ตอนที่ 129 ดาบแห่งการรู้แจ้ง

ประกายแห่งความประหลาดใจปรากฏผ่านดวงตาจักรพรรดิโจวเมื่อเห็นหยางเย่สามารถต้านทานแรงกดดันของเขา ถึงแม้มันจะน้อยกว่าเกือบร้อยเท่าที่เขาสามารถปล่อยออกมา แต่แม้กระทั่งยอดฝีมือขั้นปราณราชันก็ไม่สามารถต้านมันไหว แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับทําได้

ถึงแม้จักรพรรดิโจวจะแสดงสีหน้าชื่นชม แต่แรงกดดันมหาศาลก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มันทําให้สติของหยางเย่เริ่มพร่าเลือน

“ดาบนั้นควรจะมีความคมดั่งผู้ใช้ ยอมหักไม่ยอมงอ เมื่อศีรษะปราศจากความว้าวุ่น แก่นแท้ของดาบก็จะรู้แจ้ง และการตวัดดาบเพียงครั้งก็สามารถทําลายทุกเคล็ดวิชาได้…” ทันใดนั้น หยางเย่หวนนึกถึงคําของบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งสํานักดาบราชันที่สลักไว้ตรงหินขนาดใหญ่ในลานฝึก

เวลานี้ คําสลักเหล่านั้นดังก้องอยู่ในหัวของเขาตลอดเวลา หยางเย่เริ่มมีสภาพจิตใจปลอดโปล่งไร้ซึ่งความคิดว้าวุ่น หัวเข่าที่โค้งงอของเขาก็เริ่มยืนขึ้น

“หึม… ดาบแห่งการรู้แจ้ง!” ประกายแห่งความประหลาดใจเผยขึ้นในดวงตาจักรพรรดิโจวอีกครั้ง หลังจากนั้นท่าทีของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น แค่ชายหนุ่มตรงหน้าสามารถเข้าถึงเจตจํานงแห่งดาบได้ เช่นนั้นมันก็ทําให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้กลับมีสัมผัสดาบแห่งการรู้แจ้งเพิ่มมาด้วย มันทําให้เขาต้องเอาจริงกับหยางเย่ยิ่งขึ้น

เช่นเดียวกับเจตจํานงแห่งดาบ สัมผัสดาบรู้แจ้งเป็นสถานะที่ผู้ฝึกฝนวิชาดาบใฝ่ฝันถึง เจตจํานงแห่งดาบสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งยังสามารถขจัดสิ่งที่เป็นภัยคุกคามต่อผู้ฝึกวิชาดาบ ในส่วนของดาบแห่งการรู้แจ้งนั้น มันจะทําให้จิตใจผู้ฝึกฝนวิชาดาบบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น และยังทําให้ไม่ถูกล่อลวงโดยสิ่งรอบตัว ทั้งยังสามารถเห็นแก่นแท้ของทุกสิ่งได้!

คํากล่าวที่ว่าทําลายทุกเคล็ดวิชาได้ด้วยการโจมตีเดียวนั้นหมายถึงดาบแห่งการรู้แจ้ง เพราะดาบแห่งการรู้แจ้งนั้นไม่เกรงกลัววิชาใดในโลกนี้

จักรพรรดิโจวพบเจอคนมากมายที่มีเจตจํานงแห่งดาบ แต่ไม่เคยเจอคนที่มีดาบแห่งการรู้แจ้งมาก่อน เขาเคยได้ยินว่ามีผู้เดียวที่มีสภาวะนี้ เขาคือบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งสํานักดาบราชัน ผู้ที่ไร้คู่ต่อสู้ในเขตแดนใต้ และถูกขนานนามว่าเซียนดาบไร้เทียมทาน

ตอนนี้เขาเจอคนที่สามารถเข้าถึงดาบแห่งการรู้แจ้งอยู่ตรงหน้า ยิ่งกว่านั้นยังมีเจตจํานงแห่งดาบ จักรพรรดิโจวทําอะไรไม่ได้นอกจากตกตะลึงกับพรสวรรค์ที่ฟ้าประทานให้

หลังจากหายตกตะลึง ฉวนเอ๋อทําได้เพียงปล่อยประกายแห่งความขมขื่นออกมา เพราะดาบแห่งการรู้แจ้งทําให้วิชาภาพลวงตาทั้งหมดไร้ผลกับหยางเย่ ไม่ใช่เพียงวิชาภาพลวงตาเท่านั้น แม้กระทั่งวิชากระบวนท่าต่าง ๆ ก็สามารถถูกหยางเย่ขจัดได้เพียงการโจมตีเดียว

กล่าวคือ หยางเย่มีเจตจํานงแห่งดาบ และดาบแห่งการรู้แจ้ง ทั้งสองสิ่งเป็นสถานะที่ลบล้างวิชาตระกูลจิ้งจอกเก้าหางของนางได้ทั้งหมด หากหยางเย่ไม่มีน้ําวนลึกลับ เช่นนั้นนางคงไม่ลังเลที่จะสังหารเขาทันที เพราะภาพลวงตาและวิชาลับทั้งหลายของตระกูลจิ้งจอกเก้าหางมันไร้ผลกับเขา

ผ่านไปชั่วครู่ หยางเย่เปิดตาขึ้นพร้อมปล่อยคลื่นอากาศที่มองไม่เห็นออกมาจากตัว ในดวงตา เขามีประกายดาบที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้น หลังจากนั้นหยางเย่เหมือนจะตระหนักบางอย่างได้ เขาปิดตาลงอีกครั้ง และเปิดตาต่อมาในเวลาไม่นาน ตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุขล้น

เขาตรวจสอบร่างกายตนเอง นอกจากจะกลายเป็นยอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์ระดับหนึ่งแล้ว สิ่งที่สําคัญที่สุดคือกระแสน้ําวนในตัวเขาได้ขยายกว้างขึ้นด้วย แต่เดิมมันสามารถบรรจุคนได้ประมาณห้าสิบคน แต่ตอนนี้น่าจะได้ถึงร้อยคน นอกจากพื้นที่ในตันเถียนน้ําวนจะขยายขึ้น บ่อน้ําพลังปราณเองก็ใหญ่ขึ้นเช่นกัน แต่เดิมมันมีขนาดเท่ากับถังอาบน้ํา แต่ตอนนี้มันกลายเป็นสระกว้างห้าเมตรและยาวห้าเมตร

นอกจากนั้นปราณทองคําของเขายังได้รับการพัฒนาด้วย มันบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเดิมอย่างมาก ถึงแม้มันยากที่จะสังเกต แต่หยางเย่ก็สามารถสัมผัสถึงมันได้ แน่นอนว่าหยางเยู่ไม่ทันเห็นว่าพลังปราณทองคําของเขามีสีม่วงบาง ๆ อยู่

กล่าวโดยสั้นคือ นอกจากจะสามารถบรรลุขั้นปราณสวรรค์แล้ว ตันเถียนน้ำวนของเขายังได้รับการพัฒนาขึ้นด้วย!

หยางเย่โค้งคํานับจักรพรรดิโจวที่ดูอ่อนแรงพร้อมเอ่ย ” ขอบคุณผู้อาวุโส”

เขาไม่ได้โง่เขลาที่จะไม่ทราบว่าจักรพรรดิโจวปล่อยแรงกดดันเพื่อช่วย สําหรับเหตุผลคงเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่มีกับนางจิ้งจอกตัวนั้น

จักรพรรดิโจวพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเผยรอยยิ้ม “ยินดีด้วยที่สามารถบรรลุขั้นปราณสวรรค์ และเข้าไปสู่เจตจํานงแห่งดาบขั้นที่สอง!”

หากหยางเย่มีเพียงเจตจํานงแห่งดาบ เขาจะไม่จริงจังกับหยางเย่มากนัก แต่หยางเย่สามารถบรรลุดาบแห่งการรู้แจ้ง ดังนั้นสถานการณ์มันจึงเปลี่ยนไปจากเดิม หยางเย่มีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะเป็นลูกเขยเขา

“เจตจํานงแห่งดาบขั้นที่สอง?” หยางเย่ชะงักพร้อมถาม ”ผู้อาวุโส เจตจํานงแห่งดาบถูกแบ่งแยกเป็นขั้นด้วยหรือ?”

“แน่นอน ยอดฝีมือในสํานักดาบราชันไม่ได้บอกเจ้างั้นหรือ?” จักรพรรดิโจวประหลาด ใจเล็กน้อย

หยางเย่ยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะเอ่ย ” ข้าไม่ใช่ศิษย์ของสํานักดาบราชันอีกต่อไปแล้ว!”

แม้แต่อาจารย์หลินชานก็ไม่ได้บอกเขาเกี่ยวกับระดับขั้นของเจตจํานงแห่งดาบ เขาไม่มั่นใจว่าหลินชานไม่บอกหรือว่าไม่ทราบกันแน่ แต่ในความคิดของเขา หลินชานคงไม่ทราบ เพราะหลินชานนั้นมุ่งมั่นฝึกฝนในวิถีทางแห่งยันต์ และไม่ได้คุ้นชินกับวิถีแห่งดาบเท่าไหร่

“เจ้าไม่ใช่ศิษย์สํานักดาบราชันงั้นหรือ?” จักรพรรดิโจวประหลาดใจมากขึ้นไปอีก ” แล้วเจ้ามีเจตจํานงแห่งดาบได้อย่างไรหากไม่ใช่ศิษย์ของที่นั่น?”

หยางเย่สายหัวพร้อมเผยรอยยิ้ม ไม่ว่าใครก็ตามที่เห็นก็คงคิดว่าเราเป็นศิษย์สํานักดาบราชัน

หยางเย่ได้บอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับสํานักดาบราชัน

“เจ้าถูกขับไล่ออกจากสํานักดาบราชันสินะ?” จักรพรรดิโจวชะงักไปเมื่อหยางเย่กล่าวจบ จากนั้นเขาได้หัวเราะออกมา ” คนที่ขับไล่เจ้าออกจากสํานักนั้นช่างโง่เขลาโดยแท้จริง หากปรมาจารย์ดาบซุยทราบเรื่องนี้ ข้าสงสัยว่าเขาจะโกรธหรือมีความสุขกันแน่”

” ปรมาจารย์ดาบซุย?” หยางเย่สับสน

“คนที่มีพรสวรรค์น่าเหลือเชื่อดังเช่นเจ้า!” จักรพรรดิโจวกล่าว ” หลายปีก่อน เขาถูกขับไล่ออกจากสํานักดาบราชันเพราะไปสังหารคนของโรงเรียนปราชญ์ แต่ไม่กี่ปีต่อมาเขาเข้าถึงเจตจํานงแห่งดาบได้เช่นเดียวกับเจ้า ยิ่งกว่านั้นเขายังคิดค้นวิชากระบวนท่าดาบหมื่นนิรันดร์ ในเวลานั้น เขาได้กลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในรุ่นเยาว์ของเขตแดนใต้า”

” เขากลับไปที่สํานักดาบราชันหรือไม่?” หยางเย่ค่อนข้างสนใจในยอดฝีมือผู้นี้

“ข้าไม่ทราบเรื่องนั้น!” จักรพรรดิโจวยิ้ม

ขณะเดียวกันฉินเยว่เอ่ยจากด้านข้าง “เวลานั้น เพื่อจะยอมให้เขากลับไปยังสํานักดาบราชันเจ้าสํานักดาบที่ไล่ปรมาจารย์ดาบซุยออกถูกลดขั้นไปเป็นผู้อาวุโสธรรมดาโดยผู้อาวุโสสูงสุดของสํานักดาบราชัน แต่ปรมาจารย์ดาบซุยที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจจะกลับไปได้ยังไง? ถึงแม้เขาไม่ได้กลับไปยังสํานักดาบราชัน แต่ก็ยังปกป้องสํานักอยู่ห่าง ๆ ดูเหมือนว่ามันเป็นคําสั่งเสียจากอาจารย์ของเขา

“ถึงแม้จะไม่มีความรู้สึกใดต่อสํานักดาบราชันอีก แต่ก็ยังมีความสัมพันธ์อันดีกับอาจารย์ของเขา กล่าวได้ว่าเขาเกือบตายจากเจ้าสํานักดาบราชัน แต่ด้วยความช่วยเหลือจากอาจารย์เขาจึงรอดตาย ดังนั้นตามความปรารถนาของอาจารย์ก่อนจะตาย เขาได้ทําการปกป้องสํานักดาบราชันจากภัยพิบัติใหญ่มากมาย”

“เป็นเพราะการคงอยู่เขา ถึงแม้ศิษย์ของสํานักจะลดลงเรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่ได้ถูกทําลายโดยมหาอํานาจอื่น เพราะไม่มีมหาอํานาจใดกล้าต่อต้านยอดฝีมือขั้นปราณจักรพรรดิผู้มีเจตจํานงแห่งดาบ!”

” ดูเหมือนเจ้าจะทราบดีถึงความลับมากมายของสํานักอื่นในจักรวรรดิต้าฉันนะ! ฉวนเอ๋อมองไปที่ฉินชี่เยว่ขณะหัวเราะเยาะ

ฉินชี่เยว่มองฉวนเอ๋อกลับแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด

หยางเย่ไม่คาดคิดว่าสํานักดาบราชันจะมียอดฝีมือขั้นปราณจักรพรรดิที่มีเจตจํานงแห่งดาบยิ่งกว่านั้นเขายังมีสิ่งที่คล้ายคลึง นี่คือพวกเขาโดนไล่ออกจากสํานักดาบราชันเหมือนกัน

“หากเราได้กลายยอดฝีมือไร้เทียมทานในอนาคต และถูกผู้อาวุโสเชียนหรือซูชิงฉือขอให้ปกป้องสํานักดาบราชัน เราควรตกลงหรือไม่นะ?”

ในเวลาต่อมาหยางเย่ได้ส่ายหัว เขาไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่นตอนนี้ เขากําหมัดคารวะจักรพรรดิโจวทันทีก่อนจะเอ่ย “ผู้อาวุโสได้โปรดชี้แนะข้าด้วย!”

เขาต้องการจะทราบความลับของเจตจํานงแห่งดาบ

จักรพรรดิโจวพยักหน้าเล็กน้อย “เจตจํานงแห่งดาบมีอยู่เก้าขั้น และขั้นที่เก้าเรียกว่าสถานะที่สมบูรณ์แบบ ทุกขั้นที่เจ้าสามารถก้าวเข้าไปได้ ความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยกตัวอย่างเช่นขั้นที่หนึ่งนั้นสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้เจ้าได้สามเท่า ส่วนขั้นที่สองได้หกเท่า และเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่เพียงเท่านั้น เจตจํานงแห่งดาบยังสามารถข่มศัตรูได้อีกด้วย หากเจ้าสู้กับคนที่อ่อนแอกว่า เจ้าแทบไม่ต้องลงมือแม้แต่น้อย เพียงใช้เจตจํานงแห่งดาบกดดัน พวกเขาจะไม่สามารถต้านทานแรงกดดันนั้นได้จนสูญเสียแรงใจจะต่อสู้”

“มันร้ายกาจถึงเพียงนี้เลยหรือ?” หยางเย่ตกตะลึงเล็กน้อย เขาทราบว่าเจตจํานงแห่งดาบสามารถใช้ยับยั้งและกดดันศัตรูได้ แต่ไม่คาดคิดว่าเมื่อบรรลุไปถึงระดับหนึ่ง มันจะสามารถทําให้ศัตรูสูญเสียจิตใจที่จะต่อสู้ไปด้วย ปัจจุบันเขาอยู่เพียงขั้นที่สองและมันยังน่าสะพรึงถึงเพียงนี้ แล้วขั้นที่เก้าจะน่าสะพรึงขนาดไหน?

“เราจะตั้งหน้าตั้งตารอจนกว่าจะถึงวันนั้น!?

หยางเย่ข่มความตื่นเต้นไว้ก่อนจะเอ่ยถาม ”ผู้อาวุโส หลังจากขั้นที่เก้าแล้วจะเป็นยังไงต่อ?”

” หลังจากขั้นที่เก้า” จักพรรดิโจวบ่มพึมพํา ”นั่นน่าจะเป็นดาบพิภพเทวะ พิภพดาบที่มีดาบเป็นพื้นฐาน…”

“ผู้อาวุโส?” จักรพรรดิโจวกล่าวด้วยเสียงเบามาก ทําให้หยางเย่ไม่ได้ยินทั้งหมด

จักรพรรดิโจวส่ายหัวก่อนจะกล่าว “อย่าไปคิดฝันถึงมันเลย สิ่งที่สําคัญที่สุดคือวางรากฐานของเจ้าให้ดี สําหรับสิ่งที่เหนือกว่าเจตจํานงแห่งดาบ เจ้าจะค้นพบเองในอนาคต!”

ถึงแม้จะสงสัย แต่หยางเย่ก็พยักหน้าในที่สุด เขาไม่ถามสิ่งใดต่ออีก