บทที่ 227 คุณโทรเรียกใครมากันแน่

หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า

บทที่ 227 คุณโทรเรียกใครมากันแน่?

บทที่ 227 คุณโทรเรียกใครมากันแน่?

หยางไค่ยืนอยู่ข้างพ่อของเขาพลางจ้องมองโจวอี้ด้วยสายตาอาฆาต เขาอยากจะฉีกโจวอี้ออกเป็นชิ้น ๆ และโยนเศษซากให้หมากินเพื่อล้างความอัปยศอดสูของเขา

เขาคือหยางเฉียนสุ่ยแห่งซือซี!

เขาคือคนที่ข่มเหงรังแกผู้อื่นในซือซีมาตลอด ไม่ใช่กลายเป็นคนที่ถูกรังและทำให้ต้องอับอายแบบนี้!

เขาต้องเป็นคนสั่งให้ไอ้สารเลวแซ่โจวตายเท่านั้น มันถึงจะสามารถตายได้ ไม่อย่างนั้นนับจากวันนี้ไป เขาคงกลายเป็นตัวตลกในสายตาของคนอื่น!

“พ่อ! ไอ้สารเลวนี่แค่วางท่าใหญ่โตเท่านั้นแหละ จะไปคุยกับมันเพื่ออะไร? ฆ่ามันเลย แล้วโยนร่างมันลงทะเลให้ฉลามกิน!” หยางไค่ตะโกนด้วยความโกรธ

“หุบปาก!” หยางเทียนเจิ้นตวาด ดวงตาของเขาฉายแววผิดหวัง

เขารู้อยู่แก่ใจว่าลูกชายของเขาเป็นคนอย่างไร ลูกชายคนนี้ชอบทำตัวหยิ่งยโสและรังแกคนไปทั่ว การทำตัวยิ่งใหญ่คับเมืองไม่เป็นอะไรหรอก แต่ทำไมถึงได้โง่แบบนี้?

ฆ่าแล้วโยนลงทะเลเนี่ยนะ พูดในที่สาธารณะได้ยังไง?

หยางเทียนเจิ้นมองไปที่โจวอี้อีกครั้งด้วยแววตาเย็นชา “ฉันจะให้โอกาสแกเป็นครั้งสุดท้ายที่จะเล่าว่าแกเป็นใครมาจากไหน ถ้าแกทำให้ฉันกลัวได้ วันนี้แกก็เดินออกจากประตูร้านนี้ไปเลย แต่ถ้าแกแค่ขี้โม้ มันจะไม่ใช่แค่แกคนเดียว แต่ทุกคนในที่นี้ที่มีส่วนในการรังแกลูกชายของฉัน ทั้งหมดจะต้องชดใช้อย่างสาสม!”

“อยากจะฆ่าผม?” โจวอี้ถามอย่างใจเย็น

หยางเทียนเจิ้นไม่ได้พูด แต่แววตาของเขาบ่งบอกว่าฆ่าแน่นอน!

โจวอี้ยกนิ้วโป้งให้ “เข้าใจแล้ว ๆ ช่างเป็นคู่พ่อลูกที่เชื้อไม่ทิ้งแถวกันจริง ๆ อูยยย…ผมกลัวไปหมดแล้วเนี่ย เอาเป็นว่าให้เวลาผมสักหน่อย ขอหนึ่งชั่วโมงพอ แล้วหลังจากนั้นถ้ายังมีความกล้าที่จะฆ่าผมอีก ผมจะยืนอยู่เฉย ๆ เลยเอ้า! ให้เอามีดฟันคอเลยก็แล้วกัน”

“ได้! แต่ฉันขอเบิกล่วงหน้าก่อน!” เมื่อหยางเทียนเจิ้นเห็นว่าโจวอี้ไม่คิดที่จะยอมแพ้ เขาก็หมดความอดทน เขาโบกมือและตะโกนขึ้นว่า “หักแขนขามันมาให้ฉัน!”

ชายร่างกำยำสองคนก้าวขึ้นไปข้างหน้าทันที

การก้าวย่างของพวกเขามั่นคงมาก และเมื่อพวกเขาตบโจวอี้ด้วยฝ่ามือ แรงของการตบนั้นรุนแรงมากจนเกิดเสียงลมคำรามดังออกมา

โจวอี้ยังคงนั่งอยู่กับที่ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ในมือของเขาถือตะเกียบเอาไว้หนึ่งคู่!

ฉึก!

ตะเกียบแท่งหนึ่งแทงเข้าที่ฝ่ามือตรงหน้า

ตะเกียบอีกแท่งแทงเข้าที่เอวของอีกคนหนึ่ง

เลือดไหลทะลักออกมาตามแท่งตะเกียบที่พุ่งเสียบผิวหนัง

โจวอี้ยกขาขึ้นถีบชายร่างกำยำทั้งสองที่ท้อง ส่งให้ร่างของอีกฝ่ายกระเด็นออกไป

หนังตาของหยางเทียนเจิ้นกระตุกถึงสองครั้ง และท่าทีของเขาก็เปลี่ยนเป็นระมัดระวัง

ที่ด้านข้าง ชายร่างกำยำทรงผมเกรียนหรี่ตาและกระซิบที่ข้างหูหยางเทียนเจิ้น “เจ้านาย อีกฝ่ายคงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ความเร็วของเขาเกินขีดจำกัดของคนธรรมดา”

“พอจะรู้ระดับยุทธ์ไหม?” หยางเทียนเจิ้นถามเสียงต่ำ

“ผมบอกไม่ได้เลย แต่ถ้าเขาสามารถทำร้ายนายน้อยได้ อย่างต่ำที่สุดเขาน่าจะอยู่ในระดับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นปลาย หรืออาจจะอยู่ในระดับผู้บ่มเพาะ”

หยางเทียนเจิ้นขมวดคิ้ว

เขาไม่กลัวศัตรูระดับผู้ฝึกหัดยุทธ์ เพราะลูกน้องของเขาหลายคนก็อยู่ในระดับนี้เช่นกัน และลูกน้องคนที่เพิ่งพูดกับเขานั้นแข็งแกร่งกว่าระดับนี้เสียอีก

แต่ถ้าอีกฝ่ายอยู่ในระดับผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่ง เรื่องราววันนี้อาจจะไม่ง่ายเสียแล้ว

ไม่ว่าใคร หากสำเร็จระดับผู้บ่มเพาะตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นไปได้ว่าอาจมีผู้อาวุโสที่ทรงพลังกว่านั้นอยู่เบื้องหลัง

หยางเทียนเจิ้นสูดลมหายใจเข้าลึก และแทนที่จะสั่งให้ลูกน้องของเขาโจมตีต่อ เขากลับมองไปที่โจวอี้อย่างระมัดระวังก่อนจะเยาะเย้ยว่า “ไม่แปลกใจที่แกจะกล้าหยิ่งผยอง ที่แท้ก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์นี่เอง ฮึ่ม! แกกระตุ้นความสนใจของฉันแล้วล่ะ! ได้! ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะรอดูว่าคนที่หนุนหลังแกใหญ่มากพอจะทำให้ฉันไม่กล้าฆ่าแกไหม”

“พ่อ!…” หยางไค่ตะโกน

เพียะ!

หยางเทียนเจิ้นตบหน้าหยางไค่ด้วยหลังมือ แต่หลังจากตบไปแล้ว จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเสียใจที่เขาตบแก้มลูกชายผิดข้าง เขาควรตบอีกฝั่งที่มันยังไม่แดงและปูดบวม!

หยางไค่ก้าวถอยหลัง ดวงตาของเขาฉายแววเหลือเชื่อ

จากนั้นความโกรธและความอัปยศอดสูที่เขาได้เผชิญมากขึ้นมันยิ่งทำให้เขาแทบบ้า เขากำกำปั้นและคำรามว่า “ทำไมพ่อถึงตีผม!? ลูกชายของพ่อเพิ่งโดนไอ้เวรที่ไหนไม่รู้ทุบตี แทนที่พ่อจะฆ่ามัน แต่กลับมาตีผมแทนเนี่ยนะ!?”

“หุบปาก!” หยางเทียนเจิ้นตะโกนด้วยความโกรธ เขาโบกมือให้ลูกน้องของตัวเองแล้วพูดว่า “พาเขาไปพักผ่อน ถ้าเขากล้าตะโกนอีกก็หาอะไรมาอุดปากเขาไว้”

“ครับ!” ชายร่างกำยำทั้งสองคว้าแขนของหยางไค่ทันทีและพาเขาออกไปอย่างรวดเร็ว

หยางเทียนเจิ้นบอกให้ลูกน้องของเขาตรวจสอบตัวตนของโจวอี้ จากนั้นเขาก็นั่งลงที่โต๊ะซึ่งอยู่ไม่ห่างกันนัก

อาหารโชยกลิ่นหอมลอยมา

โจวอี้และถังหว่านยังคงกินอยู่ แต่ถังจี้โจว เกาชง จินหมิง หลี่เป่าเอ๋อ และคนอื่น ๆ ไม่มีอารมณ์จะกินแม้แต่ครึ่งคำ

แม้ว่าความแข็งแกร่งของโจวอี้จะน่าประทับใจ แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยมากนัก

เพราะท้ายที่สุดแล้วนี่คือถิ่นของผู้อื่น และหยางเทียนเจิ้นก็เป็นผู้มีอิทธิพลที่มีชื่อเสียงในเมืองซือซี เขายิ่งใหญ่ มีธุรกิจขนาดใหญ่ และรู้จักคนใหญ่คนโตมากมาย

อวี้หรงเสิ้งไม่มีคุณสมบัติพอที่จะนั่งร่วมโต๊ะด้วย ในฐานะตัวการของค่ำคืนนี้ เขายืนนิ่งเงียบ มองดูนักแสดงที่รับประทานอาหารร่วมกันในตอนแรกก่อนที่กลุ่มของโจวอี้จะมา

สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้เกินความคาดหมายของเขา

เวลานี้เขาอยากจะมอบเงินสองล้านหยวนให้อีกฝ่ายเพื่อจบเรื่องนี้เหลือเกิน แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว และเงินสองล้านหยวนนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป

เรื่องบานปลายเกินกว่าที่เขาจะทำอะไรได้อีกแล้ว

สายตาของเขาจับจ้องไปที่โจวอี้ เขาต้องการที่จะมองทะลุความคิดของโจวอี้ แต่ไม่ว่าจะจ้องแค่ไหน สุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยอะไร เขาไม่สามารถมองออกได้เลย เขาไม่เข้าใจว่าความมั่นใจของโจวอี้มีมากมายขนาดนี้ได้ยังไง

เวลาผ่านไปทีละน้อย

ครืน…

เสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์ดังมาจากข้างนอก

ทุกคนในห้องโถงมองออกไปนอกประตู และแม้แต่คนของหยางเทียนเจิ้นก็ออกไปข้างนอกเพื่อดูสถานการณ์

“เจ้านาย มีเฮลิคอปเตอร์สองลำอยู่ข้างนอก ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการลงจอดใกล้ ๆ นี้” ชายร่างกำยำกลับมารายงานหยางเทียนเจิ้น

เฮลิคอปเตอร์?

สองลำ?

หยางเทียนเจิ้นขมวดคิ้ว เขาลุกขึ้นเดินออกจากร้านอาหารพร้อมกับลูกน้องอีกโหล

“ผมจะไปดูด้วย” จู่ ๆ จินหมิงก็ลุกขึ้น

“ไปด้วยกัน” ถังจี้โจวไม่สามารถนั่งนิ่ง ๆ ได้ จึงเดินออกไปพร้อมกับจินหมิงอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้เหลือเพียงโจวอี้ ถังหว่าน และหลี่เป่าเอ๋อเท่านั้นที่อยู่ที่โต๊ะ

ถังหว่านซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ โจวอี้อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือนเขาว่า “ถึงคุณจะต่อยตีเก่งแค่ไหน แต่จากนี้ไป คุณก็อย่าได้ประมาท คุณอาจรับมือไม่ไหวถ้าถูกรุมหลายคน”

“อย่ากังวลไป! ถัดจากนี้ผมคงไม่น่าจะได้ลงมืออะไรอีก” โจวอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

“คุณโทรเรียกใครมากันแน่?” ถังหว่านเริ่มสงสัย

หลี่เป่าเอ๋อเองก็เงี่ยหูฟังด้วยความอยากรู้

โจวอี้ยิ้มและตอบว่า “ผมโทรไปหาคนหนุนหลังของฝ่ายนั้น”

“คุณรู้จักคนหนุนหลังของอีกฝ่ายด้วยเหรอ?” ถังหว่านถึงกับประหลาดใจ

“เคยเจอกันครั้งหนึ่งน่ะ”

ถังหว่านพยักหน้า เธอรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย

เธอรู้ว่าโจวอี้เป็นหมอที่โด่งดัง เธอคิดว่าโจวอี้คงได้รู้จักคนที่เขาเพิ่งโทรหาจากการไปรักษาโรคให้ ดังนั้นเรื่องคืนนี้น่าจะคลี่คลายได้ไม่ยาก

“แต่หมอโจว ดูเหมือนว่าคุณจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนักนะตอนที่โทรหาอีกฝ่าย” หลี่เป่าเอ๋อถามด้วยแววตาสงสัย

โจวอี้ได้แต่ยิ้มอย่างมีเลศนัย

ถังหว่านจึงเริ่มกังวลขึ้นมาอีกครั้ง

โจวอี้โทรไปขอให้อีกฝ่ายมาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยไม่ใช่เหรอ?