ตอนที่ 242 แผนการซื่อสัตย์และความภักดีของพ่อบ้านเฟิง (2)
ตำหนักเหยียนชิ่งและตำหนักคุณหนิงอยู่ไม่ไกลจากกัน นางจึงใส่ใจความเคลื่อนไหวจากทางนั้น วันนั้นเสียงดังขนาดนั้น มั่วเชียนเสวี่ยพันผ้าสีขาวเดินออกมาจากตำหนักคุนหนิง แค่ถามคร่าวๆ แล้วคิดใคร่ครวญ นางก็รู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว
หนีออกมาจากเงื้อมมือของฮองเฮาได้ถือว่านางโชคดีและมีไหวพริบ ทว่าหนีจากเงื้อมมือของฝ่าบาทได้ ทั้งสังหารคนนับสิบคนกลางถนน ยังสามารถเอาชีวิตรอดปลอดภัยออกมาได้โดยไม่เป็นอะไรเลยสักนิด นั่นคือความสามารถ
คนที่มีความสามารถ นางไม่เคยเป็นได้มาก่อน แม้ว่าภูมิหลังของนางจะไม่ได้สูงส่ง แต่กลับสามารถปีนป่ายขึ้นมาตามลำดับมาโดยตลอด คนที่เข้าวังมาพร้อมกับนาง งดงามกว่านาง ตอนนี้ไม่รู้ว่าแก่จนมีสภาพเป็นเช่นไรแล้ว ถึงจะเก่งกว่านาง ตอนนี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมาย ไม่ได้อยู่ในใจฝ่าบาทมานานแล้ว
มีเพียงนาง ที่ยังคงเป็นคนที่โดดเด่นอยู่ในวังเช่นเดิม
“จื่ออิ๋งจากบ้านผู้ตรวจการปีนี้ก็ถึงวัยปักปิ่นด้วยใช่ไหม” ผู้ตรวจการย่อมจะหมายถึงผู้ตรวจการวั่นพี่ชายของอวี้กุ้ยเฟย ตระกูลวั่นเป็นเพียงตระกูลขุนนางขั้นสองขั้นสามเท่านั้น แต่เป็นเพราะอวี้กุ้ยเฟยถึงได้มีเกียรติเจริญรุ่งเรืองมาจนถึงทุกวันนี้ ผู้ตรวจการวั่นคนนั้นก็เป็นหนึ่งในขุนนางที่ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัย
หนีหมัวมัวยิ้มตอบ “คุณหนูจื่ออิ๋งยังเหลืออีกสองเดือนถึงจะถึงวัยปักปิ่นเจ้าค่ะ จะว่าไปแล้วนางก็อายุพอๆ กันกับคุณหนูใหญ่มั่วผู้นั้น” นางไม่ใช่คนที่อวี้กุ้ยเฟยพามาจากบ้านเดิม แต่นางก็ติดตามอวี้กุ้ยเฟยมานานกว่าสิบปี เป็นเพราะติดตามนางมาครึ่งทางหลัง ไม่ได้ดูแลนางมาตั้งแต่ตอนเล็กๆ เวลานางจะทำอะไรจึงต้องใส่ใจเป็นพิเศษ กระทำการต่างๆ อย่างเคร่งครัด เจ้านายคิดอะไร ไม่ต้องพูดอะไรมาก นางล้วนรู้ทั้งหมด
แน่นอนว่า อวี้กุ้ยเฟยก็รู้สึกสนิทใจกับนาง ไม่เคยด่าหรือตีนางมาก่อน ขนาดคำพูดแรงๆ ก็แทบจะไม่เคยพูดใส่นางเลย
ดูเหมือนว่าอวี้กุ้ยเฟยจะพอใจกับคำตอบของหนีหมัวมัวมาก มีคนเช่นนี้คอยรับใช้อยู่ข้างกาย ช่วยนางจัดการเรื่องต่างๆ มาก็ไม่น้อย “เอาเทียบเชิญขององค์หญิงหนิงเซียงมา เชิญให้นางไปงานชมดอกท้อนั่นเสียหน่อย ให้ทำความสนิทกับคุณหนูใหญ่มั่วคนนั้น”
งานชมดอกท้อมีเพียงสตรีที่อายุเต็มสิบสองปีแล้วที่สามารถเข้าร่วมได้ องค์หญิงหนิงเซียงของนางยังขาดอีกหนึ่งเดือนถึงจะครบสิบสองปี แม้ว่าไม่อาจเข้าร่วมงานชมดอกท้อนี้ แต่ถ้ามีเทียบเชิญก็ย่อมได้
แม้ว่าหนีหมัวมัวจะเดาความคิดของเจ้านายได้ แต่กลับรู้สึกไม่สบายใจ จึงได้กล่าวเตือน “ตอนนี้มั่วเชียนเสวี่ยเป็นตัวละครหลัก เป็นสิ่งที่ไม่ดี อาจจะนำปัญหามาสู่ตัวท่านได้ เหนียงเหนียงแน่ใจหรือเพคะว่าจะทำเช่นนี้”
ในเวลานี้นางข้าหลวงคนนั้นได้บำรุงมืออีกข้างเสร็จแล้วห่อมือเรียบร้อยแล้ว อวี้กุ้ยเฟยก็โบกมือ นางข้าหลวงคนนั้นก็ออกไป
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาก็ดูแปลกๆ ทว่าน้ำเสียงกลับยังคงอ่อนโยนดังเดิม “ข้าไม่ได้กังวลถึงเพียงนั้น ในสายตาของข้า มีเพียงคนที่มีประโยชน์กับคนที่ไร้ประโยชน์ ในมือของนางมีสิ่งที่คนอื่นๆ ละโมภอยากจะได้มา แน่นอนว่านางเป็นคนที่มีประโยชน์”
แสวงหาความมั่งคั่งในสถานที่ที่อันตราย ตอนนี้ด้านหนึ่งนางก็บำรุงร่างกายตนเองอย่างดี อีกด้านก็ต้องมีการวางแผน เพื่อให้มั่นใจว่าการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป นางจะได้พระโอรส นางใกล้จะสามสิบแล้ว แม้จะดูแลตัวเองดีอย่างไร ในอีกไม่กี่ปี คงไม่อาจจะเอาชนะเด็กสาวเหล่านั้นที่เพิ่งจะเข้าวังมาได้ นางจะต้องพยายาม ฉวยโอกาสในช่วงนี้ที่ฝ่าบาทยังคงโปรดปรานนางอยู่
“ฝ่าบาทเสด็จ…”
ได้ยินเสียงขันทีกล่าวเสียงดังอยู่ด้านนอก หนีหมัวมัวก็ช่วยอวี้กุ้ยเฟยดึงผ้าที่พันอยู่รอบมือออก รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของอวี้กุ้ยเฟย นางเดินออกจากห้องไปรับเสด็จ
รอยยิ้มนี้นางยิ้มให้กระจก นางฝึกยิ้มหน้ากระจกทุกวันเป็นร้อยรอบ ทุกการกระทำของนางล้วนวางแผนมาเป็นอย่างดี เอวบางบิดจนเห็นเป็นส่วนเว้าโค้งได้รูป ดวงตาสดใสดั่งบ่อน้ำพุใต้คิ้วเรียวบาง
รอยยิ้มนี้งามดั่งดอกบัวที่เบ่งบานไปทั่วทุกที่ เจิดจรัสงดงามและอ่อนโยนยิ่งนัก ตราตรึงใจคนได้จริงๆ …
……
พอมั่วเชียนเสวี่ยมาถึงหน้าห้องโถง ในห้องนั้นก็มีเหล่าผู้จัดการร้านค้าประมาณเจ็ดถึงแปดคนยืนรออยู่ที่นั่นอยู่แล้ว
กวาดสายตามองดู เก้าอี้ในห้องโถงล้วนเปลี่ยนใหม่แล้วทั้งหมด ดูแล้วพ่อบ้านจะเป็นคนที่ทำงานเร็ว สีหน้าที่ตึงเครียดของมั่วเชียนเสวี่ยดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย
พอเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเดินเข้ามา ผู้จัดการร้านค้าเหล่านั้นก็แยกมายืนด้านข้างทั้งสองฝั่ง
รอจนมั่วเชียนเสวี่ยนั่งลงตรงที่นั่งของนางแล้ว ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็นำทุกคนโค้งคำนับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “เฟิงต๋าพาผู้จัดการกิจการร้านค้าทุกคนมาคำนับคุณหนูใหญ่ขอรับ”
ดูท่า เฟิงต๋าชายวัยกลางคนที่พูดอยู่นี้น่าจะเป็นพ่อบ้านเฟิง ท่าทางดูเหมาะสม พูดจาฉะฉาน เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ผ่านโลกมาเยอะแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยผายมือเล็กน้อย “ลำบากทุกท่านแล้ว นั่งลงเถิด”
พ่อบ้านเฟิงเงยหน้าขึ้นมา พลางกล่าวอย่างมีมารยาท “มีคุณหนูใหญ่อยู่ จะมีที่ให้พวกบ่าวนั่งเสียที่ไหน” ท่าทางของเขาดูให้ความเคารพมาก ควบคุมน้ำเสียงได้พอดิบพอดี
มั่วเชียนเสวี่ยมองเห็นถึงเงื่อนงำ เวลาเร่งรีบเช่นนี้ยังสามารถจัดการบัญชีได้อย่างเรียบร้อย ทั้งยังดูนิ่งสงบ ดูไม่มีความผิดปกติแม้แต่น้อย งั้นก็ชัดเจนแล้วว่าเขามีฝีมือที่เยี่ยมยอด
มั่วเชียนเสวี่ยมีแผนการในใจอยู่แล้ว นางไม่ได้ชักสีหน้าแต่อย่างใด พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พ่อบ้านเฟิงจัดการงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว เมื่อวานพ่อบ้านมั่วเพิ่งจะบอกไป วันนี้พ่อบ้านเฟิงก็มาถึงที่นี่แล้ว”
พ่อบ้านเฟิงได้รับคำชมจากนางแต่ก็ไม่ได้รู้สึกพอใจแต่อย่างใดก้มหน้าก้มตาตอบ “คำสั่งของคุณหนูสำคัญนักบ่าวไม่กล้าฝ่าฝืน ต้องทำอย่างเต็มที่ที่สุดขอรับ”
เจ้าจิ้งจอกเฒ่านี่! มั่วเชียนเสวี่ยพูดอย่างมั่นใจ “อืม ซื่อสัตย์จริงๆ”
จะจัดการกับจิ้งจอกเฒ่าเช่นเขา จะต้องทำให้เขามั่นใจ ทำให้เขาปล่อยวางความระแวดระวัง ถึงจะหาเบาะแสเจอ แล้วจึงจัดการให้อยู่หมัดได้
“นี่เป็นหน้าที่ของเฟิงต๋าอยู่แล้วขอรับ” พูดพลาง พ่อบ้านเฟิงผู้นั้นก็หยิบสมุดบัญชีออกมาหนึ่งเล่ม ดูเหมือนจะเป็นบัญชีของกิจการร้านค้า “นี่คือบัญชีแสดงรายรับรายจ่ายของทุกๆ กิจการตลอดห้าปีมานี้ขอรับ”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่กองสมุดที่อยู่ตรงมุมห้องโถงพลางกล่าว “ตรงนั้นคือบัญชีแจกแจงรายละเอียด เฟิงต๋าได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่ต้องการดูบัญชีจึงได้ให้คนจัดเตรียมไว้ให้ทั้งคืน เชิญคุณหนูไปตรวจสอบได้ขอรับ”
มั่วเชียนเสวียเพียงเหลือบมองกองสมุดกองใหญ่ที่อยู่ตรงมุมห้องเท่านั้น นางขยิบตาให้มั่วเหนียงให้นางมาเอาบัญชีเล่มนั้นไป จากนั้นก็ส่งรอยยิ้มสดใสให้กับพ่อบ้านเฟิงคนนั้น “พ่อบ้านเฟิงช่างมีน้ำใจนัก สมุดบัญชีนี้ก็วางไว้ตรงนั้นก่อนเถิด เมื่อข้าว่างค่อยมาตรวจดูทีละเล่ม” พอพ่อบ้านเฟิงได้ยินที่มั่วเชียนเสวี่ยพูด ก็ดูลำบากใจ “เฟิงต๋ามีเรื่องอยากจะขอร้อง…”
มั่วเชียนเสวี่ยกล่าว “พ่อบ้านเฟิงจะเกรงใจอะไรเล่า เชียนเสวี่ยรู้เรื่องของกิจการเหล่านี้น้อยมาก พ่อบ้านมีเรื่องอันใดก็พูดออกมาเถิด”
พ่อบ้านเฟิงเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยยิ้มอยู่ตลอด เขาจึงไม่มีท่าทางต่อต้าน พลางกล่าวอย่างจริงจัง “คุณหนูโปรดให้อภัยบ่าวด้วย สมุดบัญชีมากมายเหล่านี้ เกี่ยวข้องกับกิจการทุกๆ ที่ ขอให้คุณหนูโปรดตรวจสอบให้เสร็จโดยไว เพื่อที่พวกเขาจะได้นำไปทำบัญชีต่อ”
เดิมจะวางแผนการอยู่ที่นี่ มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะเย้ยหยันอยู่ในใจ หางของจิ้งจอกเฒ่าโผล่ออกมาแล้วสินะ
หากจะบอกว่าก่อนหน้านี้นางเพียงแค่ส่งสัย ทว่าตอนนี้กลับแน่ใจแล้ว
พ่อบ้านเฟิงคนนี้ดูอึดอัดใจ ในโลกอันแปลกประหลาดนี้ยังไม่มีตัวเลขอารบิก ตัวเลขล้วนเขียนเป็นอักษรจีนโบราณ ยากที่จะอ่านให้ละเอียดได้ ยิ่งไปกว่านั้นบัญชีเหล่านี้ก็สะสมมานานห้าปีแล้ว
หากต้องอ่านบัญชีกองนี้จริงๆ ไม่ต้องไปพูดถึงการหาข้อผิดพลาด เพียงแค่คิดคำนวณตัวเลขให้ละเอียด บัญชีเก่าหนึ่งเล่มถึงใช้เวลาหลายเดือนก็อ่านไม่หมด ยิ่งไปกว่านั้น นางที่ยังไม่ทันถึงวัยปักปิ่น เป็นเด็กสาวที่ไร้ประสบการณ์ไม่เคยทำอะไรเลยด้วยแล้ว
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้พ่อบ้านเฟิงผู้นี้ก็ถึงวาระที่ต้องตกต่ำแล้ว
นางคือใคร! นางคือมั่วเชียนเสวี่ย ตอนที่เปิดบริษัท เพื่อที่จะทำบัญชีให้ดีแล้ว ตอนนั้นนางยังเข้าเรียนวิชาสอนบัญชีในภาคค่ำด้วย เรียนบัญชีมาปีกว่า แรกเริ่มนางทำบัญชีเอง จากนั้นก็รับนักบัญชีเข้ามา