บทที่ 201 มหาสมุทรคือ… 1 (2)

เขาได้ยินเสียงอ่อนโยนดังขึ้นอีกครั้ง

“ยกศีรษะท่านขึ้นเถิด”

โคลเปย์ยกศีรษะที่สั่นน้อยๆขึ้นทันที แน่นอนว่าเขากําลังถูกคาร์ลใช้รังสีเหนืออํานาจโจมตีอยู่

ทันทีที่เขายกศีรษะขึ้นก็เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่คาร์ลส่งมาให้

“ไม่เจอกันนานเลยนะ”

“เขากําลังหมายถึงที่พบกันบนกําแพงเมืองเมื่อไม่นานนี้ใช่มั้ย?”

โคลเปย์พยักหน้ารับโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นเขาก็หยุดชะงักทันที ร่างกายทั้งหมดของเขาแข็งทื่อราวกับเวลาได้หยุดลง

ผมสีแดงของชายตรงหน้าค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีขาว จากนั้นดวงตาสีน้ำตาลแดงของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีน้ําเงิน

“อ่า..อึก”

โคลเปย์อ้าและหุบปากของตนอยู่หลายครั้งเพราะไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้

มันเป็นใบหน้าที่เขาคุ้นเคย

มันเป็นใบหน้าที่เด่นชัดในความทรงจําของเขา

ใบหน้าที่อยู่ในความทรงจําและใบหน้าของคาร์ลในตอนนี้กําลังซ้อนทับกันอย่างสมบูรณ์นักบวช

นักบวชที่เขามีโอกาสได้พบเมื่อเดือนมกราคม

รอยยิ้มบนใบหน้าของนักบวชค่อยๆเลือนหายไป โคลเปย์รู้สึกว่าลมหายใจของตัวเองเริ่มติดขัดเพราะแรงกดดันที่กระแทกใส่ร่างเขาอีกครั้ง นักบวชผมขาวเอ่ยถามเขาเสียงเรียบ

“สนุกหรือไม่ที่ได้วิ่งเล่นไปมาบนฝ่ามือของข้า?”

“เจ้าสนุกหรือไม่ที่คิดว่าตัวเองจะได้กลายเป็นตํานาน?”

นั่นคือสิ่งที่ก้องอยู่ในหัวของโคลเปย์ เขาเริ่มคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนที่ผ่านมา เขาได้พบกับนักบวชผมขาวคนหนึ่งที่มีญาณหยั่งรู้และน่าเลื่อมใสยิ่งนัก หลังจากนั้นก็เกิดเสาเพลิงขึ้นกลางทะเลสาบน้ําตาพระเจ้าและเขาคิดว่าตัวเองจะได้กลายเป็นตัวละครหลักในตํานานบทใหม่ตามคําพูดที่นักบวชทิ้งเอาไว้

แต่สิ่งเหล่านี้คือเรื่องโกหกงั้นหรือ?

ใจของผู้ที่อยากกลายเป็นตํานานค่อยๆสลายลง

“ตอนนี้ข้าจะให้คําทํานายใหม่แก่เจ้า”

คาร์ลมีข้อมูลอีกหลายอย่างที่อยากรู้จากโคลเปย์ คาร์ลจึงเลือกที่จะซื่อตรงต่อโคลเปย์

“ข้าจะบอกว่า…มันจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าบ้าง”

ปากของโคลเปย์สั่นระริกเมื่อเงยหน้าขึ้นมองคาร์ล เขาไม่สามารถหยุดอาการสั่นของตนได้ เขาเชื่ออย่างสนิทใจว่านักบวชในตอนนั้นคือผู้ที่นําสารจากพระเจ้ามาแจ้งต่อเขา แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับไม่ใช่อย่างที่เขาคิดเพราะคาร์ลได้กลายมาเป็นพระเจ้าผู้ที่จะพิพากษาชีวิตของเขาเสียเอง

“ข้าจะบอกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าและเจ้าจงรู้เอาไว้ว่าทุกอย่างอยู่ในกํามือของข้าแล้ว”

โคลเปย์รู้สึกหนาวไปถึงกระดูก

คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือคนที่กุมชีวิตเขาไว้ในมือ

“จงบอกทุกอย่างที่เจ้ารู้”

นั่นคือสิ่งที่คาร์ลพูดกับร่างที่สั่นเทาของโคลเปย์ แน่นอนว่ามันมีบางสิ่งที่แฝงไว้ในคําพูดของคาร์ล

โคลเปย์มีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น

หนึ่งคือการตายอย่างสงบ

สองคือตายหลังจากถูกทรมานอย่างหนัก

ความตายเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาสามารถเลือกได้ การมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้อยู่ในตัวเลือกที่คาร์ลจะหยิบยื่นให้เขา

คาร์ลทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงหน้าโคลเปย์ก่อนจะก้มศีรษะลงมองร่างอันสั่นเทาของโคลเปย์ แน่นอนว่าโคลเปย์พยายามหลบสายตาของคาร์ลแต่เขาก็ไม่สามารถลดศีรษะของตนให้ต่ำกว่านี้ได้ สิ่งที่โคลเปย์สามารทําได้มีเพียงจ้องเข้าไปในดวงตาของคาร์ลพร้อมกับริมฝีปากที่สั่นระริกเท่านั้น

ก่อนที่เชวฮันจะไปรักษาอาการบาดเจ็บ เขาได้บอกบางอย่างแก่คาร์ลเอาไว้

“ตระกูลเซคก้าคือตระกูลงูขาวขอรับ”

คาร์ลเอ่ยขึ้น

“งูขาว”

โคลเปย์คืองูขาว

งูขาวที่ร่างทั้งร่างปกคลุมไปด้วยเลือดตกตะลึงกับสิ่งที่คาร์ลเอ่ยขึ้น

“ตํานานที่เจ้าพยายามจะสร้างขึ้นอีกครั้งคืออะไรงั้นหรือ?”

โคลเปย์ตระหนักได้บางอย่าง ไม่มีสิ่งใดที่นายน้อยผู้นี้ไม่รู้ เขารู้ทุกอย่างแม้แต่ตํานานที่เคยถูกดัดแปลงขึ้นมา

ความกลัวเข้าครอบงําไปทั่วร่างกายของเขา

จากนั้นเขาก็เริ่มพรั่งพรูทุกอย่างออกมา

ชายที่ปิดปากเงียบมาตลอดแม้ว่าจะโดนบารอคและรอนทรมานมากเพียงใดในที่สุดก็เริ่มเอ่ย ปาก

ในขณะที่คาร์ลก็รับฟังอย่างสงบ

[“เจ้ายิ้มอย่างนั้นรึ?”]

คาร์ลแตะที่มุมปากของตนหลังจากได้ยินความเห็นของอัลเบิร์กผ่านอุปกรณ์เวทย์สื่อสารทันทีที่เชื่อมสัญญาณเสร็จสิ้น เขาสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มบนใบหน้าของตน

“อืม..มันก็ไม่แปลกหรอกที่จะยิ้มออกเมื่อได้ข้อมูลมามากขนาดนี้”

คาร์ลได้ข้อมูลจํานวนมากจากโคลเปย์ บางส่วนของข้อมูลได้พูดถึงสาเหตุที่อัศวินหมวกเหล็ก ไม่เคยเปิดเผยตัวตนในทวีปตะวันตกมาก่อนจนกระทั่งถึงตอนนี้รวมถึงเหตุผลที่อาร์มเดินทางมายังทวีปตะวันตกอีกด้วย

คาร์ลยังตระหนักถึงปัญหาที่เกิดจากฝีมือของเขา

มีข้อสรุปเดียวเท่านั้น

“ฉันเป็นคนเปลี่ยนเรื่องราวทั้งหมด”

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะสงครามเกิดขึ้นเร็วกว่ากําหนดและอาร์มก็ถูกเปิดเผยตัวตนเร็วเกินไป อย่างไรก็ตามในสถานการณ์เช่นนี้มันไม่ใช่เวลาที่เขาจะมานั่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน

ยังมีอีกอย่าง

‘อย่างน้อยฉันก็โชคดีอยู่ล่ะนะ’

คาร์ลนึกถึงมงกุฏในกระเป๋าเวทย์ของเขาขณะที่เอนหลังพิงพนักโซฟา เขาตอบกลับคําถามของอัลเบิร์กอย่างไม่เป็นทางการ

“อาจเป็นเพราะกระหม่อมจะได้ผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าสักที่พะย่ะค่ะ”

เขาคิดว่าอัลเบิร์กจะยิ้มเยาะเขากลับคืนมาแต่อัลเบิร์กเพียงเลิกคิ้วสูงและนิ่งเงียบไปเฉยๆ นั่นทําให้คาร์ลรู้สึกว่าสถานการณ์มันดูแปลกๆจึงตัดสินใจพูดต่อทันที

“กระหม่อมจะเดินทางไปอาณาเขตอัลบาภายในคืนนี้พะย่ะค่ะ”

[“…ในสภาพแบบนี้นี่นะ?”]

“หืม?..ฉันมีอะไรผิดปกตินั้นหรือ?”

ท้องเขาอิ่มและรู้สึกดีขึ้นหลังจากทานพายแอปเปิ้ลไปอีกสองชิ้น ความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายของพละกําลังแห่งดวงใจดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้น ร่างของเขาอาจเต็มไปด้วยคราบเลือดแต่ผิวของเขากลับเรียบเนียนและชุ่มชื้นขึ้น เขารู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าแม้ว่าจะนอนไม่ค่อยหลับมาตลอดสามวัน

เขาเอ่ยตอบองค์ชายรัชทายาท

“พะย่ะค่ะ..กระหม่อมจะไปด้วยสภาพเช่นนี้”

[“เฮ้ออออ”]

เขาได้ยินเสียงถอนหายใจของอัลเบิร์กดังขึ้น มันทําให้เขารู้สึกไม่ดีสักเท่าไหร่จึงพยายามที่จะเดินทางโดยเร็วที่สุด

เครื่องหมายที่ราอนทิ้งไว้ได้ส่งสัญญาณกลับมาที่พวกเขา มันสามารถระบุได้ว่าอัศวินหมวกเหล็กได้เดินทางกลับมาพร้อมกับกองทัพเรือของข้าศึก

ครั้งนี้พวกเขาจําเป็นต้องจัดการหมอนี่ให้ได้

นั่นคือเหตุผลที่เขาจะพารอนและบารอคไปกับเขาด้วย

เขาไม่มีแผนที่จะปล่อยให้อัศวินหมวกเหล็กตายอย่างสงบ นอกจากนี้เขายังส่งข้อความผ่านอุปกรณ์เวทย์สื่อสารไปยังอูฮาเป็นและมีโอกาสสูงที่อูฮาเป็นจะเรียกตัวเขากลับโดยด่วน มีอีกหลายอย่างที่เขาต้องทําดังนั้นเขาต้องรีบจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด

คาร์ลตัดสินใจเข้าเรื่องทันที

“องค์ชายพะยะค่ะ”

[“ว่าอย่างไร?”]

“เผ่าวาฬพะย่ะค่ะ”

อัลเบิร์กยังคงลังเลว่าจะให้เผ่าวาฬมีส่วนร่วมในการต่อสู้หรือจะซ่อนการดํารงอยู่ของพวกเขาเอาไว้

[“เผ่าวาฬ..ทําไมหรือ?”]

“ พาพวกเขาไปโจมตีอาณาจักรพารันกันเถอะพะย่ะค่ะ”

ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องก่อนจะถูกกลบด้วยเสียงหัวเราะของอัลเบิร์ก

[ “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าๆๆๆ”]

เขาไม่ได้หัวเราะมานานมากแล้ว อัลเบิร์กจ้องใบหน้าของคาร์ลผ่านหน้าจอ ความฉลาดของคาร์ลยังคงเด่นชัดอยู่เสมอ

“เจ้าขยะคนนี้ช่างน่าทึ่งจริงๆ”

องค์ชายรัชทายาทเริ่มยิ้ม

[“ดี! ข้าชอบความคิดนี้! ข้าพอใจยิ่งนัก!”]

จากนั้นเขาก็พูดสิ่งสุดท้ายก่อนจะวางสายลง

“ดูแลตัวเองให้ดีๆ

คลิ๊ก!

อัลเบิร์กตัดสัญญาณทันทีโดยไม่รอแม้แต่คําร่ำลาจากคาร์ล จากนั้นคาร์ลก็เอ่ยเรียกรอนขึ้นด้วยท่าทางที่บอกกลายๆว่านี่คือนิสัยปกติขององค์ชายรัชทายาท

“รอน”

“ขอรับ?”

เขาชี้ไปที่ประตูห้องก่อนจะออกคําสั่งแก่รอน

“ไปตามมุลเลอร์มาหาข้าที…ออนและฮงด้วย”

“นายน้อยจะให้เด็กๆจากเผ่าแมวไปฝึกฝีมือด้วยหรือขอรับ?”

“ใช่”

คาร์ลคิดว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ได้ยากหรือหนักหนาเกินไป เขาต้องการให้ออนและฮงไปฝึกฝีมือไม่ใช่ให้เด็กทั้งสองไปร่วมปะทะหรือต่อสู้กับใคร

ในไม่ช้ารอนก็พาทั้งสามมาหาคาร์ล

มุลเลอร์ตัวสั่นเล็กน้อยและพยายามรักษาระยะห่างจากแมวทั้งสอง ออนและฮงรีบวิ่งไปหาคาร์ลทันทีแต่ก็หยุดชะงักเสียก่อนเมื่อเห็นคราบเลือดบนตัวคาร์ล พวกมันจึงพา กันเดินวนรอบๆตัวคาร์ลแทน

คาร์ลเอ่ยถามพวกมันทั้งสอง

“พวกเจ้าพร้อมหรือไม่?”

“พร้อม!”

“เราทําได้อยู่แล้ว”

คาร์ลลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อได้ยินคําตอบจากเด็กทั้งสอง

เขามุ่งหน้าไปยังอาณาเขตอัลบาอย่างรวดเร็ว มหาสมุทรเป็นสถานที่ที่คาร์ลไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรือต้องคอยปกป้อง

ออนและฮงจะทําให้มหาสมุทรปกคลุมไปด้วยหมอกพิษ

คาร์ลตั้งชื่อปฏิบัติการนี้ว่า “ผี”

พวกเขาทั้งหมดจะตายโดยไม่รู้ตัว นั่นคือสิ่งที่เหมาะสมที่สุดกับมหาสมุทรอันเงียบสงัด