บทที่ 236 นวดผ่อนคลาย

พลิกชะตาหมอยา

เฟิ่งชิงหัวสะบัดมือ แต่สะบัดอย่างไรก็ไม่หลุดเสียที จึงกล่าวขึ้นมาอย่างอารมณ์เสีย: “อย่างเดียวก็อย่างเดียว ท่านปล่อยมือ”

“หนึ่งอย่างคือหนึ่งอย่าง แต่ไม่ใช่หนึ่งอย่าง ข้าจะเลือกหนึ่งอย่างหรือไม่ ยังต้องดูว่าเจ้าจะให้ความร่วมมือหรือไม่”

“ท่านเป็นคนจัดสถานที่เอง ยังต้องให้ข้าร่วมมืออะไรอีก?”

จ้านเป่ยเซียวยิ้มแต่ไม่พูดอะไร

เฟิ่งชิงหัวจ้องตาเขาด้วยความสงสัย รู้สึกเพียงว่าในรอยยิ้มของเขาซ่อนเอาไว้ด้วยแผนร้าย

หันกลับไปมอง ก็พบว่าหลิวหยิ่งกำลังปูเตียง

“รอก่อน หนึ่งอย่างที่ท่านพูด คงจะไม่ใช่ เตียงหรอกนะ?” เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้ว

“อืม” จ้านเป่ยเซียวพยักหน้าอย่างสบายใจ และดื่มชาที่อยู่ในมือคำหนึ่ง

“ไม่ได้ ท่านนอนเตียงแล้วข้านอนไหน? ในตำหนักมีแค่เตียงเดียวเท่านั้น”

“เช่นนั้นนอกจากเตียงนั่นแล้วข้าจะไม่จัดอะไรเลย และเพิ่มเตียงอีกหนึ่งเตียงที่นี่ ไม่เป็นไร ข้าเองก็เป็นประชาธิปไตยมาก สิทธิ์ในการเลือกอยู่ในมือของเจ้า” จ้านเป่ยเซียวยิ้มให้กับเฟิ่งชิงหัวด้วยรอยยิ้มที่ได้ใจเป็นพิเศษ

“เช่นนั้นวันถัดไปท่านจะเก็บหรือไม่?”

“เก็บทำไม ข้าจะพักอยู่ที่นี่สองวันนะ”

“ท่านไม่เก็บ นางกำนัลเข้ามาพบว่าที่นี่มีเตียงเพิ่มขึ้นมาอีกตัว ท่านจะให้ข้าอธิบายอย่างไร?”

“นี่คือสิ่งที่เจ้าควรจะกังวล ไม่ใช่ข้า”

จ้านเป่ยเซียวกล่าวไป จากนั้นก็หันไปกล่าวกับหลิวหยิ่งที่อยู่ด้านหลัง: “ไม่ต้องปูเตียงแล้ว ทำขึ้นมาอีกเตียงก็แล้วกัน”

“ขอรับ” หลิวหยิ่งกล่าวตอบรับ กล่าวไปก็ทำท่าทางว่าจะดึงผ้าปูที่นอนที่ปูเสร็จแล้วนั่นออก

“อย่านะ!” เฟิ่งชิงหัวรีบห้ามโดยเร็ว: “ปูก็ปูเถอะ เตียงข้ายกให้ท่าน ข้านอนพื้นเช่นนี้ได้หรือยังเล่า

“หลิวหยิ่ง เอาออกไปเถอะ”

“อย่า ๆ ๆ ด้วยกัน ด้วยกัน แต่ว่าตกลงกันก่อนนะ มือของท่านห้ามอยู่ไม่เป็นสุข ไม่เช่นนั้นข้าจะถีบท่านลงไปเสีย!” เฟิ่งชิงหัวรีบกล่าว

เมื่อคิดถึงว่าตอนนี้จ้านเป่ยเซียวน่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตน เฟิ่งชิงหัวก็วางใจลงไม่น้อย

หลิวหยิ่งเริ่มปูเตียงต่อไป ครั้งนี้ปูอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ พอปูเสร็จก็ได้ทิ้งชุดชงชาเอาไว้หนึ่งชุด จากนั้นถึงได้ถอยออกไปทางอุโมงค์ลับ กระเบื้องหินที่อยู่บริเวณนั้นถูกทำให้เป็นเหมือนเดิม ไม่ได้ทิ้งร่องรอยใด ๆ เอาไว้เลย

เฟิ่งชิงหัวนั่งลง และกล่าวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้: “ราชวงศ์สร้างอุโมงค์ลับนี่ขึ้นมาทำไมหรือ? หรือว่าเพื่อแอบไปพลอดรักกับนางในใจตอนกลางดึก?”

จ้านเป่ยเซียวกล่าวอย่างเชื่องช้า: “เจ้าไม่ใช่คนเทียนหลิงสินะ?”

เฟิ่งชิงหัวเบ้ปาก: “ไม่ใช่ แต่ข้าก็ไม่ใช่คนแคว้นอื่น ข้าเป็นเด็กกำพร้า เติบโตมาในหุบเขา นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าลงมาจากเขา”

“แล้วมารดาของเจ้าเล่า?” จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้ว

“อ้อ หลังจากที่มารดาของข้าคลอดข้าออกมาก็ได้ทิ้งข้าไว้บนภูเขาและไปตามหาท่านพ่อของข้า หลังจากนั้นก็ไม่กลับมาอีกเลย ข้าเองก็เพิ่งจะหานางเจอในครั้งนี้ นางถูกหนานกงซ่อนเอาไว้ ส่วนได้ซ่อนเอาไว้มาโดยตลอดหรือไม่นั้นก็มิอาจทราบได้ เมื่อก่อนมารดาของข้าเป็นน้องสาวบุญธรรมของเขา เคยช่วยนางเอาไว้ในอดีต ครั้งนี้ก็เป็นเขาที่ขอร้องให้ข้าช่วย เพื่อตอบแทนบุญคุณของเขา ข้าถึงได้สวมรอยเป็นหนานกงเยว่ลั่วแต่งกับท่าน” เฟิ่งชิงหัวค้ำคางกล่าว

จากนั้นนางก็พลันนึกขึ้นมาได้ ตนเองเหมือนว่ากำลังถามคำถามอยู่ เหตุใดกลับได้ถูกหลอกถามเข้าเสียอย่างนั้น

“ท่านยังไม่ได้พูดเลยนะ ท่านนี่อย่างไรกันแน่ อุโมงค์ลับเกี่ยวกับข้าใช่หรือไม่ใช่คนเทียนหลิง?”

“หากเป็นคนเทียนหลิง ก็ควรจะคุ้นเคยกับประวัติศาสตร์ของเทียนหลิง บรรพบุรุษที่ก่อตั้งราชวงศ์เทียนหลิง เป็นช่างหินที่มีชื่อเสียงโด่งดังผู้หนึ่ง เขาเป็นคนออกแบบและควบคุมการก่อสร้างราชวังแห่งนี้เอง ในตอนนั้นเขาพอมีความรู้เกี่ยวกับการแกะสลักและอุโมงค์ลับอยู่บ้าง ดังนั้นจึงได้สร้างพระราชวังแห่งนี้ให้เป็นเขาวงกตแห่งหนึ่ง

“หากเป็นคนเทียนหลิง ก็ควรจะคุ้นเคยกับประวัติศาสตร์ของเทียนหลิง บรรพบุรุษที่ก่อตั้งราชวงศ์เทียนหลิง เป็นช่างหินที่มีชื่อเสียงโด่งดังผู้หนึ่ง เขาเป็นคนออกแบบและควบคุมการก่อสร้างราชวังแห่งนี้เอง ในตอนนั้นเขาพอมีความรู้เกี่ยวกับการแกะสลักและอุโมงค์ลับอยู่บ้าง ดังนั้นจึงได้สร้างพระราชวังแห่งนี้ให้เป็นเขาวงกตแห่งหนึ่ง สืบต่อกันมาหลายราชวงศ์ เหล่าบรรพบุรุษคิดว่ามันซับซ้อนจนเกินไป จึงได้สร้างตำหนักต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อทำลายทิศทาง”

“อ้อ เช่นนั้นตำหนักแห่งนี้ก็ได้สร้างขึ้นมาต้องแต่เมื่อก่อนสินะ ดูแล้วยังใหม่อยู่เลย” เฟิ่งชิงหัวกวาดตามองไปรอบ ๆ และพยักหน้า

จ้านเป่ยเซียวมองนางอย่างช่วยไม่ได้: “เด็กโง่ เจ้าไม่รู้หรือว่าการปรับปรุงใหม่คืออะไร?”

“เอ่อ อ้อ รู้สิ ข้าก็แค่ทอดถอนใจเอง” เฟิ่งชิงหัวเบ้ปาก

จ้านเป่ยเซียวมองดูเฟิ่งชิงหัว: “ไม่สงสัยหรือว่าข้าไม่ใช่ฮ่องเต้และไม่ใช่รัชทายาท เหตุใดถึงได้รู้ที่มาที่ไปของอุโมงค์ลับแห่งนี้?”

“มีอะไรให้แปลกใจ ท่านเป็นโอรสที่ฮ่องเต้ชอบที่สุด พระองค์บอกท่านมันก็ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ ข้าได้ยินมาว่า หากไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บของท่าน ตำแหน่งรัชทายาทอาจจะเป็นของท่านก็ได้”

จ้านเป่ยเซียวส่ายศีรษะ: “พูดถูก แต่ก็พูดไม่ถูก”

“ตรงไหนถูก ตรงไหนไม่ถูก?”

จ้านเป่ยเซียวจ้องมองเฟิ่งชิงหัวด้วยแววตาลึกซึ้ง: “เจ้าไม่รู้จริง ๆ หรือ”

“ข้ารู้อะไรหรือ?” เฟิ่งชิงหัวเกาศีรษะ: “เทียนหลิงของพวกท่านความลับเยอะเช่นนี้เชียวหรือ? ท่านหาหนังสือมาให้ข้าอ่านสักเล่มให้ข้าเพิ่มเติมความรู้หน่อยดีไหม ไม่เช่นนั้นมันทำให้ข้าดูเหมือนคนไม่รู้หนังสือ การที่ไม่รู้อะไรเลย ทำให้มีช่องว่างเมื่อเราสองคนสนทนากัน?”

จ้านเป่ยเซียวส่ายศีรษะ: “เจ้าไม่รู้ก็ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”

กล่าวไปจ้านเป่ยเซียวก็ลุกยืนขึ้น เดินตรงไปยังเตียงนอน มือยังคงกำนิ้วมือหนึ่งนิ้วของเฟิ่งชิงหัวเอาไว้

“เฮ้อ ท่านนี่นะ พูดขึ้นมาแล้วก็ไม่พูดต่อให้จบ ท่านพูดสิ ข้าฉลาดมากเลยล่ะ พูดเรื่องเดี๋ยวข้าก็อนุมานไปยังเรื่องอื่น ๆ ได้ ท่านเล่าให้ข้าฟังไม่แน่ข้าอาจจะรู้ก็ได้” ตอนนี้เฟิ่งชิงหัวได้ถูกจ้านเป่ยเซียวจุดไฟความอยากรู้อยากเห็นในใจขึ้นมาเสียแล้ว ในสมองเต็มไปด้วยความสงสัย แม้กระทั่งตนเองถูกพาขึ้นเตียงแล้วยังไม่รู้สึกตัว

จ้านเป่ยเซียวนอนลงไปบนเตียง ส่วนเฟิ่งชิงหัวนั่งอยู่ที่ข้างเตียง นิ้วมือที่ถูกกำเอาไว้ขยับไปมาอยู่ในมือของจ้านเป่ยเซียว: “ท่านพูดสิ”

“เหนื่อยแล้ว” จ้านเป่ยเซียวกล่าว ยกมือขึ้นมาทุบไหล่ของตนเอง

เฟิ่งชิงหัวกล่าวขึ้นมาทันที: “เหนื่อยใช่ไหม เช่นนั้นข้าจะช่วยนวดผ่อนคลายให้ท่านนะ ข้าเรียนหมอมา มีวิธีนวดแตกต่างจากคนธรรมดา นวดผ่อนคลายให้ท่านก็จะไม่เหนื่อยแล้ว”

แววความได้ใจแวบขึ้นมาในดวงตาของจ้านเป่ยเซียว ปากกลับกล่าวว่า: “ไม่ต้องรบกวนเจ้าหรอก?”

“ไม่รบกวน ไม่รบกวน”

ดังนั้นจ้านเป่ยเซียวเลยได้นอนคว่ำลงไปบนเตียง เฟิ่งชิงหัวเหยียดนิ้วมือจากนั้นก็เริ่มนวดให้กับเขา

นิ้วมือของเฟิ่งชิงหัวคล่องแคล่วว่องไว นิ้วมือเลื่อนผ่านเสื้อผ้าไปตามแผ่นหลังของเขา จุดที่นิ้วมือเลื่อนผ่านนั้นให้ความรู้สึกเหน็บชา

แผ่นหลังของจ้านเป่ยเซียวแข็งเป็นแผ่นเหล็กขึ้นมาในทันที

เฟิ่งชิงหัวนวดไปตามจุดของเขาพลางกล่าว: “อย่าเกร็งเช่นนั้นสิ ข้าจะจับท่านกินหรืออย่างไร? ก็แค่การนวดผ่อนคลายโดยทั่วไป หรือว่าปกติแล้วไม่มีใครนวดผ่อนคลายให้ท่านเลย?”