ตอนที่ 114 ผู้ทำร้ายท่านอาจารย์

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

“ศิษย์พี่ สำนักกำลังเฝ้าดูอยู่ ปีศาจตนนี้ไม่อาจทำอะไรได้แล้ว ท่านและข้าจากกันที่นี่เถิด”

ในขณะนั้น ที่ด้านนอกห่างจากประตูสำนักตู้เซียนไปสามร้อยลี้ หลี่ฉางโซ่วซึ่งปลอมตัวเป็นนักพรตเต๋าชราฉีหยวน กำลังขับเคลื่อนอยู่บนเมฆก้อนเดียวกันกับจิ่วอู ทันใดนั้น ก็กล่าวอำลาอีกฝ่าย

“ศิษย์น้องฉีหยวน เหตุใดเจ้าไม่ไปที่หอรางวัลและลงทัณฑ์ด้วยกันเล่า”

จิ่วอูผงะไปเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อว่า “ศิษย์น้อง คราวนี้ เจ้าสมควรได้ผลงานจากการกำจัดปีศาจไปครึ่งหนึ่ง ดังนั้น ในครั้งนี้ เราควรไปรับรางวัลด้วยกัน”

ทว่า ‘ฉีหยวน’ ยิ้มและกล่าวว่า “โปรดมอบรางวัลของข้าและถุงเก็บสัตว์วิญญาณนี้ให้ศิษย์ของข้าทั้งคู่เถิด ขอกล่าวตามตรง ศิษย์พี่ ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการและต้องรีบกลับไปที่เมืองหลินตง หลังจากที่ล่าช้าไป นี่ก็เกือบจะถึงเวลานัดพบของข้าแล้ว”

นัดพบหรือ

จิ่วอูพลันขมวดคิ้วแล้วพยักหน้าแม้อยากจะเอ่ยบางอย่าง

ในขณะนั้น ‘ฉีหยวน’ จึงทำการคารวะเต๋าและหันหลังกลับเพื่อจะขับเคลื่อนเมฆไป

แต่ทันทีที่ ‘ฉีหยวน’ บินออกไปได้ไม่ถึงห้าฉื่อ จิ่วอูก็ตะโกนว่า “ศิษย์น้อง ช้าก่อน! เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าจะพบผู้ใด”

หลี่ฉางโซ่วพลันถอนหายใจออกมาทันที…

หากอาจารย์ลุงตกหลุมพราง ทุกอย่างย่อมจะจัดการได้ง่าย

“เอ่อ…” ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วจงใจทำท่าทางลำบากใจ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่กล้าปดศิษย์พี่ เมื่อสองสามเดือนก่อน ศิษย์พี่หญิงของข้าส่งสารมาถึงข้าสองฉบับเพื่อขอให้ข้าไปพบนางที่เมืองหลินตง”

จิ่วอูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดพลางบีบนิ้วคำนวณ และหลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ยืนยันความทรงจำเหล่านั้นซึ่งค่อนข้างจะฝังลึกอยู่ในจิตใจของเขา

ผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง สีหน้าของจิ่วอูก็ดูแปลกไป

และประโยคที่จิ่วอูกล่าวต่อจากนั้นก็ทำให้หลี่ฉางโซ่วประหลาดใจ

“เป็นไปไม่ได้ ศิษย์น้องฉีหยวน เรื่องนี้ต้องมีคนคิดร้ายต่อเจ้าแน่ๆ!”

“ศิษย์พี่ ท่านหมายความอันใด”

ฉับพลันนั้น ใบหน้าของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เผยความกังวลออกมาทันที แล้วรีบกล่าวออกมาว่า “ศิษย์พี่ โปรดชี้แจงด้วยเถิด!”

“นี่” จิ่วอูพึมพำกับตัวเองแต่ไม่ตอบ เพียงแต่กล่าวว่า “อย่างไรเสีย เรื่องนี้ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้”

“พี่จิ่วอู!”

ในขณะนั้น ‘ฉีหยวน’ พลันก้าวออกไปข้างหน้าทันทีและโค้งคำนับพลางขอร้องให้จิ่วอูบอกความจริงซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทันใดนั้น จิ่วอูก็ไม่อาจทนการถูกขอร้องเช่นนั้นได้ เขาจึงถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงลึกล้ำว่า “ศิษย์พี่หญิงของเจ้าสิ้นชีพไปเมื่อแปดร้อยปีก่อนแล้ว และวิญญาณที่เหลืออยู่ของนางก็ได้ไปเกิดใหม่แล้ว ข้าเห็นกับตาตัวเอง”

“ในปีนั้น เจ้าต่อสู้กับศิษย์น้องไขว่ซือจากยอดเขาเซียนหลิน และศิษย์น้องไขว่ซือลอบโจมตีเจ้า จนทำให้รากฐานเต๋าของเจ้าได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง แม้ว่าเจ้าจะรอดชีวิต แต่เจ้าก็ไม่อาจฝึกฝนต่อไปได้”

“ศิษย์พี่หญิงของเจ้า ว่านเจียงอวี่ แอบออกจากนิกายโดยบอกว่า จะไปตามหาอาจารย์ของเจ้าที่กำลังเดินทางท่องไปทั่วโลกแล้วพาเขามาหาเจ้า…แต่ความจริงแล้ว นางไปที่ดินแดนเทวะอุดรเพื่อค้นหาโอสถล้ำค่ามาใช้ซ่อมแซมรากฐานเต๋าของเจ้า เมื่อผู้อาวุโสในสำนักรู้ พวกเขาก็ส่งข้าและผู้บริหารสำนักอีกสองคนไล่ตามนางไปทันที แต่เมื่อเราตามทัน นางก็อยู่ในส่วนลึกของดินแดนเทวะอุดรแล้ว ในขณะนั้น ปราณวิญญาณของนางได้รับบาดเจ็บจากสัตว์ร้ายจนใกล้ตาย พวกเราสามคนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษานาง แต่ก็ไม่เป็นผล”

“คำพูดสุดท้ายของศิษย์พี่หญิงของเจ้าคือ ขอให้พวกข้าทั้งสามคนบอกว่าหานางไม่พบ และอย่าบอกความจริงกับเจ้า พวกเราสามคนได้ฝังศพของนางเอง หากเจ้าไม่เชื่อข้า ข้าจะให้อีกสองคนมาคุยกับเจ้า…”

“ศิษย์น้อง ศิษย์น้องฉีหยวน? เจ้าเป็นอันใดหรือไม่”

ชั่วขณะนั้น ‘ฉีหยวน’ พลันตัวสั่นขณะก้าวถอยหลังออกไปสองสามก้าว ดวงตาของเขามืดมัวและเต็มไปด้วยน้ำตาคลอหน่วย

หลี่ฉางโซ่วไม่เคยคิดว่าเขาจะต้องมาแสร้งทำท่าทางน่าสงสารเช่นนี้ ในขณะนั้นเขาทำได้เพียงอาศัยจินตนาการของตัวเขาเองในการแสดงออกไปเท่านั้น

โชคดีที่จิ่วอูหลับตาลงพลางถอนหายใจด้วยหัวใจที่ไม่อาจทนดูอะไรต่อไปได้อีก

จิ่วอูไม่อยากเปิดเผยเรื่องนี้ แต่ก็กังวลว่า ‘ศิษย์น้องฉีหยวน’ จะตกหลุมพรางบางอย่าง

“นาง…ถูกฝังเอาไว้ที่ใด”

“เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยหมอกพิษแผ่กระจายไปทั่วซึ่งถูกทำลายไปนานแล้ว ศิษย์น้องอย่าคิดมากนัก อย่างไรเสีย นางก็กลับชาติไปเกิดใหม่แล้วเช่นกัน”

จิ่วอูอยากปลอบโยนเขา แต่ฉีหยวนก็นิ่งเงียบแล้วประสานมือโค้งคารวะก่อนจะบินตรงไปที่ประตูสำนักเงียบๆ

“ศิษย์พี่ ข้าขออยู่เงียบๆ เถิด”

“ศิษย์น้องฉีหยวน…”

จิ่วอูรู้ว่า ‘ฉีหยวน’ รู้สึกหดหู่เศร้าใจ จึงไม่ได้พูดจาโน้มน้าวอะไรให้มากความ แต่กลับถือถุงเก็บสัตว์วิญญาณและค่อยๆ เดินตามหลังเขาไปอย่างใกล้ชิด

นักพรตเต๋าร่างเตี้ยก็รู้สึกสะเทือนใจเช่นกัน เขาส่ายศีรษะพลางพึมพำเบาๆ ว่า “ข้ายังไม่อาจทำใจได้ ความรักทำให้เศร้าใจ และไม่สบายใจ ถามโลกว่ารักนั้นคืออะไร มัน…ทำให้ไม่อาจหลับได้ในยามค่ำคืน”

เมื่อคิดถึงคู่บำเพ็ญเต๋าของเขา จิ่วอูก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา

ทันใดนั้น สตรีชราผู้ทรงเสน่ห์ก็ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าคู่บำเพ็ญเต๋าของเขา…

ตึ้ง

ในชั่วพริบตานั้น จิ่วอูตัวสั่นทันที

ความงามทั้งหมดล้วนกลายเป็นซากและการฝึกฝนเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างจริงจัง!

ในเวลาเดียวกัน ในกระท่อมมุงจากบนยอดเขาหยกน้อย

หลี่ฉางโซ่วลืมตาขึ้นมา ดวงตาของเขาดูซับซ้อนอย่างยิ่ง

เขารู้สึกว่า มีความลับอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จริงๆ …

แต่น่าเสียดายที่เขาเป็นตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ซึ่งปลอมเป็นอาจารย์ของเขา ว่ากันตามหลักการแล้ว เขาไม่ควรถามอะไรมากเกินไป หรือไม่เช่นนั้นเขาก็ต้องถามอย่างเหมาะสมถี่ถ้วนก่อนที่จะตรวจสอบรายละเอียดอย่างรอบคอบระมัดระวัง

ครั้งนี้เขาได้รับรู้อะไรมากมายจากปากของอาจารย์ลุงจิ่วอูว่าใครเป็นศัตรูของอาจารย์ของเขาซึ่งคุ้มค่าอย่างยิ่ง

ไขว่ซือจากยอดเขาเซียนหลิน

เขาเป็นเซียนเสิ่นที่ไร้ชื่อเสียงอยู่ในสำนัก ซึ่งหลี่ฉางโซ่วเพิ่งเห็นชื่อของเขาในทะเบียนรายชื่อในหอไป่ฝาน โดยบังเอิญเท่านั้น

ในฐานะที่เป็นเซียนเสิ่นในสำนัก แต่ชื่อเสียง ความนิยมและการเป็นที่ยอมรับของคนผู้นี้ ด้อยกว่าอาจารย์ป้าจิ่วจิ่วและอาจารย์ลุงจิ่วอูมาก เขาเป็นคนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีความเป็นส่วนตัวสูง

คนผู้นี้…เป็นอันตราย เขาแอบต่อสู้อย่างลับๆ ด้วยเจตนาร้าย ทำร้ายอาจารย์ของข้า และทำให้อาจารย์ของข้าต้องกลายเป็นเซียนจั๋วโดยไม่มีทางเลือก

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังบังคับอาจารย์ป้าของข้าให้ออกเดินทางไปยังดินแดนเทวะอุดรเพื่อหาหญ้าสลายเซียนสองสามต้น ซึ่งก่อให้เกิดกรรมขึ้นมากมายนับจากนั้นเป็นต้นมา

บัดนี้ ข้าพบแล้วว่า เจ้าทำให้อาจารย์ป้าของข้าและศิษย์พี่หญิงที่อาจารย์ของเขารัก ต้องตกตายไปทางอ้อม

“สหายเต๋า”

ดวงตาของหลี่ฉางโซ่วเปล่งประกายมุ่งมั่นเล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก็รีบซ่อนมันไว้

เขาพึมพำ…“กรรมของเราไม่ใหญ่เกินไปสักหน่อยหรือ” หลี่ฉางโซ่วยืนขึ้น และเดินไปมาในกระท่อมมุงจาก

อย่ารีบเร่ง ในเวลานี้การฆ่าหรือทำลายล้างศัตรูที่เป็นเซียนเสิ่น ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้า

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในอนาคตของข้า หลิงเอ๋อร์ และท่านอาจารย์ในสำนักตู้เซียน ดังนั้น ข้าต้องแน่ใจก่อน

สิ่งสำคัญที่สุดของเขาในตอนนี้คือการตัดสินใจว่าเขาควรจะบอกเรื่องนี้กับท่านอาจารย์หรือไม่

หากลองคิดอย่างรอบคอบแล้ว ท่านอาจารย์ก็…เป็นเซียนผู้น่าสงสารจริงๆ เช่นกัน

รากฐานเต๋าซึ่งเป็นรากฐานแห่งการบรรลุเซียนของเขาถูกทำลาย ศิษย์พี่หญิงของเขาจากไปและไม่เคยกลับมาอีกเลยเช่นเดียวกับอาจารย์ของเขา เขาถูกวางแผนทำร้ายและกลายเป็นเซียนจั๋ว ไม่มีแม้แต่สหายสนิทหรือคนที่ไว้ใจใกล้ชิดได้ในสำนัก และยังถูกศิษย์แกล้งเล่นอยู่ทุกวัน…

แค่กๆ อย่างสุดท้ายนี้ไม่นับนะ

ไม่นานหลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็มีแผนอยู่ในใจแล้ว

เขาหยิบยันต์หยกสื่อสารด้อยคุณภาพออกมาแผ่นหนึ่งและพยายามเลียนแบบลายมือของตัวอักษรสองตัวแรก แล้วเขาเขียนสองประโยคลงไป

“บัดนี้ ข้าวางใจได้แล้วที่รู้ว่าท่านปลอดภัยสบายดี”

“โปรดอย่าคิดถึงข้าอีกต่อไป จากนี้ไปให้เราแยกย้ายกันไป” หลังจากนี้ เขาจะอธิบายให้อาจารย์ฟังว่า เขาพักอยู่ในเมืองหลินตงสองสามวันและพบแผ่นหยกนี้ที่ข้างหมอนของเขา แต่ไม่พบคนที่เขาเตรียมมาพบ และหลังจากนั้นเขาก็ได้พบกับอาจารย์ลุงจิ่วอูจึงรวมกำลังจัดการปีศาจด้วยกัน…

หากข้าบอกความจริงไปตรงๆ ท่านอาจารย์จะต้องเศร้าสลดทดท้อใจอย่างแน่นอน ในขณะที่รากฐานเต๋าเซียนจั๋วของเขานั้น ไม่เสถียรมาตั้งแต่แรกแล้ว

ข้าจะใช้วิธีนี้เพื่อทำให้อาจารย์คิดว่าท่านอาจารย์ป้ายังอยู่ แต่ไม่อยากพบท่านอาจารย์ จากนั้นสภาพจิตใจของท่านอาจารย์ก็น่าจะเป็น ‘เกล็ดหิมะโปรยปราย สายลมเหนือเยือกเย็นพัดพลิ้วหวีดหวิว ทั่วแผ่นฟ้า ผืนดินกว้างใหญ่ล้วนไร้สรรพสิ่ง มีเพียงความเหน็บหนาวอ้างว้าง[1]…’

แม้จะเศร้า แต่ก็ยังมีสีสันอยู่บ้าง

จากนี้ไป ข้าจะมองหาหนทางและค้นหาการกลับชาติมาเกิดของท่านอาจารย์ป้าผู้นี้ในอนาคต

หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจในใจขณะจ้องมองไปที่คำว่า ‘มั่นคง’ ที่เขาแปะติดเอาไว้ในกระท่อมมุงจากก่อนหน้านี้ แล้วระลอกคลื่นอารมณ์ในใจของเขาก็ค่อยๆ สงบลง

สิ่งต่างๆ ต้องทำทีละขั้นตอน

ชั่วพริบตานั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่ปลอมตัวเป็นอาจารย์ของเขาก็ขับเคลื่อนเมฆกลับไปที่ยอดเขาหยกน้อย แล้วเข้าไปในกระท่อมมุงจากของหลี่ฉางโซ่วก่อน จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เข้าไปในบ้านของอาจารย์ของเขาพร้อมด้วยตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์

ในขณะนี้ ภารกิจของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ตัวนี้สิ้นสุดลงแล้ว

จากนั้นไม่นาน มีเพียงหลี่ฉางโซ่วคนเดียวเท่านั้นที่เดินออกมา

หลังจากนั้นอีกสองสามวันต่อมา อาจารย์ลุงจิ่วอูก็มาเยี่ยม ‘ศิษย์น้องฉีหยวน’ ซึ่งเขาเพิ่งจะรู้จักใกล้ชิดกันมากขึ้น เพื่อมอบรางวัลจากสำนักให้แก่เขาสำหรับการกำจัดปีศาจ นอกจากนี้เขายังต้องการแจ้งให้ฉีหยวนรู้เรื่องการลงโทษปีศาจสาวอีกด้วย

ทว่าหลี่ฉางโซ่วอ้างเหตุผลว่า “ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด แต่ดูเหมือนว่า ท่านอาจารย์ของข้าจะเจ็บปวดโศกเศร้าด้วยเหตุผลบางอย่างในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้” เพื่อหยุดอาจารย์ลุงจิ่วอูเอาไว้ จึงได้พูดคุยถึงเรื่องราวอดีตในปีนั้นกับท่านอาจารย์ลุงจิ่วอู

และจิ่วอูก็กล่าวซ้ำในสิ่งที่เขากล่าวออกมาก่อนหน้านี้

ไม่นานหลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ขอรายละเอียดสองสามอย่าง ซึ่งจิ่วอูก็ตอบเขาอย่างละเอียดเช่นกัน

จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ขอร้องอาจารย์ลุงจิ่วอูซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อขอให้ผู้ดูแลระดับบริหารอีกสองคนที่ออกไปกับเขาในเวลานั้นเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับอย่างเคร่งครัด และไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ในสำนักอีก…

จิ่วอูรับปากหนักแน่น นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา

ดังนั้น บัดนี้ ตอนเล็กๆ ของเมืองหลินตงจึงได้จบลงเฉกเช่นนี้

ปีศาจจิ้งจอกที่ถูกเขาจับกุมได้นั้น ถูกผู้อาวุโสของสำนักกำราบเอาไว้ที่ด้านนอกประตูของสำนักตู้เซียน มันถูกลงโทษด้วยการถูกกักขังเอาไว้ในค่ายกลเส้นชีพจรปฐพีเป็นเวลาสามร้อยปี

ปีศาจจิ้งจอกไม่อาจยอมตายได้ ดังนั้นมันจึงไม่พูดอะไรมาก และยอมถูกกักขังอย่างเงียบๆ ใต้ยอดเขาซึ่งดูเหมือนว่า มันจะไม่ได้ขุ่นเคืองใจแต่อย่างใด

แต่หลี่ฉางโซ่วคิดว่า หากจัดการกับปีศาจสาวตัวนี้โดยตรง ย่อมจะเป็นการดีที่สุดมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ไม่มีเซียนคนใดในสำนัก อยากยอมเสียบุญหรือเพิ่มกรรมร้ายให้ตนเอง ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงผนึกมันเอาไว้ภายนอกสำนักชั่วคราว

สำหรับปีศาจจิ้งจอกตัวนี้ หลี่ฉางโซ่วไม่คิดว่าจะจัดการมันได้ง่ายๆ

เพราะความจริงแล้ว มีทั้ง ‘ท่านอาจารย์ของเขา’ และอาจารย์ลุงจิ่วอูที่ร่วมกันลงมือจับกุมมัน และยังพามันออกมาจาก ‘บ้าน’ ของมันในโลกมนุษย์อีกด้วย

หลี่ฉางโซ่วเคยอ่านพบวิธีทำลายบุญสองสามวิธีในตำราโบราณ แม้จะลำบากยุ่งยาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

แต่ในยามนี้ การกำจัดปีศาจจิ้งจอกตัวนี้ ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดของเขา

หลังจากยืนยันได้ว่า ศัตรูของอาจารย์ของเขาคือ ไขว่ซือจากยอดเขาเซียนหลินแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็เริ่มแอบสืบสวนและวางแผนอย่างลับๆ พลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาไม่หยุดนิ่ง และแผ่เข้าครอบคลุมไปทั่วทั้งยอดเขาเซียนหลิน…

แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เขาก็ยังต้องทุ่มสุดตัว

เขาต้องการใช้แผนที่สมบูรณ์แบบเพื่อกำจัดศัตรู ดังนั้นจึงต้องวางแผนให้ดีและรอบคอบ

เขาต้องวางแผนปฏิบัติการ ทำเครื่องหมาย และวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ ทีละอย่าง จากนั้น เขาจะต้องจัดทำแผนอีกสองสามชุดก่อนจะเลือกแผนที่สมบูรณ์แบบที่สุด และตระเตรียมการอื่นๆ ที่เหลือทุกอย่างเอาไว้

ท้ายที่สุด เมื่อพิจารณาทั้งหมดอย่างถี่ถ้วนแล้ว การทำให้อีกฝ่ายหนึ่งประสบอุบัติเหตุนั้น จะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเขาเอง

จากนั้น ราวครึ่งปีต่อมา ในที่สุด หลี่ฉางโซ่วก็ได้พบกับไขว่ซือ

เขาเป็นนักพรตเต๋าวัยกลางคน มีคิ้วกระบี่ ดวงตาสดใส มีใบหน้า ‘ดูดี’ และมีท่าทางไม่ธรรมดา นักพรตเต๋าไขว่ซือ เข้ามาจากด้านนอกสำนัก คาดว่าเขาคงเพิ่งกลับจากด้านนอกและมาถึงสำนักตู้เซียน เมื่อเขากลับไปที่ยอดเขาเซียนหลิน เขาก็มองไปในทิศทางของยอดเขาหยกน้อยสี่ครั้งด้วยดวงตาเย็นชา

หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วจึงหยิบใบไผ่มาจดรายละเอียดเหล่านี้เอาไว้

นักพรตเต๋า ‘ไขว่ซือ'[2]

นักพรตเต๋าที่กำลังจะตาย?

และนับตั้งแต่เขารู้ชื่อนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เริ่มเตรียมการแก้แค้นให้อาจารย์ของเขาแล้ว

ที่ภายนอกสำนัก มีตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ‘สวรรค์’ สองตัวเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาโดยมียาพิษที่มากพอจะสามารถสังหารเซียนเทียนได้ถึงยี่สิบคน

หลี่ฉางโซ่วสามารถทำงานหลายอย่างไปพร้อมๆ กันได้เป็นเวลานาน ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาที่จะแบ่งพลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาเพื่อแบ่งความคิดจิตใจในขณะที่เพ่งความสนใจและเฝ้าติดตามไปที่ยอดเขาเซียนหลินตลอดเวลา

ทว่าสิ่งที่ทำให้หลี่ฉางโซ่วต้องเป็นกังวลคือ…นับตั้งแต่อาจารย์ของเขาอ่านถ้อยคำทั้งสิบหกคำนั้น เขาก็ไม่เคยออกจากกระท่อมมุงจากอีกเลย

หากหลี่ฉางโซ่วไม่ได้สัมผัสถึงสภาพของอาจารย์ของเขา เกรงว่าเขาก็คงจะทำลายค่ายกลและเข้าไปในค่ายกลเพื่อตรวจสอบนานแล้ว

แต่เขาไม่อาจละเลยการฝึกฝนของตัวเองเพื่อเฝ้าตามสังเกตอย่างเดียวได้

หลี่ฉางโซ่วยังคงหลอมโอสถ อ่านตำรา ฝึกฝน ทำความเข้าใจให้รู้แจ้ง สั่งสอนศิษย์น้องหญิงของเขา และออกไปที่ด้านนอกบ้านของอาจารย์ของเขาเป็นประจำเพื่อทักทายและพูดคุยกับเขา

แล้วสิบสองปีก็ผ่านไปในชั่วพริบตา นักพรตเต๋าไขว่ซือได้เข้าปิดด่านฝึกฝนอยู่ในเคหาสน์ถ้ำของเขาเอง

นักพรตเต๋าผู้นี้คงไม่รู้ว่า ในขณะนี้ มีคนแอบมองผ่านค่ายกลแยกตัวที่อยู่นอกถ้ำของเขามานานแล้ว และพลังสัมผัสเซียนรับรู้นั้นได้จ้องมองเขามานานกว่าสิบปีโดยไม่ได้ย้ายออกไปเลย

แม้นักพรตเต๋าไขว่ซือจะรู้สึกเลือนรางว่ามีคนเฝ้าดูเขาอยู่ แต่เขาก็…เคยชินกับมันหลังจากผ่านไปกว่าสิบปี

เป็นเรื่องปกติที่เซียนเสิ่นจะปิดด่านฝึกฝนเป็นเวลาหลายสิบหรือหลายร้อยปี ซึ่งหากอีกฝ่ายไม่ขยับ หลี่ฉางโซ่วก็จะไม่เคลื่อนไหวเช่นกัน

แต่หลี่ฉางโซ่วก็ไม่คิดว่าเขาว่าจะได้รับข่าวใดก่อนที่จะไปเยือนไขว่ซือ

เนื่องจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับสำนักตู้เซียนในครั้งก่อน สำนักจึงต้องการบรรเทาแรงกดดันต่อบรรดาศิษย์และเลือกผู้ที่โดดเด่นเพื่อเข้าร่วมการประชุมแหล่งกำเนิดสามสำนักบำเพ็ญเต๋า…

ขณะนี้การแข่งขันภายในสำนักซึ่งจะจัดทุกๆ สองร้อยปี จะถูกจัดขึ้นล่วงหน้าในอีกสามปีหลังจากนี้…

[1] เป็นเพลงดังของนักร้องชาวไต้หวัน ชื่อเพลงอี้เจี่ยนเหมย หรือเหมยกิ่งหนึ่งของนักร้องนาม เฟ่ยอวี่ชิง

[2] ไขว่ซือ ในภาษาจีน แปลว่าใกล้ตาย