หลังจากที่ล่าเดอมาร์สูงสุดได้สำเร็จ สกิลและค่าสถานของยูซอดัมก็ได้ยกระดับขึ้นเป็นอย่างมากแต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้ เลเวลของ ‘ห้องสมุดของแม่มดขาว’ ยังคงเท่าเดิม เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแต่ในเวลาเดียวกันเขาก็เข้าใจเหตุผลที่มันเป็นแบบนี้เพราะว่า ‘ห้องสมุดของแม่มดขาว’ เป็นสกิลประเภทที่จะเติบโตและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นหลังจากที่เขาผ่านบททดสอบด้านในห้องสมุดแห่งนี้ก่อน

ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม แต่ยูซอดัมกลับลืมเกี่ยวกับตัวตนของคนอีกคนหนึ่งที่สามารถจะผ่านประตูโดยที่ไม่จำเป็นต้องผ่านบททดสอบใดๆเลย เธอก็เป็นเช่นเดียวกันกับเขาและเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันกับเจ้าของดังเดิมของห้องสมุดแห่งนี้ และเธอก็ยังเป็นมนุษย์ในเวลาเดียวกันอีกด้วย ดังนั้นห้องสมุดจึงไม่จำเป็นที่จะต้องทำการทดสอบเธอ

“เธอแค่เปิดประตูและเดินเข้ามาง่ายๆอะนะ?”

“ใช่แล้ว!”

“เธอรู้สึกว่าอารมความรู้สึกของตัวเองลดลงบางไหมหรือว่าเวลาที่เธอมองมาที่ฉันแล้ว ฉันดูเป็นเหมือนกับหนอนแมลงในสายตาของเธอบ้างหรือป่าว?”

ที่ใจกลางห้องสมุดแรงค์ D แห่งนี้ เป็นที่ที่เต็มไปด้วยหนังสือจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นเล่มที่มีขนาดใหญ่เท่ากับร่างกายของคนๆหนึ่ง และ เล่มที่มีขนาดเล็กเท่ากับฝามือของคนๆหนึ่ง กระจัดกระจายอยู่รอบๆ เยคาเทริน่ามองมาที่ยูซอดัมและส่ายหัวของเธอด้วยรอยยิ้มอันสดใสบนใบหน้า

“ไม่นะ! ฮันเตอร์ยูซอดัมก็ยังคงเป็นฮันเตอร์ยูซอดัมอยู่ดีอะ”

“ว้าวว ยอดเยี่ยม…”

เยคาเทริน่าเป็นแม่มด เป็นแม่มดที่สามารถที่สามารถปรับตัวและอยู่รอดมาถึงในยุคสมัยปัจจุบันได้ ยูซอดัมเคยได้ยินบางเรื่องมาจากระบบเหมือนกับเรื่องที่ว่าเหตุใดถึงได้มีมนุษย์อยู่มากมายเต็มโลกใบนี้ไปหมด เป็นเรื่องที่ว่าเหล่าแม่มดเองก็มีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้เช่นกัน ในความเป็นจริงแล้วยังคงมีตัวตนอีกมากมายในต่างโลกรวมไปถึงสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาเคารพบูชาก็มีตัวตนจริงๆ แต่อย่างไรก็ตามในมิติส่วนใหญ่แล้ว เผ่าพันธุ์แม่มดมิอาจที่จะเอาชีวิตรอดไปได้เนื่องจากว่าพวกเขามักจะถูกไล่ล่าจนหมดสิ้นไป

เหตุผลที่เป็นอย่างงั้นก็ง่ายๆเลยเพราะว่าถึงแม้ว่าตันตนพวกนี้จะครอบครองพลังอำนาจของเวทมนตร์อันล้ำเลิศ แต่จำนวนประชากรของพวกเขานั้นก็ช่างแสนน้อยนิดและพฤติกรรมโดยธรรมชาติของพวกเขายังเป็นที่รังเกลียดของสิ่งที่สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่อยู่ดี และถึงแม้ว่าในบางโลกจะมีแม่มดบางส่วนที่สามารถจะเอาชีวิตรอดมาได้ พวกเขาก็จะปฏิบัติกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นราวกับว่าเป็นหนอนแมลง แม่มดพวกนี้ไม่มีแม้แค่สักเสียวความคิดเดียวเลยที่ว่าตนเองจะมาติดต่อสื่อสารกับเผ่าพันธุ์อื่น

ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดๆก็ตาม เหล่าแม่มดที่อยู่บนโลกมนุษย์ก็ได้หลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางสังคมมนุษย์เพื่อที่จะได้มีชีวิตรอดจากขุมกำลังที่ไล่ล่าพวกเขาอยู่ และในตอนนี้มันก็พูดได้เลยว่าในร่างกายของคนบางคนบนโลกใบนี้ก็มีสายเลือดของแม่มดปะปนอยู่ในร่างกายของพวกเขา

ช่างเป็นเรื่องที่แสนจะลึกลับเช่นกันหรับตัวแม่มดเอง แม่มดนะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก แต่พวกเขากลับสามารถที่จะให้กำเนิดลูกหลานของตัวเองได้ แต่มันกลับเป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่งว่าที่อัจฉริยะเช่นเยคาเทริน่าสามารถที่จะเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการ ‘พยากรณ์’ ได้แม้ว่าสายเลือดของเหล่าแม่มดนั้นจะถูกเจือจางลงมานานนับหลายต่อหลายศตวรรษแล้วก็ตาม

ฉันควรที่จะโล่งใจใช่ไหมนะ? เยคาเทริน่าเกิดมาพร้อมกับสายเลือดของแม่มดที่กำลังไหลผ่านเส้นเลือดของเธออยู่ แต่เธอก็ยังคงมี ‘อารมณ์ความรู้สึก’ ซึ่งเป็นสิ่งที่เหล่าแม่มดส่วนใหญ่ขาดหายได้ด้วยในเวลาเดียวกัน และสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว ‘อารมณ์ความรู้สึก’ เป็นหนทางหลักที่จะทำให้พวกเขาอยู่รอดได้ ต้องขอบคุณเรื่องนี้ที่ทำให้ยูซอดัมไม่ต้องกังวลกับการหาทางควบคุมเธออีกต่อไป

และยูซอดัมก็รู้ดีว่าอารมณ์ความรู้สึกของเธอไม่ใช่สิ่งที่จอมปลอมที่แสดงไว้บังหน้าเพราะว่านับตั้งแต่ที่เยคาเทริน่าเขามาสู่โลกในจินตนาการของเขา เขาก็สามารถที่จะอ่านอารมณ์ความรู้สึกและความคิดของเธอได้ตลอดเวลาที่เขาต้องการ

“อย่างงั้นสินะ…”

ยูซอดัมจ้องมองไปรอบห้องสมุดแรงค์ D แห่งนี้ เขายังไม่ได้แม้แต่จะอ่านหนังสือในห้องสมุดแรงค์ E เลย ดังนั้นเขาไม่รู้เลยสักนิดว่าระดับของเวทมนตร์ที่นี่มันอยู่ระดับไหน

“นอกจากนี้แล้ว ไอ้ที่อยู่ข้างๆเธอนั้นมันอะไรกัน?”

ข้างๆเยคาเทริน่า ดอกไม้จิตวิญญาณสีเงินกำลังเดินอยู่รอบๆตัวเธอด้วย ‘เท้าทั้งสองข้าง’ ของมันราวกับว่ามันก็กำลังอ่านหนังสืออยู่ มันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจจนอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอสามารถที่จะถือหนังสือที่มีขนาดใหญ่เช่นนั้นด้วยร่างกายเล็กๆของเธอได้ยังไงกัน

“อ้า หรือว่านายอยากที่จะคุยกับซิลเวอร์? เธอน่ารักและเป็นมิตรมากเลย นายว่าเธอน่ารักไหม?”

“…น่ารัก?”

เยี่ยม รสนิยมของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันนี่เนอะ งั้นก็ช่างมันละกัน

ในขณะที่ยูซอดัมจ้องไปที่ดอกไม้จิตวิญญาณสีเงิน เขาเองก็ดึงเอาหนังสือเวทมนตร์บางเล่มออกมาและกางมันออก

…และ 10 วินาทีหลังจากนั้น เขาก็ปิดมันลง

“นานมากแล้วนะเนี่ยที่ฉันไม่ได้อ่านอะไรที่มันทำให้อารมณ์เสียนิดๆแบบนี้…”

ในทุกวันนี้ ยูซอดัมมีหลายสิ่งหลายอย่างมากมายที่ต้องทำ เขาต้องเรียนรู้ว่าจะต้องบริหารจัดการกิลด์ในอุตสาหกรรมฮันเตอร์เช่นไร และแน่นอนว่าเขาก็จำเป็นที่จะต้องเริ่มเรียนรู้เวทมนตร์เพิ่มเติมในเร็วๆนี้เช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ดี เขาคงจะไม่เริ่มจากแรงค์ D หรอก เวทมนตร์แรงค์ D หากเทียบไปแล้วก็เหมือนกับความรู้ในระดับเด็กมหาลัยในขณะที่ความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์ที่เขามีในปัจจุบันแทบจะไม่ถึงระดับมัธยมปลายเลยด้วยซ้ำ เหตุผลที่เขายังสามารถใช้เวทมนตร์ได้แม้ว่าจะมีความรู้ที่น่าอนาถเช่นนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับเจ้ากระถางดอกไม้

หนังสือเวทมนตร์มากมายที่รวมกับอยู่ในห้องสมุดแรงค์ D แห่งนี้ประกอบไปด้วยเวทมนตร์ที่ไม่อาจที่จะนำไปเทียบกับห้องสมุดก่อนหน้าได้เลย เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าระดับพลังที่เวทมนตร์พวกนี้ปล่อยออกมาจะมากเพียงไรแต่ว่าในส่วนของการดึงประโยชย์ของเวทมนตร์ออกมาใช้งานให้สูงที่สุดแล้ว มันน่าจะเกินระดับของยอดมนุษย์แรงค์ A เสียอีก

“ไม่เป็นไรๆ แต่ว่า…ไอ้พวกนั้นมันคืออะไรกัน?”

ยูซอดัมมองไปทางด้านหน้าของตนเองในห้องสมุดแรงค์ D นี้ มันถูกประดับตกแต่งไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ทุกรูปแบบ เขาไม่รู้ว่าเยคาเทริน่านำพวกมันทั้งหมดเข้ามาในห้องสมุดนี้เมื่อไหรกัน มากไปกว่านั้น มันยังมืเครื่องเล่นเพลงและเครื่องดนตรีมากมายเต็มไปหมด แม้แต่ในตอนนี้เอง เขาก็ยังได้ยินเสียงบรรเลงของดนตรีคลาสสิกกำลังเล่นอยู่เลย

“อ่อ เพลงที่กำลังเล่นอยู่ต้องนี้ก็เป็น เรคเควียม อิน ดี ไมเนอร์ เค.626 ของโมสาร์ทไง? นายเคยฟังมันมาก่อนไหม?”

“อืม? โมสาร์ท? แน่นอนสิ! ฉันต้องรู้จักมันอยู่แล้ว มันเป็นเพลงที่ดังๆมากเลย ฉันเองก็ชอบมันเหมือนกัน”

“คิดไว้แล้ว! นายเองก็รสนิยมดีเหมือนกับนะเนี่ย”

“……”

…เอาจริงๆแล้วเขาไม่เคยได้ยินชื่อของมันเลยด้วยซ้ำ

เธอค่อยๆลุกขึ้นยืนจากที่นั่งของตัวเองอย่างช้าๆและมุ่งตรงยังห้องสมุดแรงค์ E ด้วยความตื่นเต้น เธอแตะไปที่เครื่องดนตรีหลายๆอันและเครื่องเล่นเพลงด้วยมือของเธอเอง

“นายรู้ไหม ว่าก่อนหน้านี้ นายเคยพูดไว้ว่าฉันจะถูกดึงมาที่นี้เมื่อไหรก็ตามที่ฉันหลับสนิทใช่ไหม? นั้นเลยทำให้ฉันคิดว่าฉันสามารถที่จะเข้ามาที่นี้ได้เมื่อตัวเองนอนหลับเท่านั้นแต่ว่ามันไม่ใช่แบบนั้นเลย ฉันสามารถที่จะเข้ามาที่นี้เมื่อได้ก็ได้เพียงแค่ฉันหลับตาลงและเพ่งสมาธิเองนะ”

“หืม? จริงดิ?”

‘บ้าไปแล้ว’

สิ่งที่เธอสามารถจะทำได้นั้นอยู่ในระดับเดียวกันดับยูซอดัมทำได้ในตอนที่เขาใช้สกิลนี้เลย แม้ว่าเธอจะไม่สามารถใช้ฟังก์ชันค้นหาได้แต่เธอสามารถที่จะเข้ามาที่ห้องสมุดแห่งนี้และอ่านมันได้ทุกเวลาที่เธอต้องการ

“ทั้งหมดที่ฉันทำในโลกแห่งความเป็นจริงก็คือการเรียนรู้เวทมนตร์อยู่แล้ว เพราะงั้นฉันเลยเขามาที่ห้องสมุดแห่งนี้เป็นประจำและเมื่อฉันได้จินตนาการถึงวัตถุสิ่งของต่างๆที่ฉันได้สัมผัสด้วยมือของฉันเอง ฉันก็สามารถที่จะนำพวกมันมายังที่ห้องสมุดแห่งนี้ได้ มันอาจจะไม่ได้ผลดีมากนักหากว่าเป็นสิ่งของที่มีความซับซ้อนอย่างเช่นพวกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ว่ากับสิ่งของจำพวกเครื่องบรรเลงดนตรี มันกลับได้ผลตราบเท่าที่ฉันรู้โครงสร้างของมัน”

“เออ อย่างนี้เองสินะ?”

เมื่อยูซอดัมให้ความสนใจของตัวเองไปยังสิ่งที่อยู่รอบตัวของเขา เขาก็รู้สึกได้ว่าเพลงได้เล่นดังไปทั่วทั้งห้องสมุดแห่งนี้ ถึงอย่างนั้นก็ตาม มันกลับไม่มีแม้แต่เครื่องดนตรีเดียวเลยที่เล่นซ้อนกันกับเครื่องดนตรีชิ้นอื่นๆ มันราวกับว่าทุกๆโน๊ตได้รับการจัดเรียงไว้ก่อนแล้วว่าจะเล่นผ่านแค่บริเวณใดบริเวณหนึ่งเท่านั้น

ยูซอดัมค่อนข้างที่จะรู้สึกแปลกๆที่โลกในจินตนาการของเขาในตอนนี้กลับถูกตกแต่งด้วยฝีมือของใครบางคนเสียแล้ว

“นี้เธอสร้างพวกมันทั้งหมดนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะได้ฟังเพลงเพราะเธอเบื่อที่จะอ่านหนังสือแล้วอย่างหรือ?”

“ค่ะ? เออ…ไม่ๆมันก็แค่ เออ…”

มันเป็นแค่คำถามสุ่มๆจากยูซอดัม แต่เธอกลับชะงักไปกับมันและเธอก็ได้ตอบสนองกลับด้วยการถอนหายใจออกมา

“ตามจริงแล้ว ทุกคนเคยเรียกฉันว่าอัจฉริยะเปียโนนะ จนกระทั้งถึงตอนที่ฉันเป็นวัยรุ่นและได้ปลุกพลังอำนาจของการพยากรณ์ขึ้นมา บางทีนะ…บางทีถ้าหากว่าฉันแค่เติบโตขึ้นเรื่อยๆแบบคนทั่วๆไป ฉันคงจะได้เป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียงไปแล้วก็ได้ แต่ด้วยการที่ฉันได้รับพลังอำนาจในการพยากรณ์มาครอบครอง ฉันได้เสียความสามารถทางดนตรีทั้งหมดของฉันได้”

“…?”

ยูซอดัมไม่สามารถที่จะเข้าใจในส่วนที่เธอบอกว่าเธอได้เสียความสามารถทางด้านดนตรีของเธอได้เลย

“อืม ไม่ว่าจะเป็นดนตรีแบบไหนก็ตามที่ฉันได้ฟัง ฉันสามารถที่จะได้ยินมันเป็นเพียงแค่เสียงที่น่าขนลุกเท่านั้นอง นายรู้ไหม…ฉัน…ฉันนะจริงๆแล้วรักเสียงเพลงมากเลยนะ เพลงนะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมีและเป็นทั้งชีวีตของฉันเลย”

บางทียูซอดัมคงจะไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันรู้สึกเช่นไรกันหากว่าตนเองได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่รักไปแล้วสิ่งนั้นกลายมาเป็นสิ่งที่เพียงแค่ได้ยินก็รู้สึกขยะแขยงแล้วแบบนี้ มันจะเป็นยังไงกันหากว่าบางสิ่งบางอย่างที่คุณเคยคิดว่ามันสุดแสนจะล้ำค่าที่สุดในชีวิตของตัวคุณเองอยู่ๆก็กลายมาเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดเพียงแค่ได้ยินมัน

เขาไม่อาจที่จะเข้าใจได้เลย แต่ว่าเขาก็รู้คราวๆว่าเธอรู้สึกยังไงกัน มันเป็นคงเป็นความเจ็บปวดที่เจ็บปวดมากเสียยิ่งกว่าความรู้สึกที่คุณจะได้เจอในตอนที่หัวใจของคุณแหลกสลายเป็นแน่

มันคงจะรู้สึกราวกับว่าคุณได้ตกลงไปยังหุบเหวที่ไร้ที่สิ้นสุด

หุบเหว

มันเป็นที่ที่ไม่มีทางที่จะรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังไปมากกว่านี้อีกแล้วแต่ในความเป็นจริงแล้ว เธอกลับรู้สึกสิ้นหวังมากขึ้นเรื่อยๆอย่างช่วยไม่ได้ มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เธอสามารถที่จะทำได้ในหุบเหวที่ไร้จุดสิ้นสุดเช่นนี้ก็คือได้แต่เหนี่ยวรั้งเศษเสี้ยวของความทรงจำของดนตรีที่เธอรักในอดีตเอาไว้

พึ่งจะตอนนี้เท่านั้นเองที่เขาเข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้นำสิ่งต่างๆที่เดี่ยวข้องกับดนตรีเข้ามาในห้องสมุดมากมายเช่นนี้

ในตอนนนี้ ตอนที่เธอสามารถที่จะเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรีได้อีกครั้งหนึ่ง เธอคงไม่อยากที่จะแยกจากมันไปเลยแม้แต่นิดเดียว

เธอเป็นแม่มด คนที่ได้ประสบกับการสูญเสียความสามารถของตัวเธอเองเพื่อที่จะได้ฟังดนตรีได้อีกครั้งหนึ่ง เธอน่าจะกังวลว่าเธออาจที่จะเสียมันไปอีกครั้งหนึ่งเป็นแน่ และหากว่าเธอต้องสูญเสียมันไปอีกครั้งจริงๆในอนาคตหละก็ เธอก็คงอยากที่จะจดจำช่วงเวลาอันแสนมีความสุขที่เธอรู้สึกได้ ณ ช่วงเวลานี้เอาไว้

“…เป็นเพลงที่ดีนะ และเอาจริงๆแล้วมันก็ดูจะเข้ากับบรรยากาศของที่นี้ดีนิ ฉันเองก็ชอบดนตรีคลาสสิกด้วยเหมือนกัน เพราะงั้นก็เล่นมันบ่อยด้วยหละ”

“ค่ะ! ของคุณมาค้าาาา ฮิฮิ”

ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในใจของยูซอดัมในขณะที่เขาได้ลูบไล้ไปที่เปียโนอย่างเงียบๆ

‘ถ้าหากว่ามันเป็นไปได้ที่จะนำสิ่งของจำพวกเครื่องดนตรีเข้ามาที่นี้แล้วงั้นมันจะเป็นไปได้ไหมนะที่จะเอางานเข้ามาทำที่นี่บ้าง?’

ยูซอดัมยังคงไม่มีสำนักงานกิลด์ที่เหมาะสมเลย เขาเลยกำลังมองหาพื้นที่ทำงานให้กับตัวเองก่อน แต่ในตอนนี้เขาคิดว่ามันคงจะดีกว่าอีกที่จะนำมันมาทำที่นี้ในเวลาเดียวกันก็ได้ฟังดนตรีคลอไปด้วยในตอนที่ทำงาน

เขากลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงในทันทีและวางมือของตนเองลงไปบนกองเอกสารจากนั้นก็ก๊อปปี้มันทั้งหมดแล้วทำมันเข้ามาในห้องสมุดของแม่มดขาวแห่งนี้

“ว้าววว…นายเรียนรู้มันได้เร็วมากเลย มันใช้เวลาสักพักเลยนะกว่าที่ฉันจะทำมันได้อย่างไร้ข้อผิดพลาดนะ”

“น-แน่นอนอยู่แล้วสิ”

แม้เขาจะพูดออกไปแบบนั้นแต่ความจริงแล้วมันก็ไม่ใช่สกิลของเขาหรอกมันค่อนข้างที่จะเป็นสกิลของเจ้ากระถางดอกไม้มากกว่า แต่เขาก็อายเกินไปที่จะยอมรับไปว่าเขาไม่สามารถที่จะทำได้ดีไปกว่าเจ้าการฝากตัวนี้ได้

……………………………………………………..

หากชอบเรื่องนี้สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนผู้แปลได้ทาง mynovel.co หรือ

……………………………………………………..

<คุณยูซอดัมค่ะ ฉันเสียใจด้วยจริงๆกับความล่าช้าในการให้รางวัลนะคะ>

หลังจากที่ได้ล่าเดอมาร์สูงสุดลงแล้ว ฉันยังไม่ได้รับพรสวรรค์และทักษะจากเขาเลย

ระบบนั้นยังคงบ่นงึมงำถึงบางสิ่งบางอย่างอยู่ตลอดเวลาโดยที่ไม่ได้อธิบายเหตุผลใดๆให้ฉันฟัง แต่สำหรับฉันแล้วมันดูเหมือนว่าเธอจะเสียใจกับเรื่องนี้อยู่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เธอไม่จำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ

<เป็นเพราะว่าสกิลที่ตัวเอกคนนี้ได้ครอบครองเอาไว้มีความเป็นไปได้บรรจุอยู่ภายในมากมายเกินไป…ฉันเลยไม่สามารถที่จะมอบมันให้กับคุณยูซอดัมได้ในทันทีเลยนะคะ>

<ฉันคิดว่าฉันจำเป็นที่ต้องหาทางแก้ปัญหานี้ก่อนไม่ว่าจะทางไหนสักทาง>

ฉันเองก็ไม่ได้แน่ใจเกี่ยวกับเหตุผลของเรื่องนี้นักนัก แต่ฉันก็ไม่ได้เร่งรัดให้เธอแก้ไขมันให้เร็วที่สุดที่เป็นไปได้หรอกเพราะว่าฉันเองก็รู้ดีว่าไม่ว่ายังไงฉันก็จะได้มันมาอยู่แล้ว ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ตาม เธอยังคงพยายามที่จะแก้ปัญหานี้อยู่ และมันก็ได้ผ่านมาเป็นเดือนแล้วนับจากตอนนั้นแต่ว่าฉันเองก็ค่อนข้างที่ยุ่งกับเรื่องอื่นด้วยเหมือนกัน ฉันเองก็เลยไม่ได้มีเวลาไปให้ความสนใจเรื่องนี้เลย

‘ตามสะดวกเลย’

<ค่ะ…ฉันจะแจ้งให้คุณทราบในเร็วๆนี้นะคะ>

และในอีกไม่กี่วันหนังจากนั้น

เยคาเทริน่าก็กำลังเรียนอยู่ในห้องสมุดตามปกติในขณะที่ฉันก็ได้จัดการกับงานเอกสารของทั้งพันธมิตรมูริมและอนาเตอร์ลีกเสร็จสิ้นแล้ว

ณ ตอนนี้ กิลด์ของฉันมีสมาชิกเหลืออยู่เพียงแค่สองคนเท่านั้นเอง แต่ก็ยังดีที่ยีซาฮเยคนที่ได้กลายมาเป็นลูกศิษย์ของฮาซุนยัง นั้นกำลังเติบโตขึ้นด้วยอัตราเร็วที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนักและในตอนนี้เธอเองก็เป็นคนที่กำลังสร้างผลกำไรส่วนหนึ่งให้กับกิลด์ด้วย เพราะเหตุนี้เองงานของฉันเลยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่ว่าคงจะไม่มีบอสคนไหนในโลกใบนี้หรอกที่เกลียดงานที่มากขึ้นในบริษัทของตัวเองหรอก จริงไหมหละ?

ดังนั้นในขณะเดียวกันกับที่ได้ทำงานเอกสารในห้องสมุดนั้นเอง มันก็เป็นเรื่องที่ช่างบังเอิญเสียจริงที่เธอได้มาเห็นเอกสารพวกนี้เข้า

“อืม มันน่าปวดหัวเสียจริง”

“หืม?”

“ก็ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่ได้รับสายจากพันธมิตรมูริมว่ามีใครบางคนกำลังใช้ชื่อศิลปะการต่อสู้ของพวกเขาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทั้งพวกกิลด์ต่างๆหรือกลุ่มอื่นๆในประเทศก็ตาม”

“อ่าหะ…?”

แล้ว เยคาเทริน่าก็เอียงหัวของเธอไปสักพักหนึ่งและพูดว่า

“แล้วทำไมนายไม่ทำให้มูกงเป็นเหมือนกับพลังเหนือธรรมชาติคล้ายๆกับพวก ‘ทรัพยสินทางปัญญา’ ไปซะหละ?”

“พลังเหนือธรรมชาติ…มันอะไรกันนะ?”

“เมื่อนานมาแล้ว มันมีข้อพิพาทบางอย่างเกิดขึ้นกับกิลด์ที่ฉันอยู่นะ มันมีกิลด์บางกิลด์เคยพยายามที่จะขโมยเวทมนตร์ของกิลด์โมเรียนไปเหมือนกันนะ”

คิดๆดูแล้ว ไม่ใช่ว่าเธอบอกเองว่าสมาชิกหลักของกิลด์โมเรียนนั้นประกอบด้วยแม่มดไม่ใช่หรือไง? อืม เป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่งนัก

“ในตอนนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีความเกี่ยวข้องกับพลังพิเศษและความสามารถลึกลับได้รับการยอมรับว่าเป็นเหมือนกับเทคโนโลยีนิ ทำไมถึงได้เป็นแบบนั้นหละ? นั้นก็เป็นเพราะว่าทุกๆสกิลที่ใครก็ตามได้ครอบครองมันมีความแตกต่างกันออกไปจากคนอื่นๆไงหละ นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมในตอนนี้มันถึงได้รับการปฏิบัติราวกับสิ่งของที่จับต้องได้ ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ มันถือได้ว่าเป็นอาวุธ ดังนั้นแล้วหากว่านายกำหนดให้มันเป็น ‘ทรัพย์สินทางปัญญา’ คนอื่นๆก็จะไม่สามารถที่จะขโมยมันไปจากนายได้อย่างเปิดเผยยังไงหละ อืม…มันอาจจะยังมีอีกหลายทางที่จะใช้ซิกแซกได้แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องยากที่จะแตะต้องเหล่านักรบจากมูริมพวกนี้ที่ได้รับการรับรู้แล้วว่าเป็นผู้ครอบครองความสามารถอันลึกลับนี้อยู่โดยตรง”

“…จริงอะ?”

ฟู!

ความกังวลทั้งหมดที่คอยกวนใจฉันในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ได้จางหายไปในเสี้ยวพริบตา

จากตอนนั้นเอง ฉันก็คอยถามเธออย่างต่อเนื่องอีกหลายต่อหลายคำถาม และรับรู้ได้ว่าเยคาเทริน่ามีความสามารถมากกว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีก

พัคซองโฮและฉันรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมฮันเตอร์และพันธมิตรมูริมเป็นอย่างมาก แต่ว่าในส่วนของ ‘ความสามารถลึกลับ’ แล้ว เยคาเทริน่ามีความรู้ความเข้าใจมากยิ่งว่าความรู้ของพวกเราทั้งคู่รวมกันเสียอีก

“เธอ อืม เธอนี่มัน…”

“คะ?”

“เธอนี่มันสุดยอดไปเลย…”

“โอ้ว อืม อืม ฉันรู้อยู่แล้วว่าฉันนะเจ๋งพอควร”

นานแค่ไหนแล้วนะที่ฉันได้พยายามที่จะอธิบายมูกง ความสามารถที่ยากจะเข้ากับยุคปัจจุบันเช่นนี้กันนะ? ราวกับว่ากำลังเยอะเย้ยความกังวลทั้งหมดของฉันอยู่เลย เยคาเทริน่าได้แก้ไขมันได้อย่างรวดเร็ว ในแง่มุมนั้นเอง เธอมีความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างมาก ในทางปฏิบัติแล้วมันไม่มีอะไรที่เธอไม่รู้เลย

คิดๆไปแล้ว กิลด์ของฉันเองก็กำลังจะสอนทั้งศิลปะการต่อสู้และเวทมนตร์อยู่นี่เนอะ

ในตอนนี้ ฉันกำลังสอนเพลงดาบสีขาวทั้งหมดของฉันให้กับฮาซุนยัง เพื่อที่เธอจะได้สามารถสอนมันให้กับสมาชิกคนอื่น และ สอนมันให้กับยีซาฮเยที่เป็นลูกศิษย์คนแรกของเธอได้ แต่ไม่ใช่ว่ามันยากสำหรับฉันที่จะสอนเวทมนตร์ไม่ใช่หรือไง?

แล้วถ้าฉันให้เยคาเทริน่าเข้าอนาเตอร์ลีกหละ?

เธอคงจะสามารถรับงานในส่วนของการสอนเวทมนตร์และช่วยทั้งในส่วนของการบริหารของทั้งพันธมิตรมูริมและอนาเตอร์ลีกได้แน่ ในขณะเดียวกันฮาซุนยังก็จะรับในส่วนของการสอนวิชาดาบ เพราะงั้นอนาเตอร์ลีกก็จะสามารถเติบโตได้ด้วยการใช้ประโยชน์จากทั้งสองส่วนเลย

ที่สำคัญมากไปกว่านั้น หากว่าเยคาเทริน่าเข้าร่วมกับอนาเตอร์ลีกแล้วรับงานในส่วนของการบริหารจัดการไป ฉันก็จะสามารถไปยังต่างโลกได้โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะมีผิดพลาดเกิดขึ้นในเมื่อเธอเหนือยิ่งกว่าฉันเสียอีกเมื่อเทียบกันในส่วนนี้แล้ว

แต่ว่า…

“มันน่าเสียดายจริงๆเลย ที่เธอเข้ากิลด์โมเรียนไปแล้วอะนะ”

“หรือคะ?”

“ใช่แล้วหละ ถึงแม้ว่าเธอจะมีพรสวรรค์ที่เหมาะสมกับกิลด์เราพอดีเลย แต่ว่าพูดตามตรงแล้วกัน กิลด์ของเรานะไม่สามารถที่จะนำไปเทียบกับกิลด์โมเรียนได้เลยนะสิ”

ถึงแม้ว่าจิตใจของเธอจะถูกผูกเอาไว้กับฉันก็ตาม ฉันก็ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะบังคับเธอ เพราะหากว่าฉันทำแบบนั้นมันก็คงจะเป็นแบบเดียวกับที่สิ่งที่เธอเคยเจอ สิ่งที่ได้กักขังเธอไว้ในพิพิธภัณฑ์นั้นมาตลอดทั้งชีวิตของเธอ

ดังนั้นมันเลยเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะน่าเสียดาย

กิลด์โมเรียนนะเป็นหนึ่งในกิลด์ที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ นอกไปจากนี้แล้วสำหรับในตอนนี้ เธอก็ได้บอกไว้ว่าพวกเขากำลังทำโปรเจคบางอย่างรวมกับกิลด์ ‘ลอสเดย์’ ดังนั้นมันไม่มีความหมายอะไรสำหรับเธอเลยที่จะออกจากกิลด์ที่มีขนาดเช่นนั้นแล้วมาเข้ากิลด์หน้าใหม่ที่มีสมาชิกอยู่เพียงแค่สามคนเท่านั้นเอง-

“ได้โปรดรับฉันด้วยนะคะ!”

“…เอะ?”

“ฉันสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ที่นายขอเลย! ฉันจะเป็นเครื่องจักรที่คอยทำงานให้กับนายไปตลอดทั้งชีวิตของฉันเลย!”

เยคาเทริน่ายืนขึ้นตรงหน้าฉันและกุมมือของฉันเอาไว้ ดวงตาสีขาวของเธอกำลังสั่นไหวในขณะที่กำลังพูด

“หากว่านายพาฉันออกมาจากกิลด์โมเรียน ฉันมั่นใจเลยว่าฉันจะทำงานราวกับเป็นหมาให้กับนายเลย!”

มันดูราวกับว่าเป็นคำวิงวอนมากกว่าคำขอร้องเขากิลด์อีกนะเนี่ย