“การแข่งขันภายในสำนัก…”
ในขณะนั้น มีฝนเริ่มตกปรอยๆ บนยอดเขาหยกน้อย
หลี่ฉางโซ่วปรุงยาในหอโอสถเสร็จสิ้นแล้วก็มุ่งหน้าไปยังกระท่อมมุงจาก เขากำลังคิดถึงงานใหญ่นี้ซึ่งเขาและศิษย์น้องหญิงน้อยของเขาไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ยามนี้เขาครองขอบเขตพลังอยู่ในคืนกลับเต๋าวิถีขั้นที่หนึ่ง และอันดับศิษย์ของเขาในสำนัก ยังคงอยู่ที่มากกว่ายี่สิบอันดับแรก
สำหรับในสำนัก เขาเป็นต้นกล้าอมตะนอกรีตที่แหวกแถวผิดทาง เขาชอบการหลอมโอสถและการจัดวางค่ายกล
แต่สำหรับหลี่ฉางโซ่วนั้น ตำแหน่งนั้นถูกต้องเหมาะสมแล้ว เขาไม่ได้มีตัวตนมากนัก แต่ยังสามารถได้รับการการปฏิบัติดูแลดีขึ้นในสำนักอีกด้วย
เขายังคงวางเสี้ยวพลังสัมผัสเซียนรับรู้เพื่อเฝ้าติดตามดูนักพรตเต๋าไขว่ซือซึ่งเข้าปิดด่านฝึกฝนอยู่บนยอดเซียนหลิน หลี่ฉางโซ่วจึงเพ่งความสนใจส่วนใหญ่กลับไปสู่เรื่องเล็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าเขา…
“ได้เวลาส่งตัวอันตรายแล้ว” โหย่วฉินเสวียนหย่าเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้ และเขารู้สึกว่านางยังไม่ควรจากไป
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ เวลาที่โหย่วฉินเสวียนหย่ามาที่ยอดเขาหยกน้อยกลายเป็นเวลาประจำสม่ำเสมอแล้ว
นั่นคือ ทุกๆ สองปี นางจะมาปรากฏตัวที่ยอดเขาหยกน้อยตรงเวลา
ประหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำอย่างเป็นทางการทุกๆ สองปี เพื่อรักษามิตรภาพเอาไว้
อีกประการหนึ่งคือ เป็นเพราะนางไม่ได้พบศิษย์พี่มาเป็นเวลานาน ลึกๆ หัวใจจึงรู้สึกว่างเปล่าเล็กน้อย
นางรู้สึกว่าศิษย์พี่ฉางโซ่วเป็นแบบอย่างให้นางได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง นางต้องมองดูเขาบ่อยๆ เพื่อจะได้รู้ว่านางกำลังหลงทางไปหรือไม่…
แต่ทุกครั้งที่นางไปเยี่ยม หลี่ฉางโซ่วก็จะหลีกเลี่ยงพบนางและปล่อยให้หลิงเอ๋อร์พูดคุย เล่น และดื่มชากับนางแทน
หลี่ฉางโซ่วจะปรากฏกายเพื่อเอ่ยสองสามคำและบอกลานางก็ต่อเมื่อโหย่วฉินเสวียนหย่ากำลังจะลากลับไปที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์เพื่อเข้าปิดด่านฝึกฝนต่อไปเท่านั้น
ด้วยวิธีนี้ โหย่วฉินเสวียนหย่าจะรู้สึกว่าการเดินทางมาเยี่ยมเยือนของนางเสร็จสมบูรณ์และไม่สูญเปล่าแล้ว และเมื่อนางกลับไป ก็จะไม่หันกลับมามองอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในขณะนี้ บนท้องฟ้า มีฟ้าครึ้ม เมฆคล้อยที่ค่อยๆ ลอยขึ้น
หลี่ฉางโซ่วรีบเดินไปที่ทะเลสาบ และนำอาหารปลาโปรยลงไปในทะเลสาบ
เมื่อมองออกไป ภูเขาที่อยู่ในระยะไกลก็ถูกบดบังเอาไว้จากสายตา และมีระลอกคลื่นน้ำในพื้นผิวน้ำบริเวณใกล้เคียง
ในกระท่อมมุงจากที่อยู่ด้านหลังเขา ซึ่งอยู่ในค่ายกลสองชั้น มีถ้วยและจานเลอะเทอะเกลื่อนกลาดไปทั่ว ในเวลานี้ งานเลี้ยงสิ้นสุดลงไปนานแล้ว ขณะที่ร่างงดงามทั้งสามร่างกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงของหลิงเอ๋อร์…
ตำแหน่งพิเศษของโหย่วฉินเสวียนหย่าที่นอนหลับสนิทอยู่ ยังคงอยู่ที่ปลายเตียง ส่วนหลิงเอ๋อร์นอนตะแคงหลับอยู่ด้านหนึ่งในขณะที่จิ่วจิ่วนั่งอยู่ข้างเตียงพร้อมกับกอดไหสุราของนางเอาไว้
ทั้งสามคนมีใบหน้าสีแดงแต่งแต้มซึ่งทาสีได้แย่มากเพื่อให้ดูตลก จิ่วจิ่วมีใบหน้าแดงก่ำและแย่ที่สุด แน่นอนว่า เมื่อวานนี้ นางพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถที่สุด ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วเหลือบมองไปที่ขอบเขตพลังของโหย่วฉินเสวียนหย่า…
นางอยู่ในขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีขั้นหก ซึ่งยังคงอยู่ห่างไปอีกสามขั้นก่อนจะเข้าถึงการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ของนาง
เวลานี้ หลี่ฉางโซ่วกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ของโหย่วฉินเสวียนหย่า
เมื่อพิจารณาจากคุณสมบัติของโหย่วฉินเสวียนหย่าในขณะนี้ ทัณฑ์สวรรค์ของโหย่วฉินเสวียนหย่าน่าจะมีสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์อย่างน้อยเจ็ดหรือแปดสาย
อย่างไรก็ตาม ระดับการฝึกฝนเต๋าของโหย่วฉินเสวียนหย่ายังค่อนข้างต่ำ หากนางเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์อย่างที่เขาประสบ บางทีนางอาจจะ…
แม้โหย่วฉินเสวียนหย่าจะไม่ได้ ‘ให้ประโยชน์’ แก่เขามากมายนัก แต่ก็ยังนับว่า นางเป็นกึ่งสหาย…
ข้าจะมอบการตระเตรียมการที่ทำเอาไว้สำหรับการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ของหลิงเอ๋อร์ให้แก่นางหนึ่งในสิบส่วน
หลี่ฉางโซ่วยิ้มเล็กน้อยในใจ เมื่อสังเกตอาการของท่านอาจารย์ในขณะที่จ้องมองไปที่ศัตรูของเขา
เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองนางแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกในใจว่ามันไม่ยุติธรรมเล็กน้อย
เวลานั้น หลิงเอ๋อร์เคยได้ยินเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่าง ‘ศิษย์พี่ฉีฉี’ และ ‘ศิษย์พี่เยี่ยนเอ๋อร์’ ในขณะนั้น นางได้ถามไปรอบๆ และพบข่าวลือบางอย่างของท่านอาจารย์ และนักพรตเต๋าไขว่ซือ
ในข่าวลือนั้น ท่านอาจารย์ และนักพรตเต๋าไขว่ซือมีความขัดแย้งกันในเรื่องคู่บำเพ็ญเต๋า จากนั้น พวกเขาทั้งสองจึงต่อสู้กันเอง
แต่อาจารย์ลุงจิ่วอูได้กล่าวถึงเรื่องการลอบมาโจมตีก่อนหน้านี้
จากการสืบสวนลับ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาของหลี่ฉางโซ่ว ตลอดจนข้อมูลที่เขาได้รับมาจากอาจารย์ของเขา เขาได้ค้นพบเรื่องราวเดิมไม่มากก็น้อย…ราวหนึ่งพันปีก่อน ปรมาจารย์แห่งยอดเขาหยกน้อยรับศิษย์สองคน เมื่อระดับการฝึกฝนของศิษย์อยู่ในวิถีที่ถูกต้องแล้ว เขาก็ออกไปท่องทั่วโลกเพื่อแสวงหาความก้าวหน้า
บัดนั้น ศิษย์พี่หญิงว่านเจียงอวี่ และศิษย์น้องฉีหยวนจึงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ย้อนกลับไปในเวลานั้น พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นต้นกล้าอมตะของบรรดาศิษย์ในรุ่นนั้น ว่านเจียงอวี่อยู่ในอันดับที่แปดหรือเก้า และฉีหยวนอยู่ในอันดับที่สี่หรือห้า
ทั้งสองคนเป็นคู่เหมยม้าไม้ไผ่ในสภาพแวดล้อมของสำนักตู้เซียนที่ทุกคนล้วนมีคู่บำเพ็ญเต๋า ซึ่งแน่นอนว่า พวกเขาทั้งสองมีความรู้สึกต่อกันและแอบรักกัน
หลังจากนั้น ไขว่ซือซึ่งเป็นต้นกล้าอมตะของ ยอดเขาเซียนหลินเกิดตกหลุมรักว่านเจียงอวี่ตั้งแต่แรกเห็น เขาขอร้องให้นางรับรักเขามานานกว่าสิบปี แต่ก็ไร้ผล ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนเป็นความโกรธและหันไปโทษฉีหยวน เขาแอบยั่วยุฉีหยวน และในท้ายที่สุด ฉีหยวนก็ออกไปต่อสู้กับเขา แต่ความจริงแล้ว เขาแอบลอบโจมตีและทำร้ายฉีหยวนจนได้รับบาดเจ็บสาหัส…
ดังนั้น ว่านเจียงอวี่จึงออกไปค้นหาสมุนไพรเพื่อให้ฉีหยวน
ส่วนข่าวลือที่หลิงเอ๋อร์ ได้ยินมาครั้งแรกนั้นก็คือ ว่านเจียงอวี่โกรธที่นางถูกทำเหมือนเป็นสิ่งของและถือเป็น ‘สมบัติ’ ที่จะถูกผู้บำเพ็ญชายต่อสู้แย่งชิงกัน นางจึงออกจากสำนักเพื่อไปตามหาอาจารย์ของนาง ในขณะที่ฉีหยวนและไขว่ซือต่อสู้กัน แต่ฉีหยวนพ่ายแพ้จนได้รับบาดเจ็บสาหัส
นี่เป็นข่าวจากยอดเขาเซียนหลิงที่ถูกเผยแพร่ออกมาในปีนั้น ซึ่งเอนเอียงเข้าข้างไปทางไขว่ซือ
ย้อนกลับไปในยามเริ่มต้นนั้น อาจารย์ป้าว่านเจียงอวี่และท่านอาจารย์ของเขาล้วนโดดเดี่ยวและไร้หนทาง ในขณะที่ไม่มีผู้อาวุโสหรือเซียนคนใดในยอดเขาหยกน้อย และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทนกล้ำกลืนขมขื่นกับมัน
ขณะนี้…
อาจารย์ป้าว่านเจียงอวี่เสียชีวิตอย่างน่าเศร้าในดินแดนเทวะอุดร และโชคดีที่วิญญาณที่เหลืออยู่ของนางได้ไปเกิดใหม่ในในสังสารวัฏหกวิถี
รากฐานเต๋าของฉีหยวนได้รับความเสียหายและเขาต้องต่อสู้ดิ้นรนมาเป็นเวลาแปดถึงเก้าร้อยปี ความจริงแล้ว เขาน่าจะตายภายใต้การข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ แต่เขาก็ได้รับการช่วยเหลือจากโอสถของศิษย์คนโตของเขา หลี่ฉางโซ่ว
เรื่องนี้ทำให้หลี่ฉางโซ่วรู้สึกโกรธเล็กน้อย ซึ่งไม่ใช่เพียงเพราะว่าไขว่ซือน่ารังเกียจและไร้ยางอาย แต่เพราะเขาผ่านประสบการณ์กับคนเช่นนี้มานานแล้วในชีวิตก่อนหน้านี้
ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้ทำให้หลี่ฉางโซ่วโกรธ
ประการแรก การลงทัณฑ์ของสำนักหลังจากตรวจสอบเหตุการณ์นั้น กลับอยู่บนหลักการของมองข้ามเรื่องใหญ่แล้วทำให้ดูกลายเป็นเรื่องเล็ก และหลีกเลี่ยงปัญหาในขณะที่ยอดเขาเซียนหลินได้ช่วยปกป้องไขว่ซือเอาไว้ได้ ตอนนี้ ไขว่ซือเคร่งขรึมและมีจิตวิญญาณที่สูงส่ง เขามีคู่บำเพ็ญเต๋าและมีแผนกลายเป็นเซียนเทียน พร้อมกับฝึกฝนเพื่อแสวงหาอมตะและหวังว่าจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป ในขณะที่ท่านอาจารย์ของเขาสามารถไปถึงได้สูงที่สุดคือที่เซียนเสิ่นเท่านั้น
ประการที่สอง อาจารย์ป้าว่านเจียงอวี่ถูกยอดเขาเซียนหลินบังคับให้อยู่ในสภาพเช่นนั้นจนรู้สึกอับจนหนทางมากเพียงใด มีเซียนจำนวนมากมายในสำนัก แต่นางกลับต้องไปดินแดนเทวะอุดรเพียงลำพังคนเดียว…
แต่มันไม่สำคัญ
หากสำนักไม่ลงโทษผู้กระทำความผิด เขาซึ่งเป็นศิษย์ของฉีหยวนก็จะแสวงหาความยุติธรรมแทนท่านอาจารย์ของเขาเอง!
มีความตึงเครียดและความขัดแย้งระหว่างยอดเขาอยู่แล้ว และนั่นคือข้อสรุปที่หลี่ฉางโซ่วได้รับหลังจากการสังเกตมานับจากเข้ามาสู่สำนัก
ดังนั้นเขาจึงไม่จงใจมุ่งไปที่ยอดเขาเซียนหลิน ทั้งนี้ อย่างมากที่สุด เขาก็จะลอบโจมตีในระหว่างการแข่งขันภายในสำนักเมื่อได้พบกับศิษย์ของยอดเขาเซียนหลิน
บัดนี้ ข้าแค่ต้องการให้เจ้าเคลื่อนไหวเท่านั้น
หลี่ฉางโซ่วหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะจ้องมองไปที่ยอดเขาเซียนหลินที่ปกคลุมไปด้วยสายฝนและหมอก แล้วมองดูร่างที่กำลังนั่งสมาธิในส่วนลึกของเคหาสน์ถ้ำ
“ศิษย์พี่? ท่านมาที่นี่เมื่อใดกันเจ้าคะ”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงเรียกจากด้านหลังเบาๆ หลี่ฉางโซ่วหันกลับไปมอง แล้วก็เห็นหลิงเอ๋อร์กำลังเดินออกมาจากกระท่อมมุงจาก
นางใช้นิ้วสางเส้นผมที่ยาวสลวยอ่อนนุ่มของนาง ใบหน้างดงามของนางแดงก่ำเล็กน้อยเพราะเพิ่งตื่นนอน ขณะแย้มยิ้มให้หลี่ฉางโซ่ว ในขณะที่ร่างอีกสองร่างก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นในกระท่อมมุงจากด้านหลังของเขา…
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วพลันแย้มยิ้มเล็กน้อยให้หลิงเอ๋อร์
ย้อนกลับไปในเวลานั้น อาจารย์ป้าว่านเจียงอวี่ไม่สามารถปกป้องศิษย์น้องของนางได้ และไม่มีผู้ใดก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อยืนหยัดให้กับยอดเขาหยกน้อยเลย
แต่ในเวลานี้ มันจะไม่เป็นเช่นนั้น
…