บทที่ 190 โสมปลอม

บทที่ 190 โสมปลอม

ท่านหมอหม่าถอนหายใจและพยักหน้า “ใช่แล้ว เขาเป็นหมอ และเขารู้เรื่องนี้ดี”

กู้เสี่ยวหวานมองคนที่นอนอยู่บนเตียงแล้วมองไปที่ท่านหมอหม่าอีกครั้ง หลังจากคิดถึงเรื่องนี้แล้วนางก็อ้อนวอน “ท่านหมอหม่า รบกวนท่านอย่าพูดถึงเรื่องนี้กับคนอื่นนะเจ้าคะ”

เนื่องจากความสามารถที่จำกัดของเขา ท่านหมอหม่าจึงไม่สามารถช่วยชีวิตคนผู้นี้ได้ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินกู้เสี่ยวหวานพูดเช่นนี้ เขาก็รู้ว่านางหมายถึงอะไร เขาจึงโบกมือและกล่าวอย่างอึดอัด “ไม่ต้องกังวล เสี่ยวหวาน ข้าเหล่าหม่าผู้นี้จะไม่ไปพูดไร้สาระกับผู้อื่นเด็ดขาด! แต่ข้าต้องการเตือนเจ้าว่าเราห้ามผู้อื่นมาทำร้ายเราไม่ได้ แต่ปกป้องตัวเราไม่ให้โดนทำร้ายได้ ชายผู้นี้พันแผลเรียบร้อยแล้วและลมหายใจตอนนี้ก็สม่ำเสมอแล้ว ที่เหลือก็ให้เป็นเรื่องของท่านหมอพาน ข้าขอตัว!”

“ตกลงเจ้าค่ะ ข้าจะไปส่งท่านหมอหม่า” กู้เสี่ยวหวานส่งท่านหมอหม่าออกไปจากประตู มองจนลับสายตา เมื่อหันหลังกลับก็ได้ยินเสียงเกวียนวัวที่กำลังใกล้เข้ามา

“ท่านพี่! พวกเรามาแล้ว!” กู้หนิงผิงตะโกนขณะที่ยังอยู่บนเกวียนวัว

เมื่อเกวียนวัวมาถึง กู้หนิงผิงก็กระโดดลงจากรถและช่วยพยุงท่านหมอพานลงไป ทั้งสองคนไม่ทักทายกันเพราะมีผู้ป่วยข้างในยังคงรอการรักษาอยู่ นี่คือชีวิตไม่ควรเพิกเฉย

กู้เสี่ยวหวานรีบคว้ามือท่านหมอพานและดึงเข้าไปข้างในพลางกล่าว “ท่านหมอพาน ท่านรีบมาดูเถอะเจ้าค่ะ ท่านหมอหม่าในหมู่บ้านของเราได้พันผ้าพันแผลให้ชายผู้นี้แล้ว!”

ท่านหมอพานมีสีหน้าจริงจังเมื่อรู้ว่าชายคนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส หมอล้วนมีใจของบิดามารดา*[1] ทั้งสองคนมาที่ประตู ท่านหมอพานผู้นี้ไม่ได้คิดอะไรและรีบตามมา ไม่คาดคิดว่าจะเป็นสาวน้อยที่มาขายโสมในคราวที่แล้ว

กู้เสี่ยวหวานไม่มีเวลาทักทาย ดังนั้นนางจึงพูดเข้าประเด็นเกี่ยวกับชายผู้นั้น

ท่านหมอพานวางกล่องยาลงและมองดูผู้ป่วยอย่างระมัดระวัง บาดแผลบนร่างกายของชายคนนั้นถูกพันด้วยผ้าพันแผลแล้ว ใบหน้าของชายคนนั้นซีดเผือดเพราะจากเสียเลือดมากเกินไป ตอนนี้ราวกับว่าเขาเหลือเพียงแค่ลมหายใจเท่านั้น

“ชายคนนี้ถูกแทงด้วยดาบจากหน้าอกทะลุด้านหลัง” กู้เสี่ยวหวานกล่าว เมื่อนึกถึงลักษณะที่บาดแผลที่สาหัส ในใจก็รู้สึกหวาดกลัว

“หนักขนาดนั้นเลยหรือ?” ท่านหมอพานแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยิน หากได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ ผ้าพันแผลธรรมดานี้ย่อมใช้ไม่ได้ผล

ท่านหมอพานถอดผ้าพันแผลของท่านหมอหม่าออก กู้เสี่ยวหวานยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ ถือตะเกียงน้ำมันสองอันในมือพร้อมที่จะช่วยเหลือทุกเวลา

ท่านหมอพานถอดผ้าพันแผลออก บาดแผลที่ถูกของแหลมคมแทงจากไหล่ขวาทะลุผ่านไปสะบักหลังจนสามารถมองทะลุผ่านซี่โครงไปได้

เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้เห็นอีกครั้ง มือและเท้าของนางก็อ่อนแรงลง นางไม่ค่อยได้เห็นเลือด แม้ว่ากู้เสี่ยวอี้จะได้รับบาดเจ็บครั้งที่แล้ว แต่ก็เป็นเพียงรอยถลอกเล็กน้อยเท่านั้น นางไม่เคยเห็นบาดแผลที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อน

แม้บาดแผลจะน่ากลัวมาก แต่กู้เสี่ยวหวานก็เข้าใจดีว่าการช่วยชีวิตคนเป็นสิ่งสำคัญในขณะนี้ นางจับตะเกียงน้ำมันทั้งสองไว้แน่น ไม่ขยับเลยสักพัก

ไม่ใช่ว่าท่านหมอพานไม่เคยเห็นแผลเช่นนี้ เขาเคยเห็นจนชินเสียแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงที่เห็นบาดแผลอันน่าสะพรึงกลัวกลับไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าหรือแสดงอาการกลัวเลย เขาจึงรู้สึกว่ากู้เสี่ยวหวานนั้นสงบนิ่งมาก

ท่านหมอพานเปิดกล่องยา หยิบสุราและแถบผ้าออกมา เขาจุ่มผ้าลงในสุราเพื่อล้างแผลที่เปิดอยู่ คนที่นอนอยู่บนเตียงส่งเสียงคร่ำครวญ ใบหน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษ

จากนั้นท่านหมอพานก็หยิบยาผงออกมาแล้วมัดด้วยแถบผ้า กู้เสี่ยวหวานดูเหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้จึงรีบหยุด “ท่านหมอพาน เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ!”

ท่านหมอพานหยุดการเคลื่อนไหวในมือและมองดูกู้เสี่ยวหวานอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้น?”

“แผลของคนผู้นี้ลึกเกินไป ถ้าพันด้วยผ้าธรรมดาคงรักษายาก ท่านเคยได้ยินไหมเจ้าคะว่าหากเย็บแผลแล้วแผลจะหายเร็วขึ้น?”

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ท่านหมอพานได้ยินคำกล่าวนี้ เขารู้สึกตื่นเต้นและสงสัยเล็กน้อย “ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน นี่……”

“ท่านมีไหมเย็บหรือไม่เจ้าคะ?” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยถาม “ท่านหมอพาน ท่านเป็นคนเย็บ เดี๋ยวข้าจะบอกวิธีให้เจ้าค่ะ”

“แต่นี่……”

“ท่านอย่ากังวล ด้วยวิธีนี้ แผลจะสมานเร็วกว่าใช้ผ้าพันแผล” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างหนักแน่น

เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานมั่นใจมาก ท่านหมอพานก็กระตือรือร้นที่จะลองทำ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเคยได้ยินว่ามีวิธีการทำแผลเช่นนี้

นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีวิธีรักษาบาดแผลเช่นนี้อยู่

ท่านหมอพานรู้สึกประหม่าและตื่นเต้น เขาหยิบเข็มและไหมเย็บออกจากกล่องยา ทำตามวิธีที่กู้เสี่ยวหวานบอก ก่อนนำเข็มลนไฟครู่หนึ่งแล้วจึงร้อยไหมเข้าไปให้สุด เย็บแผลเหมือนการเย็บเสื้อผ้า โรยยาผง และผูกปมให้แน่น

ไม่ต้องพูดถึงท่านหมอพาน แม้แต่ฉือโถวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ตะลึง เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นการเย็บบาดแผลเหมือนเย็บเสื้อผ้า กู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้หน้าซีดและไม่สามารถทนดูได้อีกต่อไป กู้หนิงผิงกอดกู้เสี่ยวอี้ไว้ในอ้อมแขนของเขาและกดศีรษะของกู้เสี่ยวอี้ไว้กับอกของตนเพื่อป้องกันไม่ให้นางเห็นฉากนองเลือดดังกล่าว

หลังจากทำเสร็จ ท่านหมอพานก็ถอนหายใจยาว เมื่อเห็นท่าทางที่สงบและดูมีประสบการณ์ของกู้เสี่ยวหวาน เขาเต็มไปด้วยความสงสัยเกี่ยวกับวิธีการจัดการกับบาดแผลนี้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องนี้

ท่านหมอพานหยิบซองยาออกมายื่นให้กู้เสี่ยวหวาน “แผลได้รับการรักษาแล้ว พวกเจ้าต้มยาห่อนี้แล้วป้อนให้เขาดื่ม น้ำเจ็ดชามต้มเป็นชามเดียว จะช่วยได้หรือไม่ก็รอดูว่าพรุ่งนี้เขาจะฟื้นหรือไม่! ถ้าพรุ่งนี้เขาฟื้นขึ้นมา นั่นแปลว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้ว”

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าและถอนหายใจยาว พวกเขาได้ทำในสิ่งที่ควรทำไปแล้ว เพื่อให้สิ่งนี้เกิดขึ้น พวกเขาได้ทำดีที่สุดแล้ว ตอนนี้ทำได้เพียงปล่อยไปตามโชคชะตา ไม่ว่าชีวิตของคนผู้นี้จะสามารถอยู่รอดได้หรือไม่ มันขึ้นอยู่กับตัวของเขาเอง

ทันใดนั้น ดูเหมือนท่านหมอพานจะพบอะไรบางอย่าง อ้าปากของชายคนนั้น และหยิบชิ้นโสมที่กู้เสี่ยวหว่านใส่เข้าไปออกมา

โสมอยู่ในปากของชายผู้นั้นมาระยะหนึ่งแล้ว ท่านหมอพานขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ยังมีอีกไหม?”

กู้เสี่ยวหวานคิดว่าเขาจะเปลี่ยนมันจึงรีบตอบว่ามี และหยิบชิ้นโสมที่เหลือทั้งหมดออกจากตู้ วางไว้ในมือของท่านหมอพาน “นี่คือทั้งหมดที่มีเจ้าค่ะ”

เมื่อท่านหมอพานเห็นว่าในผ้ามีโสมอยู่หลายชิ้น สีหน้าเขาดูแปลกประหลาดไป เขาหยิบชิ้นหนึ่งขึ้นมาดู ดม และเอาเข้าปากเพื่อชิมรสจนหมดความสงสัยในหัวใจ จากนั้นเขาก็มองย้อนกลับไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยใบหน้างงงวย “นี่คืออะไร?”

*[1] หมอล้วนมีใจของบิดามารดา หมายถึง แพทย์มีความคิดวิตกกังวลอย่างมากต่อผู้ป่วยจึงเปรียบเสมือนพ่อแม่ที่มีต่อลูกจึงตราตรึงในหัวใจพ่อแม่

………………………………………………………………………………………………………………………….