แสนเย็นยะเยือกที่ไม่เคยจะหยุดเลยมานานหลายทศวรรษได้หยุดลง และในเวลาเดียวกัน เหล่านักรบหลายร้อยคนก็ได้มารวมตัวกันที่หิมาลัย

“เธอคอยนานไหม?”

ราวกับว่าเป็นปาฏิหาริย์ ประตูของกระท่อมแห่งนี้ที่ดูราวกับว่าไม่อาจที่จะเปิดออกไปได้ ก็ได้เปิดออกด้วยตัวมันเอง และชายคนหนึ่งก็ได้เดินเข้ามาข้างใน

‘ฉันกำลังฝันอยู่งั้นรึ?’

มันเป็นวันที่เธอมีความสุขมาก มากเสียจนเธอคิดไปว่าตัวเธอเองกำลังฝันอยู่

เธอเคยกังวลว่าเธอจะตื่นขึ้นมาจากความฝันนี้และกลับไปสู่นรกที่เธอเคยเจออีกครั้ง นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงได้ยังคงตรวจสอบว่านี้เป็นความจริงรึป่าวเป็นครั้งคราวตลอดเวลา

‘มันไม่ใช่ความฝัน’

ความเจ็บปวดที่เธอไม่คุ้นเคยบริเวณท้องน้อยของเธอกำลังบอกเธออยู่ว่าสิ่งทั้งเธอกำลังเจออยู่ ณ ตอนนี้เป็นเรื่องจริง

เขาเป็นคนที่เป็นกันเองเป็นอย่างมาและเป็นชายที่เป็นห่วงเป็นใยคนอื่น

ตามจริงแล้วซอลจองยอนก็รู้ดีกว่าเขายังไม่ได้รักเธอ

แต่ถึงยังไงก็ตาม เธอจำเป็นที่จะต้องเหนี่ยวรั้งตัวเขาไว้ มันเป็นเหตุผลเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แม้ว่าตนเองจะได้ปล่อยวางทุกอย่างไปแล้ว เหตุผลนั้นคือชายที่ชื่อว่า ยูซอดัม เขาเป็นชายคนแรกที่ได้ให้ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อกับเธอแทนที่ห้าปีที่เต็มไปด้วยความปรารถนาที่ต้องการจะตายของตัวเธอเอง

เธอรู้สึกขอบคุณเขา ดังนั้นเธอจะยอมรับความต้องการอันไร้เหตุผลและหยาบคายของเขาถ้าหากว่าเขาขอ

ส่วนเหตุผลที่เธอขอให้เขาทำ ‘เรื่องนั้น’ กับเธอเมื่อคืนที่ผ่านมาก็เพื่อที่จะสร้างความมั่นใจให้กับตัวเธอเองที่จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป

‘มันจะไม่เป็นไร’

เธอได้ตัดสินใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นไม่สำคัญว่าเธอจะต้องรอเขาอีกนานเท่าใด เธอก็จะรอคอยเขาต่อไป แถมการรอคอยในครั้งนี้ มันเป็นการรอคอยที่เต็มไปด้วยความหวานชื่นไม่ใช่การรอคอยที่ต้องทนทุกข์ทรมาน เธอสามารถที่จะคอยเขาได้เป็นพันๆปี แม้แต่หมื่นปีเธอก็รอเขาได้

ฟึบ!

ดอกบัวถูกสร้างขึ้นที่นิ้วของเธอ เธอได้ยอมแพ้ชื่อของชอนมาและมิได้กลายมาเป็นอื่นใดเลยนอกไปจากซอลจองยอน แต่ว่าเธอยังคงมีความสามารถที่จะทำให้ดอกบัวเบ่งบานจากปลายนิ้วของเธอได้อยู่

‘อย่างน้อยที่สุด ฉันก็จะไม่ยอมแพ้ให้กับตำแหน่งผู้นำของพันธมิตรมูริมแห่งใหม่นี้แน่’

……………………………………………………..

หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง mynovel.co หรือ

……………………………………………………..

หนึ่งเดือนได้ผ่านไปนับตั้งแต่ที่ฉันล่าเดอมาร์สูงสุดได้ลง

โลกได้แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในขณะที่ผู้คนต่างเริ่มให้ความสนใจกับขุมกำลังแห่งใหม่ที่มีชื่อเรียกว่า พันธมิตรมูริม

– พันธมิตรมูริม ที่ได้เอาชนะมอนสเตอร์แรงค์ SSS ที่ปกครองเทือกเขาหิมาลัยลงได้ พวกเขาได้ขอให้ทั้งโลกจดจำพวกเขาว่าเป็นนักรบจากมูริมมิใช่ฮันเตอร์

– นี้เป็นบทสัมภาษณ์กับ ซอลจองยอน ผู้นำของพันธมิตรมูริม

ในขณะที่ซอลจองยอนกำลังเดินตรงไปยังผู้สัมภาษณ์ที่อยู่บนเวที เสียงเชียร์ได้ปะทุดังขึ้นมาแต่ไกล เหล่าแฟนคลับของเธอได้มารวมตัวกันเพื่อที่จะได้เห็นเธอตัวเป็นๆในงานสัมภาษณ์ที่ถูกจัดขึ้นที่สาธารณในครั้งนี้

ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เธอได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว เหตุผลเป็นเพราะว่าเธอเป็นคนที่พร้อมด้วยพรสวรรค์ที่ไม่เคยมีมาก่อนแถมยังมีรูปร่างหน้าตาที่สวยสดงดงามถึงขนาดที่ว่าไม่อาจจะหาใครอื่นบนโลกใบนี้มาเปรียบเทียบกับเธอได้อีกแล้ว และมากไปกว่านั้นเธอก็ยังเป็นฮันเตอร์แรงค์ SSS อีกด้วย

แม้ว่าจะได้ผ่านมาแล้ว 31 ปีหลังจากที่ได้เกิดศึกมหาสงครามขึ้น ก็มีฮันเตอร์แรงค์ SSS เพียงแค่สามคนเท่านั้นที่เคยปรากฎขึ้นในประวัติศาสตร์แถมคนทั้งหมดนั้นในตอนนี้ก็ได้เลิกทำงานเป็นฮันเตอร์ไปหมดแล้วและเพราะงั้นเอง เธอเลยได้กลายมาเป็นฮันเตอร์แรงค์ SSS เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่ในโลกใบนี้

เธอมีทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำให้เหล่าผู้คนทั้งหมดเพ่งความสนใจมาที่เธอ

เธอเป็นประดุจดังความหวังของเหล่าฮันเตอร์ทั้งหมดที่ไม่อาจจะพึ่งพาอีเทอร์ได้ ความรู้ของเธอเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ รูปร่างหน้าตาที่งดงามของเธอ และแม้แต่สถานแรงค์ SSS ของเธอ

บางทีไม่ช้าก็เร็วหลังจากนี้เหล่าขุมกำลังทั้งหลายที่ได้ติดตามเธอก็คงจะต้องเติบโตแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเป็นแน่

ต้องขอบคุณเหตุผลพวกนั้นเอง ที่ทำให้ฉันยุ่งตัวเป็นเกรียวเลย เพราะอันดับแรกเลย เหล่านักรบจากมูริมทั้งหลายไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับอุตสาหกรรมฮันเตอร์ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการความช่วยเหลือของฉันอย่างขาดไม่ได้ และฉันก็ไม่ได้มีแรงมากพอที่จะทำเรื่องพวกนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นฉันจึงได้แต่ต้องขอความช่วยเหลืออย่างไม่มีทางเลือก และ จากคนทั้งหมดที่ฉันได้ขอความช่วยเหลือไป มันมีฮันเตอร์แรงค์ F อยู่คนหนึ่งๆคนๆเดียวกันกับที่เป็นอดีตผู้บริหารของสมาคมฮันเตอร์

คนๆนี้รู้ดีเป็นอย่างมากเกี่ยวกับอุตสาหกรรมฮันเตอร์มากยิ่งกว่าใครก็ตามเสียอีก และพัคซองโฮทำถึงขนาดที่ว่าบินไปที่ประเทศจีนด้วยตัวเองเพื่อช่วยเหลือซอลจองยอนหลังจากที่ได้ยินว่าเธอสามารถที่จะฟื้นคืนศักดิ์ศรีของเหล่าฮันเตอร์แรงค์ F กลับคืนมาได้

พันธมิตรมูริม

พวกเขาอาจจะยังไม่ได้รับการยอมรับโดยเหล่าผู้คนในยุคปัจจุบันดี แต่ว่าโลกก็ทำได้แต่ให้ความสนใจกับพวกเขาอย่างไม่มีทางเลือกเพราะว่าพวกเขาเป็นเพียงแสงเห่งความหวังเพียงแค่หนึ่งเดียวสำหรับเหล่าฮันเตอร์ที่ไร้ความสามารถในการได้รับพลังความสามารถพิเศษมาครอบครอง

กิลด์พันธมิตรมูริมพึ่งจะได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นี้เองได้มอบตำแหน่งผู้นำนิกายให้กับซอลจองยอน แต่สิทธิในการบริหารจัดการกับตกมาอยู่ที่ฉัน ดังนั้นฉันได้จึงได้ทำให้กิลด์ของตนเองกลายมาเป็นกิลด์ย่อยภายใต้กิลด์พันธมิตรมูริมอีกที เพราะไม่ว่าจะยังไงก็ตามทั้งกิลด์พันธมิตรมูริมและกิลด์ของฉันเองก็จะต้องบริหารด้วยตัวฉันเองอยู่แล้วในท้ายที่สุด

ฉันเลยยุ่งจนตัวเองแทบจะบิดเป็นเกรียวอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่ว่าฉันจะต้องทำงานหนักเพื่อที่จะให้พันธมิตรมูริมได้รับการยอมรับอย่างเหมาะสมว่าเป็นกิลด์ๆหนึ่งแล้ว ฉันก็ยังจะต้องทำงานหนักมากขึ้นไปอีกเพราะเรื่องส่วนตัวของฉันเองอีกด้วย

“หนูอยากจะใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อชาวมูริมค่ะ”

มันเป็นชินฮเยจี

มันใช้เวลาแทบจะหนึ่งเดือนเต็มๆสำหรับเธอเพื่อที่จะหลุดพ้นจากความโศกเศร้าของตัวเธอเอง

เธอไม่อาจจะยอมรับความจริงเกี่ยวกับพ่อของเธอ คนที่เธอเคยเชื่อจนหมดหัวใจของเธอได้ว่าจริงๆแล้วเขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตแบบเดียวกับพวกสัตวประหลาดที่เธอเกลียดมากที่สุด เธอลาออกจากสถาบันและได้จมอยู่กับความเป็นจริงอันแสนสิ้นหวังที่เธอไม่อาจจะหาใครพึ่งพิงได้อีกต่อไป

“คุณฮเยจี”

“พ่อของหนูได้พยายามทำทุกอย่างด้วยความยุติธรรมที่บิดเบี้ยวของเขา แล้วหนูก็ยอมรับในเรื่องนั้นไม่ได้ค่ะ”

อะไรที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปกัน? ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน อย่างไรก็ตามมันเป็นสิ่งที่ดีที่จะได้เห็นชินฮเยจีกลายมาเป็นคนที่เต็มความมุ่งมั่นมากยิ่งกว่าที่เคย

เธอพูด “หนูได้ยินมากว่ามันยังขาดแคลนคนในส่วนของฝ่ายบริหารจัดการสนับสนุนให้กับพันธมิตรมูริมนิค่ะ”

“มันโอเคดี…ประธาน พัคซองโฮ ได้จัดการในส่วนนี้อยู่ในตอนนี้ ดังนั้นฮเยจี เธอไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอกนะ”

ตามจริงแล้ว ตัวฉันเองก็ไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ…เพราะว่าสมองของฉันนั้นช่างแสนเล็กจ้อยเกินไปในเรื่องแบบนี้

“หนู…หนูจะไปที่พันธมิตรมูริมและเรียนรู้จากท่านประธานพัคซองโฮค่ะ หนูอาจจะยังขาดความสามารถอีกเยอะในตอนนี้ หนูยังรู้ทุกๆอย่างน้อยเกินไป แม้แต่ศิลปะการต่อสู้ของพวกเขาก็ยังดีกว่าหนูแต่ว่า…อย่างน้อยที่สุดหนูก็อยากที่จะชดใช้ให้กับบาปที่พ่อของหนูเป็นคนได้ก่อเอาไว้ค่ะ”

“ฮเยจี เธอไม่จำเป็นที่จะต้องชดใช้ให้กับบาปที่พ่อของเธอ…”

“ไม่ค่ะ! หนูจะทำมัน”

การแสดงออกของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่เด็ดขาด

“หนูจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดของหนูสำหรับชาวมูริมค่ะ ศิลปะการต่อสู้ของหนูก็จะใช้เพื่อทุกๆคน ดังนั้นแล้วหนูอยากที่จะขอร้องอะไรสักอย่างหน่อยนะคะ”

“ข้อร้อง?”

“ใช่ค่ะ ได้โปรดวางข้อห้ามไว้ที่ตัวของหนูด้วยเถอะนะคะ”

“อะไรนะ? ไม่มีทาง ทำขอแบบนี้มัน…”

“ได้โปรดเถอะค่ะ”

เธอพูด

“หากว่าหนูใช้มูกงของพ่อและเดินไปบนเส้นทางที่ผิด…ในตอนนั้นคุณยูซอดัมได้โปรดหยุดหนูด้วยนะคะ”

“…โอเคๆ”

สุดท้ายแล้ว ฉันก็ได้แต่วางข้อห้ามลงไปบนตัวของชินฮเยจีอย่างไม่มีทางเลือก ฉันได้อธิบายความสามารถของข้อห้ามให้เธอได้ฟัง ‘เมื่อไหรก็เธอต้องการ เธอสามารถที่จะทำลายพลังงานคิในร่างกายของตัวเธอเองได้ตลอดเวลา’

บางทีเธอคงจะพอใจแล้วกับความจริงที่ว่าเธอไม่สามารถที่จะนอกลู่นอกทางได้อีกต่อไป ชินฮเยจีจึงได้ลาออกสถาบันและบินตรงไปยังประเทศจีน เธอน่าจะต้องผ่านการลองผิดลองถูกอีกมากมาย เพราะว่าเธอไม่ได้รู้มากมายนักเกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้และเธอเองก็ไม่แม้แต่จะสามารถสื่อสารได้เลยหากปราศจากเครื่องแปลภาษา แต่ว่าสิ่งที่ท้าทายมากที่สุดสำหรับเธอก็คงจะเป็นความแตกต่างกันระหว่างวัฒนธรรมของมูริมและโลกในยุคปัจจุบัน

[ไว้ก่อน]

– ฉันไม่สามารถทำแบบนั้นได้ซะหน่อยนะ…

“ฉันเข้าใจแล้ว”

ความจริงแล้ว ฉันไม่ได้วางข้อห้ามอะไรลงบนตัวของชินฮเยจีหรอก ก็มันไม่มีทางเลยที่จะวางข้อห้ามระดับสูงถึงขนาดที่ว่าสามารถปิดกันพลังเวทย์งานของใครสักคนได้ตลอดเวลาที่ฉันต้องการได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ที่ฉันพูดแบบนั้นออกไปกับชินฮเยจีก็เพื่อที่จะทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าเธออยู่ภายใต้การควบคุมเท่านั้นเอง ในอนาคตหากว่าเธอก็คงจะควบคุมตัวเองต่อไปด้วยความตั้งใจของเธอเองแบบนี้แหละ

งานด่วนของเขาได้จบลงแล้ว

ในทางตรงกันข้ามกับความวุ่นวายของฝั่งพันธมิตรมูริม กิลด์ของฉันเอง ‘อนาเตอร์ลีก’ ก็ได้ถูกสร้างขึ้นและหนึ่งในสมาชิกกิลด์ก็ได้ลาออกไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นมันเลยเหลือสมาชิกอยู่เพียงแค่สองคนเท่านั้นในตอนนี้

‘เยี่ยม มันอาจจะเร็วกว่าแผนที่ได้วางเอาไว้ แต่ฉันควรที่จะรับสมาชิกใหม่เลยดีไหมนะ?’

หลังจากที่คิดอยู่สักพักหนึ่ง ฉันก็ได้พูดกับระบบ

“แสดงหน้าต่างสถานะ”

ชื่อ : ยูซอดัม (LV.140)
ความแข็งแกร่ง: 140 ความอึด: 140
ความว่องไว: 140 พลังงาน: 1
มานา: 180
พรสวรรค์
ความชำนาญดาบ (S) การลดทอน (A)
สัญชาตญาณ (A) นักแม่นปืน (C)
การล่า (D+) การทำอาหาร(D-)
อื่น…
ทักษะ
นักล่าตัวเอก LV.4 พระสูตรอาราซุนยัง (SS+)
เพลงดาบสีขาว (S) ทำอย่างไรถึงจะราวกับเป็นสายลม (S)
ช่องเก็บของ (S) สัมผัสที่หก (C)
ห้องสมุดของแม่มดขาว (E) เพ่งจิต (S+)

เลเวลของฉันในตอนนี้อยู่ที่เลเวล 140 และแรงค์สกิลของฉันเองก็ได้ยกระดับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หากอิงตามคำพูดของระบบแล้ว ฮันเตอร์แรงค์ A ก็คงจะอยู่ราวๆเลเวล 115 ดังนั้นตัวฉันในตอนนี้ก็คงจะมีความสามารถสูงกว่าฮันเตอร์แรงค์ A แต่แน่นอนว่าฉันไม่ควรที่จะทำตัวหยิ่งผยอง ในโลกอีกมากมายนั้นยังมีตัวเอกที่แข็งแกร่งกว่าฉันอีกมากนัก และท่ามกลางพวกเขาเหล่านั้นมันก็คงจะต้องมียอดมนุษย์ที่มีแรงค์ URS อยู่หรืออาจจะสูงกว่านั้นก็ได้ เฉกเช่นเดียวกันกับเดอมาร์ก็เป็นได้

ถึงแม้ว่าฉันจะได้รับความแข็งแกร่งมาเร็วกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ มันจะยังไม่พออยู่ดี มันยังคงไม่พอเมื่อมันถึงเวลาที่ฉันต้องการความแข็งแกร่งที่มากพอที่จะปกป้องตัวฉันเองและคนอื่นรอบตัวฉันได้

มากไปกว่านั้น

‘เฮลเกต เพื่อที่จะไปที่นั้น ฉันจำเป็นที่จะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้’

สีหน้าของฉันตึงเครียดขึ้นมาเมื่อฉันจำได้ว่าสิ่งไหนกันที่ฉันเคยได้เห็นมาด้วยตาของตัวเองด้านในเฮลเกต

บางคนก็บอกว่าฉันไม่ได้เห็นอะไรเลย บอกว่าตอนนั้นฉันสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและบอกว่าฉันสับสนมากๆ มากเกินไปจนฉันไม่สามารถที่จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างความเป็นจริงกับภาพลวงตาออกจากกันได้

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันเชื่อมั่น 100% ในสิ่งที่ฉันได้เห็น

‘เรน่าจู’

โลกอีกใบหนึ่งที่อยู่นอกเฮลเกตอีกที และเป็นแผ่นหลังของเธอที่ฉันได้เห็น แม้ว่าร่างกายของเธอจะตายไปแล้วก็ตาม

“ฟู…คุณลูกค้า เธอเคยบอกว่าฉันไม่สามารถที่จะค้นหามิติที่ฉันต้องการได้ใช่ไหม?”

<ใช่แล้วค่ะ เพราะว่าฉันยังแข็งแกร่งไม่เพียงพอ…ฉันขอโทษด้วยนะคะ>

“ไม่หรอก ไม่ต้องไปคิดมาก”

<หากว่าระดับของสกิล นักล่าตัวเอกเพิ่มขึ้น ความแข็งแกร่งของฉันก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกันค่ะ และหากมันยังคงเพิ่มขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ถึงตอนนั้นบางทีฉันอาจจะสามารถค้นหามันพบก็ได้ค่ะ>

“เข้าใจแล้ว”

สกิลนักล่าตัวเอกได้กลายมาเป็น เลเวล 4 หลังจากที่ได้ล่าอีดงจุนได้สำเร็จ ปริมาณของไอเทมที่ฉันสามารถทีจะขนย้ายไปยังต่างโลกก็ได้เพิ่มขึ้นเพิ่มเดียวกันกับสกิลช่องเก็บของที่ได้กลายมาเป็นแรงค์ S

ที่สำคัญมากไปกว่านั้น ข้อความที่สำคัญๆ อย่าง [คุณสามารถที่จะแทรกแซงการไหลของพล็อตเรื่อง] และ [ความแตกต่างของเวลาสามารถปรับแต่งได้แล้วในตอนนี้] มีผลเป็นอย่างมา

ในเรื่องความแตกต่างของเวลา มันก็นับว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับฉันเหมือนกันเพราะว่าฉันเองก็มีงานอีกมากมายที่ต้องสะสางที่โลกในยุคปัจจุบันไม่เหมือนกันก่อนหน้านี้อีกแล้ว ฉันไม่สามารถที่จะใช้เวลาหลายต่อหลายเดือนไปกับต่างโลกได้อีกต่อไป มันมีผู้คนจำนวนมากที่มองหาฉันในแต่ละวัน

“เยี่ยม ถ้างั้นแล้วเรามารับภารกิจต่อไปเลยก็แล้วกัน”

<ดีเลยค่ะ โอ้วแต่ก่อนหน้านั้นนะคะ มันมีอยู่อย่างหนึ่งที่จะกำลังกวนใจฉันอยู่ในตอนนี้นะคะ…>

“หืม?”

“เออแต่ว่า…ช่างมันเถอะค่ะ มันยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร ไว้ฉันจะบอกคุณที่หลังก็แล้วกันนะคะ”

“โอเคถ้างั้นแล้ว โปรดแสดงรายการภารกิจให้ฉันที”

เมื่อฉันกำลังจะรับรายการของภารกิจในทันใดนั้นเอง

[สกิลห้องสมุดของแม่มดขาว (E) ได้รับการยกระดับหนึ่งเป็นแรงค์ D]

[……]

[บทลงโทษได้รับการละเว้น]

ฉันถึงกับยืนขึ้นเลยทีเดียวในทันทีที่ได้เห็นข้อความนั้น

“เกิดอะไรขึ้นนะ? ทำไมอยู่แรงค์มันถึงได้ยกระดับขึ้น?”

ฉันได้เปิดใช้งานสกิล ห้องสมุดของแม่มดขาวในทันทีและเข้าสู่โลกในจิตนาการของตนเอง เมื่อฉันมองดูไปโดยรอบ ฉันสามารถที่จะเห็นได้ว่าชั้นหนังสือมากมายกำลังบินวอนไปทั่วราวกับว่าพวกมันกำลังค้นหาที่ของตัวเองอยู่และในขณะที่ฉันได้เดินผ่านห้องสมุดแรงค์ E และไปถึงสุดของโถงทางเดินแห่งนี้ ฉันก็ได้เห็นว่าทางเข้าของ ‘ห้องสมุดแรงค์ D’ ได้เปิดกว้างออก

อึก

“เออ ฉันสามารถที่จะเข้าไปได้โดยที่ไม่โดยบทลงโทษใช่ไหม?”.

[บทลงโทษได้รับการละเว้น]

“ฉันเข้าไปได้จริงใช่ไหม?”

[บทลงโทษได้รับการละเว้น]

สุดท้ายแล้ว ฉันก็ได้ตัดสินใจที่จะเชื่อในสิ่งที่ห้องสมุดนี้ได้บอกกันฉันและค่อยๆก้าวเข้าไปในห้องสมุดแรงค์ D

ที่ด้านใน

“อ้า? นายมาแล้วหรือ?”

“…เธอ เธอเข้ามาทำอะไรที่นี้กัน?”

“อ้า เออ ฉันคิดว่ามันน่าจะมีหนังสือที่น่าสนใจมากกว่าห้องเมื่อกี้นะ ฉันเลยเดินเข้ามา”

“เดวๆ ก่อนอื่นเลย เธอเข้ามาได้ยังไงกัน?”

“หืม? ฉันแค่เปิดประตูเข้าและก็เดินเข้ามาด้านใน…เออ มันเป็นที่ที่ฉันไม่ควรที่จะเข้ามาใช่ไหม? ฉันขอโทด”

“ไม่หรอก มันไม่ใช่แบบนั้น…”

เยคาเทริน่ากำลังอ่านหนังสือที่มีขนาดใหญ่เท่ากับร่างกายของเธอ เธอนั่งอยู่ที่มุมของห้องสมุดแรงค์ D นี้พร้อมกับเส้นผมสีขาวของเธอที่ห้อยลงมา

ฉันงงหนักมากและไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่า…

“นี่เธอนะเป็นแม่มดตัวเป็นๆ…”