ตอนที่ 128 สามีอีกครั้ง!
หยางเย่รู้สึกตกตะลึง จากนั้นดวงเขาเปิดกว้างขณะกล่าวด้วยท่าทีตื่นเต้น ” พวกเขาเชื่อฟังคําสั่งเจ้าเท่านั้นใช่หรือไม่?”
หากเขาสามารถควมคุบองครักษ์ทองคําได้ เช่นนั้นเขาคงสามารถท่องไปทั่วเขตแดนใต้ได้อย่างอิสระ
สตรีจิ้งจอกมองหยางเย่ก่อนจะเอ่ยจริงจัง “เพราะเจ้าช่วยข้า ข้าจึงจะให้คําแนะนําสักหน่อย อย่าคิดจะใช้ความแข็งแกร่งรอบข้างอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่สําคัญที่สุดคือพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเอง อย่าคิดแต่จะเอาสบาย”
หยางเย่ชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะสายหัว ทําไมเขาจะไม่ทราบถึงเรื่องนี้ล่ะ? หากเขาไม่พึ่งพาพลังภายนอกแล้วจะใช้วิธีไหนเพื่อช่วยมารดาได้? มันเป็นไปได้งั้นหรือที่เขาต้องรอจนกว่าจะเป็นยอดฝีมือขั้นไร้เทียมทาน? อย่าว่าแต่กลายเป็นยอดฝีมือ ก่อนที่เขาจะได้เป็นมารดาคงกลายเป็นศพไปแล้ว
“เจ้ามีสิ่งที่เรียกว่าเจตจํานงแห่งดาบ หากตั้งใจฝึกฝนอย่างแน่วแน่ เช่นนั้นในอนาคตเจ้าก็สามารถไร้เทียมทานได้แน่นอน แต่หากเจ้าฝากความหวังไว้กับของพวกนี้ เช่นนั้นถึงมันจะช่วยให้เจ้าท่องยุทธภพได้โดยง่าย แต่เจ้าก็จะพึ่งพาของพวกนี้ไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดพรสวรรค์ของเจ้าก็จะถูกกลบไปหมดสิ้น ยิ่งกว่านั้นความมุ่งมั่นที่มีต่อการฝึกฝนของเจ้าก็ลดลงด้วย เจ้าต้องจดจํามันไว้ให้ดี” สตรีจิ้งจอกกล่าว
“ขอบคุณสําหรับคําแนะนํา!” หยางเย่พยักหน้าอย่างจริงจัง ไม่ว่ายังไงนางก็ยังมีความตั้งใจที่จะสั่งสอน เขาจึงรู้สึกขอบคุณ
นางพยักหน้าก่อนจะหันไปมองโลงศพ นางเคาะเบา ๆ จากนั้นโลงได้เปิดออก ขณะเดียวกัน ร่างโปร่งแสงได้ลุกขึ้นออกมาจากโลง
มันเป็นร่างของบุรุษคนหนึ่ง ตามที่เห็นอายุเขาราวสามสิบปี ใบหน้าเหลี่ยมคม คิ้วหนา ตาทั้งคู่ปิดสนิท และสวมชุดคลุมสีม่วงลายมังกร ถึงแม้ร่างจะดูคล้ายวิญญาณ หยางเย่ก็ยังสามารถรับรู้ถึงแรงกดดันจากเขาแม้จะยืนห่างกันถึงสามสิบเมตร หยางเย่ตระหนักว่าชายวัยกลางคนตรงหน้าคือยอดฝีมืออันดับสองของเขตแดนใต้เมื่อหลายศตวรรษก่อนจักรพรรดิโจว!
ขณะที่จ้องมองไปยังชายวัยกลางคนตรงหน้า ประกายแห่งความแปลกประหลาดได้ปรากฏขึ้นผ่านดวงตาของสตรีจิ้งจอก จากนั้นนางได้สร้างตราสัญลักษณ์บางอย่างขึ้น ไม่นานประกายแสงสีชมพูได้ปรากฏออกมาจากตราสัญลักษณ์นั้น
หยางเย่มองไปที่ชายวัยกลางคนที่หลับตาสนิทลอยอยู่บนอากาศ เขาเอ่ยถาม ” ไม่ใช่ว่าจักรพรรดิโจวถูกสังหารโดยกลุ่มพันธมิตรเมื่อหลายศตวรรษก่อนไปแล้วหรือ?”
ฉินชี่เยว่กล่าว “จักรพรรดิโจวที่แท้จริงนั้นดับสูญไปนานแล้ว หากข้าไม่ผิด ตรงหน้าเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณจักรพรรดิโจว! และนางคิดจะปลุกจิตวิญญาณส่วนนี้”
” ทําไมวิญญาณยังคงอยู่หลังจากตายไปแล้วได้ด้วย?” หยางเย่บ่นพึมพํา
“มนุษย์ต่างมีจิตวิญญาณ ตามข่าวลือ หมอผีในอดีตสามารถถอดวิญญาณออกจากร่างตนเองได้ ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังใช้ความสามารถแสดงปาฏิหาริย์ได้มากมาย” ฉินชี่เยว่กล่าว “แน่นอนว่า เมื่อความแข็งแกร่งของเจ้าเติบโตไปจนถึงขั้นหนึ่ง เจ้าก็จะสามารถควบคุมจิตวิญญาณได้เช่นกัน แต่อย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดฝีมือขั้นปราณจักรพรรดิ”
“ปู่ของราชวงศ์ท่าน ผู้ก่อตั้ง เขาเป็นยอดฝีมือขั้นปราณจักรพรรดิใช่หรือไม่?” หยางเย่ถามอย่างสงสัย
“อาจจะใช่!” ฉินชี่เยว่กล่าวอย่างเฉยชา ” ข้าไม่มั่นใจนัก ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยพบเขาแม้แต่ครั้งเดียว อย่าว่าแต่ข้า แม้กระทั่งพี่ชายคนโตที่เป็นจักรพรรดิตอนนี้ยังไม่เคยพบเขาแม้แต่ครั้งเดียวเช่นกัน ข้าคิดว่าหากจักรวรรดิต้าฉันไม่ประสบกับอันตรายร้ายแรง เช่นนั้นเขาคงไม่ปรากฏตัวง่าย ๆ.ผู้ไปจนถึงระดับนั้นคงไม่คิดมีความสัมพันธ์ใดมากมายกับครอบครัวอีก!”
เมื่อกล่าวจบ ฉินชี่เยว่มองไปที่หยางเย่พร้อมเอ่ย “เป้าหมายสูงสุดของเจ้าคืออะไรเมื่อฝึกฝนอย่างหนัก? ควบคุมโลกทั้งใบ เริงรมณ์ไปกับสุรานารีงั้นหรือ? หรืออาจอยู่เป็นอมตะและครองอํานาจสูงสุดในโลก?”
“ข้า?” ประกายแห่งความสับสนปรากฏผ่านดวงตาหยางเย่ แต่ไม่นานเขาได้หันไปมองด้วยแววตาที่หนักแน่ “ข้าต้องการจะปกป้องคนที่ข้ารัก และไม่ให้ใครมารังแกพวกเขาได้ แน่นอนว่าในเงื่อนไขแรกที่ท่านบอกมา หากสามารถควบคุมโลกใบและเริงรมณ์ไปกับสุรานารีก็หาได้แย่ไม่!”
“เจ้าทําได้อยู่แล้ว เมื่อเจ้าไปถึงจุดสูงสุดของโลกใบนี้ เจ้าจะสามารถทําทุกอย่างที่ใจปรารถนาได้” ฉินชี่เยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าก็หวังเช่นนั้น!” หยางเย่ยิ้มเช่นกัน
ทันใดนั้นชายวัยกลางคนที่ลอยอยู่กลางอากาศได้เปิดตาขึ้น เขามองไปรอบด้านอย่างงุนงง ท้ายที่สุด สายตาเขาได้มองลงไปยังสตรีจิ้งจอกพร้อมเอ่ยคํา “เจ้า…เจ้าคือฉวนเอ๋องั้นหรือ?”
สตรีจิ้งจอกพยักหน้า
เมื่อเห็นนางพยักหน้า รอยยิ้มอันอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เคร่งเครียด ทันใดนั้นดวงตา เขาหรี่ลงก่อนจะกล่าวอีกครั้งด้วยน้ําเสียงโกรธเกรี้ยว ”เจ้า… ทําไมเจ้าถึงเหลืออายุขัยเพียงสองปี? เจ้าบัดซบเฉินกงเหมาอยู่ที่ไหน? ข้าสั่งให้มันดูแลเจ้าอย่างดี แล้วเหตุใดเจ้าถึงเหลืออายุขัยเพียงเท่านี้?”
” พระราชบิดาโปรดใจเย็นลงก่อน!” สตรีจิ้งจอกเริ่มอธิบาย “วิญญาณของข้าถูกท้ายร้ายโดยยอดฝีมือแห่งโรงเรียนปราชญ์ และยอดฝีมือสํานักภูตผียังทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ในวิญญาณข้า นักพรตไม่มีทางเลือกนอกจากต้องผนึกข้าไว้ในสุสาน จากนั้นเขาใช้เคล็ดวิชาลับฟื้นฟูวิญญาณช่วยข้าไว้ แต่ไม่คาดคิดว่ามันจะใช้เวลาฟื้นฟูหลายศตวรรษ!”
“โรงเรียนปราชญ? สํานักภูตผี?” ประกายแห่งความเย็นเยือกปรากฏผ่านดวงตาจักรพรรดิโจว จากนั้นใบหน้าเขาเปลี่ยนเป็นมืดดํา ” ข้าควรจะฟังเจ้านักพรตที่ให้ทําลายสํานักพวกนั้นทิ้ง ข้าเสียใจนักกับการตัดสินใจครั้งนั้น! หากข้ามีความโหดเหี้ยมเด็ดเดี่ยวมากกว่านี้ ราชวงศ์ของเราคงไม่ล่มสลาย และมารดาของเจ้าคงไม่ถูกสังหารโดยหยวนเทียนจากโรงเรียนปราชญ์!”
” พระราชบิดา ท่านสามารถฟื้นคืนชีพได้หรือไม่?” สตรีจิ้งจอกกล่าวพร้อมแสดงแววตาแห่งความหวัง
“ฟื้นคืนชีพ?” จักรพรรดิโจวชะงักก่อนจะส่ายหัว ” มีเพียงจิตวิญญาณส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ข้าเหลืออยู่ อันที่จริงมันควรจะสูญสลายไปแล้ว แต่ข้าก็ยังอดห่วงเรื่องเจ้าไม่ได้ ดังนั้นจึงใช้วิชาลับ และขอให้เจ้านักพรตผนึกวิญญาณส่วนหนึ่งของข้าไว้ ตอนนี้ข้าได้พบเจ้าแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลใดที่วิญญาณข้าจะคงอยู่ต่ออีก!”
“พระราชบิดา แล้วการแก้แค้นให้ราชวงศ์ชางกับท่านแม่ล่ะ? พวกเราจะยอมแพ้เพียงเท่านี้หรือ?” สตรีจิ้งจอกสลดใจเล็กน้อย
ทันใดนั้นจักรพรรดิโจวมองไปยังฉินชี่เยว่ “เจ้าเป็นคนของจักรวรรดิต้าฉันงั้นหรือ? มีตราบาปปรากฏอยู่บนตัวเจ้า”
ท่าทีของฉินชี่เยว่เปลี่ยนไปทันที จากนั้นนางเริ่มยิ้มอย่างขมขื่น “ตามที่คาดไว้ ยอดฝีมืออันดับสองเมื่อหลายศตวรรษก่อน ถึงแม้จะเหลือเพียงเสี้ยวหนึ่งของจิตวิญญาณ เขาก็ยังสามารถเห็นตัวตนที่แท้จริงของเราได้”
ฉินชี่เยว่ไม่ปกปิดสิ่งใด นางจึงพยักหน้า
เมื่อเห็นฉินชี่เยว่พยักหน้า ดวงตาของสตรีจิ้งจอกที่ยืนอยู่ตรงข้ามจักรพรรดิโจวเปลี่ยนไปทันที ประกายแห่งความอาฆาตปรากฏผ่านดวงตาของนาง
หยางเย่ใจสั่นรัวและขยับไปยืนอยู่หน้าฉินชี่เยว่อย่างไม่รู้ตัว ฉินชี่เยว่ชะงักเมื่อเห็นสิ่งนี้ มันทําให้หัวใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย
จักรพรรดิโจวกล่าว “การล่มสลายของราชวงศ์เป็นเรื่องปกติ ข้าแพ้ให้กับจักรวรรดิต้าฉิน ถือเสียว่าเป็นลิขิตสวรรค์ ข้าไม่คิดจะต่อต้านจักรวรรดิต้าฉันอีก และถึงจะทํา ข้าก็ไม่ลงมือกับเจ้าหรอก”
ฉินชี่เยว่รีบกล่าว “อย่างที่คาดไว้ ยอดฝีมือที่ชื่อเสียงเลืองลือเมื่อหลายศตวรรษก่อน ทั้งความใจดีและมีน้ําใจนั้นน่าเลื่อมใสนัก!”
จักรพรรดิโจวไม่สนใจฉินชี่เยว่อีก เขาหันไปมองหยางเย่แทน ทันใดนั้นประกายแห่งความประหลาดใจได้ปรากฏผ่านดวงตาเขา “เจ้าสามารถเข้าถึงเจตจํานงแห่งดาบได้ อ๊ะ มันมันยังเป็นขั้นสูงสุดของระดับแรกด้วย!”
” พระราชบิดา เขา เขาคือพระสวามีข้า” ทันใดนั้นสตรีจิ้งจอกกล่าวขัดขึ้น
มุมปากของหยางเย่บิดเบี้ยวพลางคิดในใจ นางต้องการจะทําอะไรอีกนี้? หรือว่านางต้องการจะแต่งงานกันเราจริง?”
จักรพรรดิโจวเปลี่ยนท่าทีในทันที ทันใดนั้น แรงกดดันที่น่าสะพรึงได้พุ่งไปทางหยางเย่
เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน เข่าหยางเย่เริ่มทรุดลงทันทีจนเกือบจะแตะถึงพื้น หยางเย่ไม่มีเวลาคิดสิ่งใด เขารีบใช้เจตจํานงแห่งดาบเพื่อต่อต้านแรงกดดันที่น่าสะพรึงนี้
ท่าที่ฉินชี่เยว่เปลี่ยนไปเช่นกัน นางพลิกข้อมือก่อนจะเข้าไปช่วยเหลือ แต่ก็ต้องประหลาดใจ เพราะไม่สามารถขยับตัวได้
สตรีจิ้งจอกเหมือนจะกล่าวบางอย่าง แต่ดูเหมือนจะมีบางสิ่งบิดริมฝีปากนางไว้
ทันใดนั้น ใบหน้าของหยางเย่เริ่มแดง เหงื่อที่แตกพลั่กไปทั่วทั้งตัว เขารู้สึกราวกับว่ามีภูเขาขนาดมหึมากําลังกดตัวเขาลง และถึงแม้จะใช้เจตจํานงแห่งดาบก็ไม่สามารถต้านทานได้ ภูเขามหึมาลูกนี้ยังคงกดทับต่อไปจนหยางเย่แทบจะหายใจไม่ออก
เข่าของเข่าโค้งลงเรื่อย ๆ และมันดูเหมือนเขากําลังจะถึงพื้นในอีกไม่ช้า
“ไม่!” ขณะที่เข่าของเขากําลังจะแตะพื้น ประกายแห่งความอัปยศได้ปรากฏขึ้นในจิตใจหยางเย่ จากนั้นเขาได้คํารามออกมาอย่างคลุ้มคลั่งราวกับสัตว์ร้าย
หยางเย่ ไม่ใช่คนที่จะยอมคุกเข่าให้ใคร ดังนั้นเหตุใดเขาต้องมาคุกเข่าต่อคนที่อยู่ ตรงหน้าตอนนี้ ถึงแม้จะเป็นยอดฝีมืออันดับสองแห่งเขตแดนใต้ หยางเย่ก็ปฏิเสธที่จะคุกเข่าให้
เมื่อนึกได้เช่นนั้น หยางเย่ที่ดวงตาเป็นสีแดงได้ใช้เจตจํานงแห่งดาบอย่างรุนแรงเพื่อต้านทานแรงกดดันอันน่าสะพรึงจากจักรพรรดิโจว!