ตอนที่ 115.2 สหายเต๋า เส้นทางนี้ช่างแคบนัก (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

หลังจากนั้นเพียงไม่นาน

“เชอะ!.. เสี่ยวฉางโซ่ว หลิงเอ๋อร์น้อย ในการแข่งขันภายในของสำนักครั้งนี้เจ้าวางแผนว่าจะได้อันดับที่เท่าใดเมื่อเข้าประลองในนามของยอดเขาหยกน้อย” อาจารย์อาจิ่วจิ่วเอนตัวพิงกรอบประตูกระท่อมมุงจากพลางกอดอกขณะเอ่ยถามขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง

หลิงเอ๋อร์กะพริบตาแล้วมองไปที่ศิษย์พี่ของนาง

โหย่วฉินเสวียนหย่าที่กำลังจัดเสื้อผ้าของนางให้เรียบร้อยภายในห้องอย่างประหม่า ทันใดนั้นก็ยืนเขย่งปลายเท้าและมองออกไปข้างนอก

เห็นได้ชัดว่าพวกนางทั้งหมดล้วนเป็นกังวลอย่างมากเกี่ยวกับ ‘ความมุ่งมาดปรารถนา’ ของหลี่ฉางโซ่ว

หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เดิมทีเขาอยากจะบอกว่าเขาสามารถต่อสู้เพื่อติดอันดับห้าสิบอันดับแรกได้ก็เพียงพอแล้ว หากเขาสามารถได้รับรางวัลส่วนใหญ่ของสำนักได้ มันก็ไร้ประโยชน์ที่จะต่อสู้เพื่อเข้าสู่ยี่สิบอันดับแรก

แต่เพื่อความปลอดภัย เขาจึงลังเลเล็กน้อยก่อนจะบอกอันดับที่เขาคาดหวังเอาไว้

“รับรองว่าข้าจะได้ที่ไม่เกินหนึ่งร้อยแปดแน่นอน แต่ตั้งเป้าจะต่อสู้เพื่อให้ได้อยู่ในเจ็ดสิบสองอันดับแรก…ไปกันเถิด”

ฉับพลันนั้น พร้อมด้วยเสียงดังพรืด หลิงเอ๋อร์ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นทันที

จิ่วจิ่วกลอกตาในทันใดขณะที่โหย่วฉินเสวียนหย่าที่เพิ่งรัดสายคาดเอวของนางก็พลันขมวดคิ้วเล็กน้อย

ชั่วขณะนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าพลันแอบคิดในใจว่า ไม่ว่าจะอย่างไร ศิษย์พี่ฉางโซ่วก็เก่งกาจอย่างยิ่งในทุกๆ ด้าน เพียงแต่ว่า เขาถ่อมตัวและขาดความมั่นใจในตนเองมากเกินไป

ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยออกไป จู่ๆ อาจารย์อาน้อยก็สบถด่าออกไปทันที

“เสี่ยวฉางโซ่ว หวังให้มันมากกว่านี้หน่อยได้หรือไม่! เวลานี้ ทุกคนในยอดเขาพิชิตสวรรค์ล้วนรู้ว่าข้าสนิทกับเจ้า! หากอันดับในการแข่งขันภายในสำนักของเจ้าต่ำเกินไป ข้าก็เสียหน้า และอับอายสุดๆ!”

หลิงเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ ขณะที่รู้ว่าศิษย์พี่ของนางได้ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์บรรลุเซียนไปแล้ว จึงไม่กังวลเรื่องผลงานของเขาในการแข่งขันของสำนักเลย…

“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว”

โหย่วฉินเสวียนหย่าเดินออกมาจากกระท่อมมุงจากพลางจ้องมองไปที่หลี่ฉางโซ่วแล้วกล่าวว่า

“ยังมีเวลาอีกสามปีก่อนถึงการแข่งขัน และเมื่อเร็วๆ นี้ ข้าก็พบกับอุปสรรคบางอย่างในระหว่างการฝึกฝน เช่นนั้นแล้วข้ามาอีกสักสองสามครั้งได้หรือไม่ เราจะได้แลกเปลี่ยนทักษะกันและปรับปรุงความสามารถซึ่งกันและกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อกันได้อีกด้วย”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและตอบว่า “ศิษย์น้องหญิงโหย่วฉินเพียงแค่มุ่งเน้นไปที่การฝีกฝนของเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะฝึกฝนให้หนักและน่าจะสามารถไปถึงขอบเขตเทียนกังได้”

“ก็น่าจะเป็นไปได้!”

จิ่วจิ่วพ่นลมหายใจออกมา แต่ก็ยังไม่ค่อยพอใจนัก แล้วกล่าวต่อว่า “จำนวนศิษย์ในสำนักจะได้รับการยืนยันในทุกๆ สองร้อยปี คราวนี้ การแข่งขันภายในของสำนักมีความสำคัญมาก มันจะตัดสินว่า เจ้าจะสามารถฝึกฝนอยู่ในสำนักต่อไปได้ในอนาคตหรือไม่ หลิงเอ๋อร์อยู่ในสำนักมาเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่เจ้าอยู่ในสำนักมานานกว่าร้อยปีแล้ว เจ้าต้องตั้งเป้าให้อยู่ในสามสิบหกอันดับแรก!”

“ท่านอาจารย์อา ท่านสั่งสอนได้ถูกต้องแล้วขอรับ!”

หลี่ฉางโซ่วโค้งคารวะให้อย่างเคร่งขรึมพลางสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “คราวนี้ ข้าจะกล้าหาญมากขึ้น ข้าจะคว้าไม่เกินอันดับที่เจ็ดสิบสองอย่างแน่นอน แต่จะตั้งเป้าต่อสู้เพื่ออันดับที่สามสิบหก!”

จิ่วจิ่วรับรู้ได้ทันทีและยกนิ้วหัวแม่มือให้หลี่ฉางโช่วพลางกล่าวว่า “แม้สำนักจะไม่อนุญาตให้ใช้ยาพิษ ยาสลบ และค่ายกลในระหว่างการแข่งขันภายในสำนัก แต่เจ้าต้องทำได้อย่างแน่นอนหากเจ้าลงมือทุ่มสุดตัว!”

ในขณะนั้น ที่ด้านข้างของนาง หลิงเอ๋อร์เอามือไพล่หลังไว้ขณะแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า…“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว” ทันใดนั้น โหยวฉินเสวียนหย่าก็ก้าวออกไปข้างหน้าครึ่งก้าวเช่นกัน ดวงตางดงามของนางเปล่งประกายเจิดจ้าพลางกล่าวออกมาว่า “ศิษย์พี่ ท่านคาดหวังอันใดจากข้าหรือไม่” “ในฐานะหัวหน้าศิษย์ เจ้าย่อมต้องทำ…”

หลี่ฉางโซ่วชะงักงันด้วยรู้สึกว่าคำพูดของเขาอาจกดดันโหย่วฉินเสวียนหย่าอย่างมาก ดังนั้นจึงเปลี่ยนใจพร้อมกับเปลี่ยนคำพูดของเขาว่า “ต่อสู้เพื่อสามอันดับแรก”

“เพ้ย!”

จิ่วจิ่วแค่นเสียงย็นชาขณะตัวสั่นเล็กน้อยและเผยท่าทีดุร้าย

นางกล่าวอย่างดุดันว่า “เสวียนหย่าต้องต่อสู้เพื่อตำแหน่ง นั่นเป็นวิธีเดียวที่นางจะสามารถพิสูจน์ตัวเองว่าคู่ควรกับการเป็นหัวหน้าศิษย์จริงๆ” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “การต่อสู้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขอบเขตพลังเท่านั้น แต่ความสามารถในการโต้ตอบทันทีในยามคับขัน พลัง ทักษะเวท และจำนวนสมบัติมักส่งผลต่อการผลงานด้วยเช่นกัน และผลกระทบของทั้งสามอย่างหลังนั้น ยังทรงอิทธิพลยิ่งใหญ่กว่าอีกด้วย…”

ขณะที่กล่าว จู่ๆ หลี่ฉางโซ่วก็ชะงักไปเล็กน้อย

ชั่วขณะนั้น พลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาตรวจจับได้ว่านักพรตเต๋าไขว่ซือแห่งยอดเขาเซียนหลินลุกขึ้นยืนและเดินออกจากเคหาสน์ถ้ำแล้ว

มีศิษย์รุ่นเยาว์สามคนยืนอยู่ด้านนอกเคหาสน์ถ้ำ และรายงานให้เขารู้เรื่องการแข่งขันภายในสำนัก…ความคิดของ หลี่ฉางโซ่วพลันโลดแล่นฉับไวในใจขณะยังคงสงบและแย้มยิ้มออกมา

“หากเจ้าไม่ว่าอะไร เหตุใดไม่มาที่นี่พรุ่งนี้แล้วเรามาแลกเปลี่ยนทักษะกันสักสองสามวันดีกว่าหรือไม่”

โหย่วฉินเสวียนหย่าพลันยิ้มและกล่าวออกมาทันทีว่า “เช่นนั้น พรุ่งนี้เช้าข้าจะมาหา”

“ข้าจะรอเจ้า ศิษย์น้องหญิง”

หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่ว และโหย่วฉินเสวียนหย่าต่างก็โค้งคำนับแล้วยิ้มให้กันและกัน

โหย่วฉินเสวียนหย่าไม่คิดอันใดในเรื่องนี้มาก นางเพียงมีความสุขอย่างยิ่งจริงๆ เท่านั้น

แต่หลี่ฉางโซ่วใคร่ครวญในเรื่องนี้ และคิดว่าหากนักพรตเต๋าไขว่ซือกำลังจะออกไปในคราวนี้ เช่นนั้นก็…

พยานคนแรกที่เป็นข้อแก้ตัวให้เขาได้ปรากฏขึ้นแล้ว

จากความเข้าใจของหลี่ฉางโซ่วที่มีต่อคนสามคนที่อยู่ข้างหน้าเขา พยานคนที่สองที่สามารถที่เป็นข้อแก้ตัวของเขาจะรีบกระโดดออกมาด้วยตัวเองในไม่ช้า “หากเป็นเช่นนั้น!” “แค่กๆ!”

ทันใดนั้น จิ่วจิ่วไพล่มือเอาไว้ด้านหลังและก้าวไปข้างหน้าสองก้าวราวปรมาจารย์ “เช่นนั้น ข้าจะให้คำชี้แนะแก่เจ้าสักสองสามวัน เพราะข้าเป็นอาจารย์อาของเจ้า”

จากนั้น นางก็กล่าวต่อว่า “อย่าลืมเตรียมของขวัญของเจ้าให้ข้าด้วยเล่า ข้าอยากได้…ยาเม็ดถั่วหวานหนึ่งร้อยเม็ดและสุราชั้นดีสิบไห!”

หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้มทันที

ในขณะนั้น ฉีหยวนที่ดูซีดเซียวเล็กน้อยยืนอยู่หน้าประตูกระท่อมมุงจากของเขา เมื่อเขาได้ยินเสียงหัวเราะด้านนอก ริมฝีปากของเขาก็หยักยิ้มพอใจพลางยกมือขึ้นแล้วลดมือลงไปอีกครั้ง

หลังจากนั้น นักพรตเต๋าชราฉีหยวนก็หันกลับไปนั่งขัดสมาธิและฝึกฝนบนเบาะนั่งสมาธิต่อไป และแน่นอนว่า หลี่ฉางโซ่วเห็นภาพนั้น เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและคิดแผนขึ้นมาในทันใด…

แม้การแก้แค้นจะมีความสำคัญ แต่ก็ย่อมมีความสำคัญเทียบเท่ากับการทำให้อาจารย์ของเขาได้ฟื้นตัวพร้อมกับมีกำลังใจ แล้วสนุกกับชีวิตที่เหลืออยู่ของเขา

ทว่าในท้ายที่สุด หลี่ฉางโซ่วก็ไม่ได้ไปหานักพรตเต๋าไขว่ซือเพื่อระบายความโกรธของเขา

เขาแค่รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมต่ออาจารย์ของเขา

และนักพรตเต๋าไขว่ซือก็ไม่ทำให้หลี่ฉางโซ่ผิดหวัง

นักพรตเต๋าเซียนเสิ่นซึ่งฝึกฝนอยู่บนภูเขามากว่าสิบปีได้สัญญากับเหล่าศิษย์ของเขาว่า ก่อนการแข่งขันครั้งใหญ่นี้ พวกเขาแต่ละคนจะได้รับอาวุธเวทชั้นยอด

ดังนั้นในวันรุ่งขึ้น นักพรตเต๋าไขว่ซือจึงออกจากภูเขาและมุ่งหน้าไปยังเมืองฟางที่เขาคุ้นเคยทางตอนเหนือ

แน่นอนว่า หลี่ฉางโซ่วจะไม่ปล่อยโอกาสที่เขารอคอยมาเป็นเวลานานกว่าสิบปีนี้ เขาปล่อยตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์สองตัวให้เริ่มเดินทางออกไปพร้อมกันโดยนำตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์สำรองไปด้วย

นักพรตเต๋าไขว่ซือบินไปข้างหน้าในขณะที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์แอบตามเขาไปอย่างลับๆ โดยใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย และหลังจากติดตามเขาไปสองวัน พวกมันก็ไปถึงเมืองเล็กๆ ใกล้พรมแดนของดินแดนเทวะอุดร และแน่นอนว่า หากต้องทำการโจมตี จะต้องให้อยู่ห่างจากสำนักตู้เซียนให้มากที่สุด

ที่นั่นค่อนข้างคึกคักซึ่งเต็มไปด้วยทั้งปีศาจและมนุษย์ปะปนกัน และมีคนจำนวนมากที่ทำงานอย่างหนักเพื่อหารายได้

หลังจากครุ่นคิดบางอย่างสักพักแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็เริ่มดำเนินการตามแผนที่สอง

เมื่อเวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม…

ในขณะที่นักพรตเต๋าไขว่ซือกำลังเลือกอาวุธเวทบางอย่างที่มีต้นกำเนิดที่ไม่รู้จักสำหรับศิษย์ของเขา ในร้านอาวุธเวทที่เขาคุ้นเคยดี ทันใดนั้นเขาก็เห็นร่างที่คุ้นเคยเดินมาจากมุมถนน

นักพรตเต๋าผู้นี้ผงะงันไปครู่หนึ่ง แล้วแผ่พลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาตามร่างนั้นไปทันทีในขณะที่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน

ร่างนั้นสวมเสื้อคลุม แต่ใบหน้าและร่างกายของเขา…เหมือนกับร่างของนักพรตเต๋าไขว่ซือ!

แต่ขอบเขตพลังของเขาเพิ่งมาถึงระดับเซียนเสิ่น

แม้คนผู้นั้นจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อ ‘ก้าว’ ไปสู่ขอบเขตพลังเซียนเสิ่นระดับกลาง แต่ผู้ที่มีสายตาฉลาดปราดเปรื่องจะสามารถมองทะลุผ่านได้อย่างรวดเร็ว

นี่มัน…ช่างกล้าจริงๆ!

“กล้าดีอย่างไรถึงมาแอบอ้างเป็นข้าที่นี่ ช่างรนหาที่ตายจริงๆ” ในขณะนั้น นักพรตเต๋าไขว่ซือก็บอกเจ้าของร้านอาวุธเวทว่าจะกลับมาทีหลังแล้วรีบเดินออกจากร้านไปอย่างรวดเร็วในขณะที่ปกปิดลมปราณของเขาเอาไว้และแอบตามหลังไปอย่างลับๆ และจากนั้นไม่นาน เขาก็รีบออกจากเมืองฟางและขับเคลื่อนเมฆไล่ตามร่างนั้นไป

ในเวลาเดียวกันนั้น ที่ยอดเขาหยกน้อย

หลี่ฉางโซ่วมองโหย่วฉินเสวียนหย่าที่ดูสดใสและเปล่งประกายสะดุดตาอยู่ตรงหน้าเขาขณะผายมือเชื้อเชิญ “ศิษย์น้องหญิง เชิญเถิด…วันนี้อย่าลืมว่าไม่ต้องออมมือ ลงมือให้เต็มที่เลยนะ” ในขณะนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าก็เผยท่าทีจริงจัง นางโค้งคำนับหลี่ฉางโซ่ว และพุ่งไปข้างหน้าพร้อมด้วยกระบี่ของนางทันที