บทที่ 202 มหาสมุทรคือ… 2 (1)

อาณาเขตอัลบาตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรโรมัน ผู้ปกครองอาณาเขตอัลบา ‘โพรลิน่า อัลบา’ กวาดสายตาไปมองรอบๆในขณะที่ยืนรับลมเย็นจากทะเล ‘อามูร์ อัลบา’ ผู้สืบทอดตําแหน่งผู้ปกครองอาณาเขตคนต่อไปเฝ้ามองมารดาของตนอย่างระมัดระวัง

ซ่า!ซ่า!ครืน!ซ่า!ซ่า!ครืน!

นี่เป็นจุดที่พวกเขาสามารถได้ยินเสียงคลื่นกระทบกับฐานทัพเรือได้ชัดเจนที่สุด ฐานทัพเรือแห่งนี้มักจะมืดและเงียบสงบ แม้ว่าวันนี้มันจะยังคงมีดเช่นเดิมแต่ไม่ได้เงียบสงบอีกต่อไป

ครีดดดดดดดดดดดดดด!!!

อุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารเริ่มส่องสว่างและกระพริบถี่ๆอีกครั้ง

โพรลิน่ายื่นมือออกมาทักทายกับผู้ที่เดินทางมาถึง

“ยินดีต้อนรับท่านไวส์เคานต์”

“อะแฮ่ม…ดีใจที่ได้เจอท่านเช่นกัน”

คนที่ค่อยๆยื่นมือมาจับกับโพรลิน่าคือไวส์เคานต์ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของมาร์ควิสไอแลนผู้นําขุนนางของภาคตะวันออกเฉียงใต้ เขาพยายามทําตัวให้กลมกลืนกับขุนนางคนอื่นๆในขณะที่สวมชุดเกราะพร้อมออกรบ เขาขยับตัวออกจากฝั่งของโพรลิน่าและย้ายไปยังจุดที่ขุนนางคนอื่นๆยืนอยู่ ทุกคนต่างสีหน้าเคร่งเครียดซึ่งตัวไวส์เคานต์เองก็ไม่ได้เอ่ยทักทายขุนนางคนอื่นๆที่เข้าร่วมกับขุนนางทางภาคตะวันออกเฉียงใต้เช่นกัน เขากวาดสายตาไปมองรอบๆฐานทัพเรือจากนั้นก็ยกมือขี้นมากุมหน้าอกข้างซ้ายที่หัวใจเริ่มเต้นรัวขึ้น

เสียงของคนผู้หนึ่งยังสะท้อนอยู่ในใจของเขา

‘โล่จะไม่พัง’

เขายังจําได้ว่ามันเป็นการต่อสู้ที่รุนแรงเพียงใด ไวส์เคานต์ที่จับตาดูการต่อสู้ผ่านอุปกรณ์เวทย์สื่อสารในสํานักงานของตนไม่สามารถอยู่เฉยได้นอกจากมุ่งหน้ามาที่นี่ทันทีเมื่อทราบข่าวว่าคนผู้นั้นจะเดินทางมานําทัพที่นี่ด้วย

‘คาร์ล เฮนิตัส’ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

เขาจะเดินทางมาที่นี่ในคืนนี้

ไวส์เคานต์นึกถึงประโยคที่คาร์ลพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนที่สงครามจะเริ่มต้นขึ้น มันเป็นการพูดทิ้งท้ายเมื่อครั้งนัดประชุมขุนนางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

‘ถ้าการยึดติดกับคนที่แข็งแกร่งกว่าคือหนทางรอดของขุนนางแล้วล่ะก็? พวกท่านก็ลองตัดสินใจดูว่าควรเอาตัวเองไปสยบอยู่กับใครกันแน่?!’

หากเขาต้องการที่จะมีชีวิตรอดเขาก็ควรเลือกติดตามคาร์ล นี่เป็นโอกาสเดียวสําหรับเขาเท่านั้น!

ดวงตาของเขาและขุนนางคนอื่นๆต่างหันไปมองรอบๆอย่างต่อเนื่อง พวกเขาไม่สามารถซ่อนความตกใจไว้ได้ พวกเขาแทบมองไม่เห็นสิ่งใดเพราะความมืด อย่างไรก็ตามเรือขนาดใหญ่จํานวนหลายลําและจํานวนทหารที่ยืนอยู่ตามจุดต่างๆพร้อมกับท่าทางจึงยังทําให้ขุนนางทั้งหมดรู้ได้ทันทีว่าทหารเหล่านี้ผ่านการฝึกฝนมานานเพียงใดสําหรับการต่อสู้ครั้งนี้

‘เราถูกทิ้งจริงๆสินะ…’

ขุนนางที่เข้าร่วมกับขุนนางภาคอื่นๆต่างตระหนักได้ว่าตัวเองถูกทิ้งไว้ข้างหลังและจุด แข็งของพวกเขากลับอ่อนแอยิ่งนักเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่พวกเขาเห็นในวันนี้ พวกเขาตระหนักได้ว่าตัวพวกเขาเองไม่เคยอยู่ในสายตาของคนผู้นั้นเลยสักนิด จึงเป็นสาเหตุที่พวกเขาต้องเดินทางมาที่นี่เพื่อรอคอยความแข็งแกร่งที่กําลังจะเดินทางมาถึง

อุปกรณ์เวทย์สื่อสารในมือของอามูร์กระพริบขึ้นอีกครั้ง เธอหันไปหามารดาของตนและเอ่ยขึ้น

“เขากําลังมาเจ้าค่ะ”

เหล่าขุนนางอดรู้สึกประหม่าไม่ได้เมื่อได้ยินคําพูดของเธอ

‘ใช่นายน้อยคาร์ลหรือเปล่านะ?’

วงเวทย์ของอุปกรณ์เวทย์สื่อสารเริ่มเปิดใช้งาน

ครีดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!ครืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!

ดูเหมือนจะเป็นการเปิดใช้งานที่กินเวลานานกว่าครั้งก่อนๆ ย่อมหมายความว่าเครื่องกําลังทําการขนส่งผู้คนจํานวนมาก

ขุนนางที่ยืนรออยู่รอบๆไม่สามารถเก็บอาการได้นอกจากตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ผ่างงงงงงงงงงงง!!!

วงเวทย์ของอุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารกระพริบถี่ขึ้นก่อนที่ร่างของสมาชิกที่เพิ่งเดินทางมาถึงจะปรากฏตัวขึ้นมา โพรลิน่าเอ่ยทักทันทีเมื่อกระบวนการขนส่งเสร็จสิ้นแล้ว

“ ยินดีต้อนรับท่านหัวหน้าอัศวิน…ยินดีต้องรับท่านหัวหน้านักเวทย์”

กองพันอัศวินทะลวงฟันแห่งอาณาจักรโรมันสามารถยืนยันตัวตนได้จากตราประจําราชวงศ์ที่อยู่บนชุดเกราะของพวกเขา

จากนั้นก็มีคนอีกกลุ่มที่เพิ่งถูกเปิดเผยสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก

พวกขุนนางได้ยินท่านอัลบาเอ่ยเรียกคนผู้หนึ่งว่า…หัวหน้านักเวทย์

พวกเขามองเห็นคนหลายสิบคนสวมชุดคลุมสีดําพร้อมทั้งตู้ดที่ปกปิดใบหน้าของพวกเขาเอาไว้

กองกําลังนักเวทย์กลุ่ม 1 ประกอบด้วยนักเวทย์ระดับสูงและมีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดซึ่งอ งค์ชายรัชทายาทเป็นผู้คัดเลือกด้วยตัวเอง

กองกําลังนักเวทย์ปรากฏโฉมขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่มีการก่อตั้งอย่างเป็นทางการ

หัวหน้านักเวทย์ยื่นมือไปจับกับโพรลิน่าเพื่อเอ่ยทักทาย

“ยินดีที่ได้พบท่าน”

ใบหน้าที่อยู่ภายใต้สู้ดสีดําคือใบหน้าของ ‘ทาช่า’ ดาร์กเอลฟ์ผู้เป็นป้าขององค์ชายรัชทายาทกําลังอยู่ในร่างมนุษย์ เธอคือผู้ใช้พลังจากธาตุและไม่ใช่นักเวทย์แต่อย่างใด แม้จะเป็นเช่นนั้นเธอ ก็ยังสามารถเป็นผู้นําของเหล่านักเวทย์ได้อยู่ดีแน่นอนว่าหัวหน้านักเวทย์ตัวจริงคือโรสลิน

ทาช่ารับตําแหน่งเป็นหัวหน้านักเวทย์แทนโรสลินชั่วคราวเพราะตอนนี้โรสลินกําลังปฏิบัติภารกิจอยู่ที่อาณาจักรเบรค

“เขาจะเดินทางมาถึงเร็วๆนี้ใช่หรือไม่?”

โพรลิน่าพยักหน้ารับกับคําถามของทาช่า

จากนั้นทาช่าก็นํานักเวทย์คนอื่นๆไปหยุดยืนอยู่ข้างๆฐานประจําการอย่างเงียบๆ หัวหน้าอัศวินก็นําสมาชิกของตนมาหยุดยืนอยู่ข้างๆกลุ่มของพวกเธอเช่นกัน

กองพันอัศวินทะลวงฟันไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย ทาช่าเข้าใจว่าทําไมพวกเขาถึงมีท่าทางเช่นนี้ ในขณะที่พวกเขากําลังเดินทางมาที่นี่กองกําลังนักเวทย์ได้เปิดอุปกรณ์เวทย์สื่อสารแบบภาพเคลื่อนไหวเพื่อติดตามการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในอาณาเขตเฮนิตัสอย่างใกล้ชิด

พวกเขาได้เห็นการต่อสู้อันน่าตื่นเต้น

มันเป็นการต่อสู้ของสิ่งมีชีวิตที่แม้แต่ทาช่าก็ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นการต่อสู้ระหว่างนักล่ามังกรและกลุ่มของคาร์ลทําให้สตอของเธอแทบไม่อยู่กับตัว ทาช่าเป็นห่วงแมรี่และสมาชิกคนอื่นๆในกลุ่มของคาร์ล เธอแทบเป็นบ้าไปแล้วด้วยซ้ํา

“แต่ดูเหมือนอัศวินจะนิ่งไปด้วยเหตุผลอื่น”

ทาช่าหันไปมองหัวหน้าอัศวิน ลักษณะของเขาดูเหมือนจะดื้อดึงแต่ก็เต็มไปด้วยความรับผิดชอบต่อหน้าที่ อายุของเขาน่าจะราวๆ 40 ปีและตอนนี้สายตาของเขากําลังจ้องไปยังอุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารอย่างไม่คลาดสายตา

อัศวินคนอื่นๆก็ทําสิ่งเดียวกัน

พวกเขาได้เห็นปรมาจารย์ดาบ! มันเป็นเวลานานมากแล้วที่อาณาจักรโรมันไม่มีปรมาจารย์ดาบแต่ในวันนี้ปรมาจารย์ดาบคนใหม่ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น เขายังมีโครงกระดูกเป็นพาหนะในการต่อสู้ครั้งนี้อีกด้วยทาช่าเข้าใจดีว่าตอนนี้พวกเขารู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นการต่อสู้ที่เกิดขึ้นนั่นคือสาเหตุที่ เธอรออย่างเงียบๆเช่นกัน

ซ่า! ครืนนนนนนน!!! ครืดดดดดดดดดดด!!!!!

วงเวทย์ของอุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารเริ่มสั่นอีกครั้งมันดังแทรกเสียงคลื่นที่กระทบฝั่งขึ้นมา

ครีดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!

พวกเขากําลังรอคอยสิ่งนี้

ขุนนางที่พากันมองไปทางอัศวินและนักเวทย์ถอนสายตากลับไปยังอุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารทันที แสงสีขาวกระพริบขึ้นก่อนจะปรากฏร่างของสมาชิกผู้มาใหม่ทีละคนๆ

“อ่า…”

มีบางคนถึงกลับอ้าปากค้าง

คนแรกที่พวกเขามองเห็นคือชายที่พันผ้าพันแผลไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง กลุ่มคนที่รอก่อนหน้าพึมพําขึ้นมาเบาๆ เมื่อเห็นใบหน้าของชายผู้นี้ถนัด

“…ปรมาจารย์ดาบ”

พวกเขาไม่รู้ว่าปรมาจารย์ดาบผู้นี้ชื่ออะไร ก่อนที่สายตาจะไปปะทะเข้ากับร่างที่สวมชุดคลุมสีดําพวกเขาสามารถเดาได้ทันทีว่าคนผู้นี้เป็นใครแม้จะไม่เห็นเธอตลอดทั้งการต่อสู้ในอาณาเขตเฮนิตัส

คนผู้นี่คือหมอผี!

จากนั้นก็ตามมาด้วยร่างของชายชราซึ่งสวมชุดนักฆ่าพร้อมทั้งหน้ากากปิดบังใบหน้าเอาไว้ ข้างๆชายชรามีชายหนุ่มสวมชุดนักดาบที่ดูเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า ข้างหลังของคนทั้งคู่มีร่างของครึ่งคนแคระครึ่งหนูปรากฏอยู่ตรงกลางของลูกแมวน้อยสองตัว

และคนสุดท้ายก็คือ คาร์ล เฮนิตัส

การปรากฏตัวของคาร์ลทําให้กลุ่มคนที่อยู่รอบๆต่างตกตะลึง ขุนนางคนหนึ่งอดไม่ได้ จนต้องพึมพําออกมา

“ล…เลือด!”

คาร์ลมาในสภาพเดียวกับที่พวกเขาเห็นครั้งสุดท้ายในการต่อสู้

คาร์ลอยู่ในชุดที่เปื้อนเลือด มันเป็นชุดเดียวกับที่เขาใส่ในระหว่างการต่อสู้ในวันนี้ สายตาของคาร์ลกวาดไปมองสมาชิกที่ยืนอยู่โดยรอบ

แน่นอนว่าในสายตาของขุนนางไม่ได้คิดว่าคาร์ลดูสกปรกหรือโทรมแต่อย่างใด

อันที่จริงพวกเขารู้สึกถึงแรงกดดันจากคนที่รอดชีวิตมาจากสนามรบทั้งยังช่วยให้พวกเขาตระหนักได้ว่าสงครามเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

โพรลิน่าเริ่มเอ่ยทักคาร์ล

“ขอแสดงความยินดีกับชัยชนะที่ท่านได้รับ”

ขุนนางทั้งหมดต่างสะท้านกับคํากล่าวของเธอ อย่างไรก็ตามมีเสียงตะโกนขึ้นจากทางด้านหลังของพวกเขา

ทหารที่ประจําตามจุดต่างๆเริ่มตะโกนอย่างพร้อมเพรียง

“วันทยาวุธ!!!”

ทหารที่ประจําการในฐานทัพเรือเอ่ยทําความเคารพคาร์ลจนชายฝั่งแทบสั่นสะเทือน

คําทักทายของพวกเขาส่งตรงไปยัง ‘คาร์ล เฮนิตัส’ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

เสียงตะโกนของพวกเขาทําให้เหล่าขุนนางต่างอึ้งไปตามๆกัน ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงอย่างอื่นแทรกเข้ามา

คลิ๊ก!!!คลิ๊ก!!คลิ๊ก!!

ดาบที่ส่องประกายสะท้อนกับแสงจันทร์ปรากฏขึ้นทีละเล่มๆ

หัวหน้าอัศวินนําดาบของตนออกมาและชูขึ้นเหนือท้องฟ้า อัศวินที่เหลือก็ทําตามเช่นเดียวกัน

พวกเขาใช้ดาบแสดงออกแทนคําพูด

ชิ้งงง!!!

ดาบตวัดขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อทําความเคารพ

นี่คือการทําความเคารพของอัศวิน นี่คือวิธีที่พวกเขาใช้ทักทายคนที่พวกเขาต้องเชื่อฟัง

นักเวทย์ก็เริ่มสร้างแสงเล็กๆขึ้นก่อนจะส่งพวกมันไปสู่ท้องฟ้า

ชายฝั่งที่มีดสนิทเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ

คาร์ลดูสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนจะเริ่มเอ่ยออกมา

“เอาล่ะ…ข้าน้อมรับสิ่งที่พวกท่านแสดงให้เห็นอย่างใจจริง”

เขาไม่ได้ใช้คําพูดที่ดูทางการหรือดูน่าเคารพมากนัก อย่างไรก็ตามไม่มีใครคิดว่าสิ่งนี้ดูน่าอึดอัดหรือผิดธรรมเนียมไป มันดูเป็นธรรมชาติจนแทบไม่มีใครรู้สึกผิดแปลกแม้แต่น้อย

ไม่สิ!? พวกเขาไม่มีเวลาที่จะมานั่งคิดเล็กคิดน้อยอีกแล้ว