ตอนที่ 212 วันที่แสนทรมานของอาจารย์เฮอร์ 1

สตรีมเมอร์สาว กินพิชิตอวกาศ

ตอนที่ 212 วันที่แสนทรมานของอาจารย์เฮอร์ 1

คณบดีพูลแมนจ้องมององค์หญิงสามด้วยรอยยิ้ม และเอ่ยถาม “ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่พ่ะย่ะค่ะ?”

“บ่ายเมื่อวาน” สวี่หลิงอวิ๋นยิ้มกลับ “ท่านก็รู้ว่าจะให้เรานั่งนิ่งอยู่ได้ยังไง? ฉันไม่เข้าใจสถาปัตยกรรมเลยสักนิด”

คณบดีพูลแมนพยักหน้า “เฮ้อ ท่านนี่ช่างดื้อเหลือเกิน”

“ยังไงก็เถอะ ท่านรู้จักอาจารย์เฮอร์ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” คณบดีพูลแมนรู้สึกว่าอาจารย์เฮอร์ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสวี่หลิงอวิ๋น

ทว่าอาจารย์เฮอร์ไม่ใช่คนธรรมดา แต่ทำไมเขาถึงมีผลกระทบกระเทือนจากการล้มกระแทกเป็นเวลานานนัก?

หัวใจของรุยกับฉินหยวนบีบรัดแน่นขณะจ้องมององค์หญิงสาม พวกเขาเองก็ครุ่นคิดถึงความประหลาดนี้เช่นกัน ที่อาจารย์ล้มกระแทกจนหมดสติล้มลงอย่างง่ายดายเป็นเพราะฝีมือขององค์หญิงสามอย่างนั้นเหรอ?

สวี่หลิงอวิ๋นจ้องมองคณบดีพูลแมนอย่างประหลาดใจ “อาจารย์เฮอร์? เขาเป็นใครคะ? เกิดอะไรขึ้นกับเขา?”

คณบดีพูลแมนจ้องมองท่าทางที่ดูไม่จอมปลอมของเธอ ด้วยความสับสนและไม่มั่นใจเล็กน้อย

“อ๋อ… ไม่มีอะไร เขาแค่ล้มกระแทกพื้น ตอนนี้กำลังรักษาตัวอยู่ในห้องพยาบาลน่ะพ่ะย่ะค่ะ”

หัวข้อดังกล่าวหยุดเพียงเท่านี้ แต่กลับมีบางอย่างเกี่ยวกับเยลที่เขาอยากจะถาม

“ที่เยลสูญเสียพลังดวงดาวเกี่ยวข้องกับท่านด้วยหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ?”

“เยล?” สวี่หลิงอวิ๋นขมวดคิ้ว “ฉันจะบอกอะไรให้นะคะท่านคณบดี ฉันอยู่สูงกว่าเยลแค่ระดับเดียว ไม่สามารถทำให้คนคนนั้นสูญเสียพลังดวงดาวได้หรอกค่ะ!”

คณบดีพูลแมนจ้องมองเธอ

สวี่หลิงอวิ๋นจ้องมองเขากลับด้วยสายตาแน่วแน่ กางมือทั้งสองข้างออกด้วยท่าทีสงบ

“ท่านมาที่นี่เพราะเรื่องแค่นี้เหรอคะ?” สวี่หลิงอวิ๋นรู้สึกไม่พอใจ “ถ้าท่านมาที่นี่เพราะเรื่องพวกนี้ อย่าต่อว่าที่ฉันทำตัวดื้อรั้นแล้วส่งท่านออกไปนะคะ”

“เอาล่ะ กระหม่อมจะไม่ถามแล้วพ่ะย่ะค่ะ” คณบดีพูลแมนรู้ว่าดีว่าถึงสวี่หลิงอวิ๋นจะเป็นคนลงมือทำ เธอก็คงจะไม่มีทางยอมรับอยู่ดี

นอกจากนี้สิ่งที่เฮอร์ทำลงไปเมื่อไม่นานมานี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเกินกว่าเหตุ

อีกอย่างสิ่งที่ทำลงไป… ไม่ได้ส่งผลกระทบถึงสมอง ท้ายที่สุดแล้วเธอยังเป็นเด็กที่เผลอทำผิดพลาดได้ง่าย ดังนั้นเขาจะให้โอกาสเธอ

ลืมมันไปเสียเถอะ อนาคตยังอีกยาวไกล…

องค์หญิงสามกล่าวว่าเธอไม่จำเป็นต้องทำให้เยลสูญเสียพลังดวงดาว บางทีพลังดวงดาวของเยลอาจจะมีปัญหาเสียเอง

คณบดีพูลแมนมีท่าทีกังวลเล็กน้อย แม้แต่คิ้วของเขายังขมวดแน่น ปากยิ้มเล็กน้อยแต่กลับใจลอยไปไกล

เขาเดินอยู่ในแผนกเกษตรกรรม และจ้องมองผลพริก “นี่คือผลพริกหรือพ่ะย่ะค่ะ? แตกผลได้น่าชื่นชมนัก”

“ใช่แล้วค่ะ แผนกเกษตรกรรมของเราปลูกมันเองเลยล่ะ” สวี่หลิงอวิ๋นที่ยืนอยู่ด้านข้าง แนะนำเขาทีละต้น

นักเรียนคนอื่นฉวยโอกาสปลีกตัวออกไป

ความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้นทำให้พวกเขาหลงลืมปัญหามากมายไปชั่วขณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของเฮอร์ องค์หญิงสามบอกพวกเขาให้ปล่อยไปก่อน แล้วเดี๋ยววันของเขาจะมาถึงเอง!

พวกเขาเชื่อว่านี่เป็นฝีมือของหัวหน้า! ถึงแม้ว่าเธอจะปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับอาการหมดสติอย่างไม่ทราบสาเหตุของอาจารย์เฮอร์ แต่นักเรียนทั้งหลายต่างเชื่อว่าองค์หญิงสามเป็นคนลงมือ

ไม่อย่างนั้น ทำไมเฮอร์ผู้นี้ไม่หมดสติก่อนนี้ แต่กลับหมดสติลงหลังจากที่องค์หญิงสามกลับมา?

“เมื่อตอนเที่ยงท่านกินอะไรกันพ่ะย่ะค่ะ?” คณบดีพูลแมนถาม “คณะอาจารย์และนักเรียนทั้งหลายมาครวญครางว่าท่านกินอาหารอร่อย ๆ กันทุกวัน จนกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วสถาบัน”

“พวกเรากินอะไรแล้วมันเกี่ยวอะไรด้วยคะ? เหอะ ๆ! ถ้ามีความสามารถ พวกเขาก็คงทำเหมือนกันแหละค่ะ! แต่ดูเหมือนว่าปีหนึ่งจะขวางพวกเขาเอาไว้นะคะ” สวี่หลิงอวิ๋นสูดลมหายใจ “แบบนี้เรียกอิจฉากันไม่ใช่เหรอคะ? ท่านควรลดอคติลงบ้างนะคะ อย่าเอาแต่คล้อยตามทุกครั้งที่พวกเขามาฟ้อง”

“ที่ท่านพูดก็ถูก แต่ท่านจะโน้มน้าวกระหม่อมยังไงดีล่ะพ่ะย่ะค่ะ?” คณบดีพูลแมนจ้องมองเธอด้วยรอยยิ้ม

สวี่หลิงอวิ๋นครุ่นคิด จะโน้มน้าวเขาอย่างไรดี? ส่งปลาหมึกกระป๋องสักสองสามกระป๋องไปให้เขาดีไหม?

“ส่งพริกให้สักสองผลเป็นไงคะ?” สวี่หลิงอวิ๋นหัวเราะ ‘ฮิฮิ’ “เอาล่ะ ฉันล้อเล่นค่ะ เอาไว้รอบหน้าฉันจะโทรเรียกท่านมากินด้วยดีไหมคะ?”

“ก็เท่านั้นแหละพ่ะย่ะค่ะ” คณบดีพูลแมนพยักหน้าหลังจากได้คำตอบที่พึงพอใจ และเตรียมจะก้าวเท้าออกจากแผนกเกษตรกรรม

“ท่านคณบดีพูลแมน ท่านพอจะช่วยแนะนำอาจารย์ใหญ่ให้หน่อยได้ไหมคะ? เพราะทันทีที่โรงเรียนสำหรับคนธรรมดาสร้างเสร็จ สิ่งแรกที่จะมีปัญหาคืออาจารย์ใหญ่และคณะบริหาร”

อาจารย์หาได้ง่าย สามารถขอความช่วยเหลือจากสถาบันการวิจัยให้มาฝึกสอนชั่วคราวเป็นเวลาสามถึงห้าปีเพื่อรอคอยจนกว่าอาจารย์ใหม่ ๆ จะฝึกอบรมเสร็จและดำเนินการสู่สภาวะปกติ

ทว่าปัญหาหลักคือ…

ปัจจุบันโรงเรียนสำหรับคนธรรมดากำลังก่อสร้างอย่างกระจัดกระจายอยู่บนดาวเคราะห์ต่าง ๆ การจัดตั้งโรงเรียนเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทว่าการหาอาจารย์ใหญ่ที่เหมาะสมกลับยากยิ่งนัก

“อาจารย์ต้องมาจากการคัดเลือก” คณบดีพูลแมนเล็งเห็นความสำคัญของเรื่องนี้เป็นอย่างมาก อันที่จริงนี่คือความรับผิดชอบขององค์หญิงสาม แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรไปน้อยกว่าเธอเลย

ตัวอย่างเช่น การเลือกอาจารย์ใหญ่ เขาคิดเรื่องนี้มานานแล้วเช่นกัน

ราลีย์ คณบดีแผนกเกษตรกรรมเป็นผู้สมัครที่เหมาะสมที่สุด

เดิมทีราลีย์เป็นนักเรียนดีเด่นที่สุดในสถาบันการศึกษาทางการทหารของจักรวรรดิ อีกทั้งยังควบคู่ตำแหน่งหัวหน้า แต่ทันทีที่น้องชายของเขาจบชีวิตลงในสนามรบ และทางจักรวรรดิไม่ยอมเผยแพร่เรื่องราวการเสียชีวิตของเฮนรี่ด้วยเหตุผลนานัปการ เขาจึงรู้สึกราวกับหัวใจแตกสลายและปล่อยตัวเองให้ฟุ้งซ่าน

เนื่องจากเขาเป็นคนเก่งกาจและจักรวรรดิติดหนี้ตระกูลเฮย์แมน ด้วยเหตุผลนี้ทุกคนจึงเมินเฉยต่อทุกการกระทำของเขา

เนื่องจากเรื่องราวของเฮนรี่ถูกเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชน ทำให้ราลีย์รีบกลับไปที่บ้าน กอดรูปภาพของน้องชายแน่นและปล่อยโฮ

ไม่ได้ถูกเปิดเผยมานานแล้วสินะ

บางทีเขาอาจจะรู้สึกปีติยินดีกับการได้รับเลือกเป็นอาจารย์ใหญ่ เพราะมันเป็นเหมือนกับการเติมเต็มความปรารถนาครั้งสุดท้ายของน้องชาย

แต่นอกเหนือจากนี้แล้ว ยังต้องการเพิ่มอีกเก้าคน เขาจะไปหาจากที่ไหนได้?

บุคคลที่มีจริยธรรมอันสูงส่ง ไม่เลือกปฏิบัติกับคนธรรมดา ที่สามารถให้ความรู้ แก้ปัญหา และจัดการได้ทั่วทั้งวิทยาเขต และจะต้องมีความอดทนอย่างแรงกล้า เพื่ออดทนต่อความสงสัยของโลกภายนอก

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

คณบดีพูลแมนเริ่มรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย จะไปหาคนแบบนั้นได้ที่ไหนกัน? ถึงองค์หญิงสามจะเหมาะสมกับการเป็นอาจารย์ใหญ่มากที่สุด แต่เธอก็ยังเด็กเกินไปที่จะโน้มน้าวใจสาธารณชน

นอกจากนี้เธอยังไม่สำเร็จการศึกษาด้วย!

สวี่หลิงอวิ๋นจ้องมองและรู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นว่าเขาดูใส่ใจ คณบดีเป็นคนค่อนข้างใจกว้าง อย่างน้อยเขาก็ไม่คิดว่าการสร้างโรงเรียนให้กับคนธรรมดาเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากร

เมื่อไม่นานมานี้ เสด็จพ่อได้รับการกล่าวโทษที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ราวกับกระสุนเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงมาจากมวลชน

เอ่ยถามว่าอยากให้คนธรรมดาออกไปทำสงครามเหรอ? ด้วยเงินจำนวนนั้น มันคงจะดีเสียกว่าหากนำไปลงทุนในสถาบันแห่งอื่น หรืออาจจะคุ้มค่ามากกว่าหากนำไปพัฒนาเครื่องจักรกลของกองทัพทหาร

ขณะที่คนธรรมดาทั้งหลายตั้งตารอคอยกับการเปลี่ยนแปลงอย่างใจจดใจจ่อ

โรงเรียนถูกก่อตั้งขึ้นเพียงสิบแห่งเท่านั้น ส่งผลให้คนธรรมดาจำนวนมากตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรง ถึงกระนั้น นี่คือจุดเปลี่ยนโชคชะตาของพวกเขา

สวี่หลิงอวิ๋นรู้ดีว่าทำไมทุกคนถึงต่อต้านคนธรรมดา นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่สามารถควบคุมเครื่องจักรกล และไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะสามารถออกไปต่อสู้กับเอเลี่ยน

นอกจากนี้ หากพวกเขาต้องขับเคลื่อนเครื่องจักรกลด้วยระบบควบคุมมือ เด็กที่มีเพียงจิตวิญญาณจะสามารถเรียนรู้วิธีการขับเครื่องจักรกลด้วยระบบควบคุมมือได้เหรอ?

เพราะในสายตาของทุกคน ไม่ใช่เด็กธรรมดาทุกคนจะเป็นได้เหมือนกับเฮนรี่ เฮย์แมน!