ตอนที่ 257 เรือนหลังไฟไหม้

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 257 เรือนหลังไฟไหม้

“โอกาสมาแล้ว!”

เมื่อรู้ว่าฮ่องเต้ทรงออกพระราชโองการให้แม่ทัพท้องถิ่นออกกองกำลังสยบกบฏ หลิวเป่าผิงก็รู้ว่าโอกาสมาถึงแล้ว

มันคือโอกาสที่ควรเคลื่อนไหวในปีนี้ที่เซียวอี้เคยเอ่ยถึง

เพียงแต่เซียวอี้มั่นใจได้อย่างไรว่าฮ่องเต้จะทรงออกพระราชโองการให้แม่ทัพท้องถิ่นออกกองกำลังสยบกบฏ

เขาได้ข่าวจากที่ใด

เกรงว่าคำพูดที่เขาพูดออกมาในเวลานั้น แม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าสักวันเขาจะออกพระราชโองการให้แม่ทัพท้องถิ่นออกกองกำลังสยบกบฏ

หรือชัยชนะครั้งใหญ่ของกองทัพเหนือจะเป็นแผนการตั้งแต่แรก

ผู้ใดเป็นผู้บงการในครั้งนี้

เซียวอี้?

หลิวเป่าผิงส่ายหน้า

เขาไม่เชื่อว่าเซียวอี้จะมีความสามารถในการควบคุมสงครามของกองทัพเหนือ รวมไปถึงการเคลื่อนไหวของตระกูลขุนนาง

มีเพียงคนเดียวที่จะทำได้

ท่านโหวผิงอู่ สืออุน!

มีเพียงท่านโหวผิงอู่ สืออุนจึงจะมีความสามารถในการควบคุมสงคราม อีกทั้งยังมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของตระกูลขุนนาง

หลิวเป่าผิงรับรู้ถึงอันตรายที่แอบซ่อนอยู่ในทันที

ท่านโหวผิงอู่ สืออุนวางแผนทุกสิ่งนี้ อีกทั้งยังควบคุมตระกูลขุนนางและฮ่องเต้ในเวลาเดียวกัน เขาต้องการทำสิ่งใด

เขาเรียกที่ปรึกษาคนสนิทเข้ามา

ทั้งสองคนปิดประตูวางแผนลับกันนับชั่วยาม

หลังจากนั้น ทหารม้าหลายสิบคนนำจดหมายของเขากับที่ปรึกษาออกจากเมืองหลวงมุ่งหน้าไปทางเหลียงโจว

หลิงฉางจื้อกำลังประลองกับเยียนอวิ๋นฉวน

ทั้งสองคนอารมณ์สุนทรีย์อย่างมาก

ประลองหลายครั้ง เนื่องจากเยียนอวิ๋นฉวนใจลอยจึงพ่ายแพ้อย่างอนาถ

เขาหัวเราะเยาะตัวเอง “วันนี้ใจข้าไม่นิ่ง ให้พี่ฉางจื้อเห็นเรื่องน่าอายแล้ว”

หลิงฉางจื้อเลิกคิ้วยิ้ม “พี่อวิ๋นฉวนใจไม่นิ่ง หรือจะได้รับอิทธิพลจากพระราชโองการของราชสำนัก หรือพี่อวิ๋นฉวนอยากกลับแคว้นซ่างกู่เพื่อนำทัพทำสงครามสยบโจรกบฏ สร้างความดีความชอบ”

เยียนอวิ๋นฉวนยกถ้วยชาขึ้นเพื่อปิดบังความในใจ

เขาพูดเสียงเรียบ “ข้าในฐานะขุนนางราชสำนัก หากไม่มีคำสั่งจากราชสำนัก ไม่อาจออกจากเมืองหลวงโดยพลการได้”

หลิงฉางจื้อหัวเราะ สายตาเสียดสี “พี่อวิ๋นฉวนอยากออกจากเมืองหลวง เพียงแค่ลาออกจากตำแหน่งราชการเท่านั้น เพียงแต่ตำแหน่งที่ได้มาอย่างยากเย็นนี้ พี่อวิ๋นฉวนคงไม่ยอมละทิ้งไปอย่างง่ายดาย แต่ท่านก็อยากสร้างความดีความชอบ เพื่อกดขี่เยียนอวิ๋นถงน้องของท่าน ช่างลำบากใจเสียจริง! ข้าพูดถูกหรือไม่”

เยียนอวิ๋นฉวนยิ้มเก้อ “ไม่มีเรื่องใดปิดบังพี่ฉางจื้อได้ ไม่รู้พี่ฉางจื้อมีคำแนะนำอย่างไร หากเป็นท่าน ท่านจะทำอย่างไร”

“ท่านโหวกว่างหนิง บิดาของท่านว่าอย่างไร”

“จดหมายของท่านพ่อ เกรงว่ายังไม่ออกจากพื้นที่โยวโจว”

หลิงฉางจื้อเงยหน้ามองเขา “พี่อวิ๋นฉวนสู้ถามตัวเองเสียดีกว่า ท่านต้องการสิ่งใดกันแน่ ปลากับอุ้งเท้าหมีไม่สามารถได้มาทั้งสองอย่างในสถานการณ์ทั่วไป หากท่านไม่อยู่รับราชการต่อในเมืองหลวงก็กลับโยวโจวไปนำทัพทำสงคราม เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าค่อนข้างกังวล”

“พี่ฉางจื้อเชิญพูด”

หลิงฉางจื้อยิ้มอย่างมีนัย “พี่อวิ๋นฉวนออกจากค่ายทหารมาหลายปี ท่านยังจำวิธีการทำสงครามได้หรือ ทหารในค่ายท่านยังนำไหวหรือ นายทหารเหล่านั้นจะยอมท่านหรือ”

สีหน้าของเยียนอวิ๋นฉวนอับอาย เขาตั้งสติก่อนพูด “พี่ฉางจื้อตักเตือนได้อย่างมีเหตุผล ข้าออกจากค่ายทหารมานานหลายปี หากกลับไปอีกครั้งย่อมมีปัญหามากมาย แต่หากมีการสนับสนุนจากท่านพ่อและท่านลุง ข้าเชื่อว่าจะสามารถกลมกลืนชีวิตในค่ายทหารได้อย่างรวดเร็วอีกครั้ง”

หลิงฉางจื้อส่ายหน้าช้าๆ “หากข้าอยู่ในจุดยืนของพี่อวิ๋นฉวน ข้าจะไม่กลับไป ในหลักการเดียวกัน หากข้าเป็นเยียนอวิ๋นถง หากท่านกลับไป ย่อมจะเอาชีวิตของท่าน ในสนามรบ หากต้องการให้ผู้ใดตายมีวิธีนับร้อยพัน พี่อวิ๋นฉวนเตรียมตัวรับมือกับธนูที่จะพุ่งมาด้านหลังแล้วหรือไม่”

เมื่อเยียนอวิ๋นฉวนได้ยินคำว่าธนู หลังของเขาก็เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ

เขาร้อนตัวเล็กน้อย “เยียนอวิ๋นถงไม่กล้าแทงข้างหลังข้า เขาไม่กล้าฆ่าข้า”

เมื่อหลิงฉางจื้อได้ยินจึงหัวเราะออกมา

เขาส่ายหน้าระรัว “พี่อวิ๋นฉวนเอ๋ยพี่อวิ๋นฉวน เหตุใดท่านจึงไร้เดียงสาเช่นนี้ ท่านมาเมืองหลวงกว่าสี่ห้าปีแล้ว ความทรงจำของท่านที่มีต่อเยียนอวิ๋นถงยังหยุดอยู่ที่สี่ห้าปีก่อน หลายปีนี้ ท่านพัฒนามาโดยตลอด แล้วเยียนอวิ๋นถงจะยังหยุดอยู่ที่เดิมหรือ

ท่านกำลังพัฒนา เขาก็กำลังพัฒนา ไม่มีท่านขัดขวางอยู่ด้านข้าง การพัฒนาของเขามีแต่จะรวดเร็วกว่าที่ท่านจินตนาการ อย่าได้ดูถูกคนที่ฝึกฝนทหารอยู่ทั้งปีอย่างเด็ดขาด เขาฆ่าคนเหมือนดื่มน้ำ ฆ่าท่านย่อมเป็นเช่นนั้น!”

สีหน้าของเยียนอวิ๋นฉวนซีดเผือดด้วยความอับอาย “ท่านพ่อกับท่านลุงย่อมจะระวังเขาเอาไว้”

“มีแต่เป็นโจรพันวัน ไม่มีป้องกันโจรพันวัน คนที่ตั้งใจวางแผนลอบทำร้ายคนที่ไม่มีเจตนา ท่านแพ้แน่!”

เมื่อหมากสีดำถูกวางลง หมากสีขาวของเยียนอวิ๋นฉวนก็พ่ายแพ้ราบคาบ

หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ภายในใจตื่นตระหนกเล็กน้อย

“ตามที่พี่ฉางจื้อพูด ข้ากลับโยวโจวไม่ได้ แม้แต่อำนาจทางทหารก็ต้องมอบให้เยียนอวิ๋นถงอย่างนั้นหรือ ข้าถูกกำหนดให้สืบทอดตระกูลเยียน รวมทั้งอำนาจทางการทหารของตระกูลเยียน”

หลิงฉางจื้อพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หากท่านอยากสืบทอดอำนาจทางการทหารของตระกูลเยียน ท่านก็ทำงานให้ประสบความสำเร็จอยู่ในเมืองหลวง แน่นอน ท่านสามารถละทิ้งเมืองหลวง กลับโยวโจวไปได้ ภายใต้การสนับสนุนของท่านพ่อและท่านลุงของท่าน เพียงแค่ท่านปลอดภัย หลายปีหลังจากนี้ ท่านย่อมสามารถสืบทอดอำนาจทางการทหารได้

สุดท้ายแล้ว หนทางราชการและอำนาจทางการทหาร ท่านสามารถเลือกได้อย่างเดียว อย่างไรก็ตาม ตระกูลเยียนของพวกท่านเป็นตระกูลทหาร มีความแตกต่างอย่างมากกับตระกูลหลิงของพวกข้า เยียนอวิ๋นถงเลือกที่จะอยู่ในโยวโจว นำทัพทำสงครามตลอดทั้งปีเป็นการตัดสินใจที่ฉลาด”

หลิงฉางจื้อดื่มชา “เวลานี้ไม่ใช่เวลานั้น ท่านมาเมืองหลวงย่อมไม่ผิด เพียงแต่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป เวลานี้พี่อวิ๋นฉวนกำลังอยู่ในจุดที่ต้องเลือกเส้นทางชีวิต ท่านต้องไตร่ตรองให้ดีว่าจะเลือกอย่างไร บางทีเวลานี้อาจดูเหมือนเป็นการเลือกที่ถูกต้อง แต่หลายปีต่อจากนี้ ความจริงอาจพิสูจน์ว่ามันผิด การเลือกที่ดูเหมือนผิดในเวลานี้อาจได้รับในสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดในภายภาคหน้า”

คำพูดนี้พูดออกมาเหมือนไม่ได้พูด

เยียนอวิ๋นฉวนยิ่งกลุ้มใจ

หลิงฉางจื้อเลิกคิ้วยิ้ม “พี่อวิ๋นฉวนโลภเกินไป อยากได้ไปเสียทุกอย่าง”

เยียนอวิ๋นฉวนกัดฟัน “หากพี่ฉางจื้ออยู่ในตำแหน่งของข้า จะไม่กลับไปจริงหรือ”

“กลับไปทำอันใด” หลิงฉางจื้อยิ้ม “ท่านคิดว่ามีการสนับสนุนของท่านพ่อกับท่านลุงของท่าน ท่านกลับไปเวลานี้จะสามารถแย่งชิงเยียนอวิ๋นถงได้หรือ ท่านคิดว่าเยียนอวิ๋นถงเป็นคนไม่เอาถ่าน เมื่อเผชิญหน้ากับการแย่งชิงของท่าน เขาจะไม่มีแรงต้านทานเลยหรือ”

เยียนอวิ๋นฉวนเงียบ

หลิงฉางจื้อรินชาในถ้วยของอีกฝ่าย พลันพูดต่อ “พี่อวิ๋นฉวนเอ๋ยพี่อวิ๋นฉวน ท่านเคยคิดหรือไม่ ท่านหญิงจู้หยางทิ้งบุตรชายเพียงคนเดียวเอาไว้ในแคว้นซ่างกู่ นางมีความมั่นใจและความกล้าจากที่ใด นางไม่กลัวบุตรชายเพียงคนเดียวของนางถูกคนฆ่าตายหรือ

หลายปีผ่านไป เยียนอวิ๋นถงยังไม่ตาย หากแต่ความสามารถยังแข็งแกร่งขึ้น เขาอาศัยสิ่งใด สุดท้ายแล้วเขาก็อาศัยอำนาจทางการทหาร รวมทั้งสติปัญญาของเขา บุตรสาวทั้งสามของท่านหญิงจู้หยางต่างเฉลียวฉลาด บุตรชายของนางจะโง่เขลาหรือ

ตามที่ข้ารู้ ท่านหญิงจู้หยางไม่เคยตามใจเยียนอวิ๋นถง หรืออาจเรียกได้ว่าเข้มงวดอย่างมาก เยียนอวิ๋นถงที่ถูกแม่นมและองครักษ์จากตำหนักบูรพาเลี้ยงดูออกมาจะเป็นคนโง่ได้หรือ ภายนอกของเขาอาจดูซื่อ แต่มันก็เป็นเพียงภาพลวงตา พี่อวิ๋นฉวนอย่าได้หลงกลภายนอกของเขาเด็ดขาด”

เยียนอวิ๋นฉวนหัวเราะเยาะตนเอง “พี่ฉางจื้อพูดถูก ข้าไม่ควรดูถูกเยียนอวิ๋นถง ตอนที่เขามาเมืองหลวงปีที่แล้ว ข้าก็พบการเปลี่ยนแปลงของเขา เขาดูเหมือนจะซื่อ แต่ความจริงแล้วมีเล่ห์เหลี่ยมอย่างมาก

ฝ่าบาททรงออกพระราชโองการให้แม่ทัพในท้องถิ่นนำกองกำลังสยบการจลาจล เมื่อเขาได้ข่าวย่อมต้องระวังข้า ทางฮูหยินย่อมมีการส่งข่าวไปบอกเขาเกี่ยวกับร่องรอยและการตัดสินใจของข้า ไม่แน่ว่าข้ายังไม่ทันได้กลับไปถึงแคว้นซ่างกู่ เขาก็เตรียมกำลังคนดักสังหารข้าระหว่างทางแล้ว

เพียงแต่หากให้ข้าละทิ้งอำนาจทางการทหาร มองดูเขาใช้โอกาสนี้ขึ้นเป็นใหญ่ ข้าไม่ยอมเด็ดขาด! ข้าไม่ปิดบังพี่ฉางจื้อ หากเขาต้องการอำนาจทางการทหารจริง ระหว่างข้ากับเขาย่อมต้องเปิดศึก”

“พี่อวิ๋นฉวนผิดแล้ว! ท่านไม่มีความจำเป็นต้องเปิดศึกกับเขา ข้าเชื่อว่าบิดาของท่าน ท่านโหวกว่างหนิงจะกวาดล้างอุปสรรคทุกอย่างให้ท่าน เยียนอวิ๋นถงไม่ใช่ภัยคุกคามของท่าน เพียงแค่ท่านยืนหยัดที่จะอยู่ในเมืองหลวงต่อ ทุกสิ่งย่อมเป็นไปตามทางของมัน ท่านคิดว่าท่านพ่อและท่านลุงของท่านจะยอมมองดูเยียนอวิ๋นถงใช้โอกาสนี้ขึ้นเป็นใหญ่หรือ”

เมื่อเยียนอวิ๋นฉวนได้ยินจึงหัวเราะออกมา

“ขอบพระคุณพี่ฉางจื้อที่ตักเตือน ก่อนหน้านี้ข้าดื้อรั้น คิดเรื่องง่ายให้กลายเป็นเรื่องยาก มา ข้าดื่มเพื่อขอบคุณพี่ฉางจื้อหนึ่งถ้วย”

“พี่อวิ๋นฉวนคิดได้แล้วหรือ มีการตัดสินใจแล้วหรือ”

เยียนอวิ๋นฉวนพยักหน้าระรัว “ข้าตัดสินใจอยู่ในเมืองหลวงต่อ หากเยียนอวิ๋นถงต้องการอำนาจทางการทหารก็ให้เขาไปแย่งชิงเอา ในไม่ช้าท่านพ่อย่อมจะจัดการเขา ทำให้ความพยายามของเขาสูญเปล่า”

“พี่อวิ๋นฉวนฉลาด!”

ความกลัดกลุ้มใจของเยียนอวิ๋นฉวนสลายหายไป เขามีจิตใจที่จะประลองอีกครั้ง

แต่หลิงฉางจื้อหมดความคิดที่จะประลองแล้ว

เพราะทางบ้านเกิดของเขาส่งข่าวมา สถานการณ์ไม่ดีนัก

เขาส่งเยียนอวิ๋นฉวนจากไป เดินทางมายังห้องตำราอย่างเร่งรีบ เปิดจดหมายออก

“ท่านลุงเสียสติไปแล้วหรือ เหตุใดเขาจึงต้องกดขี่ตระกูลหลิง”

การปะทะระหว่างตระกูลขุนนางกับฮ่องเต้ กองกำลังส่วนตัวต่างเคลื่อนไหว ทำท่าเหมือนจะก่อการจลาจลทั้งแผ่นดิน

ตระกูลหลิงในฐานะตระกูลขุนนางใหญ่ที่มีน้อยบนแผ่นดินย่อมต้องมีการเคลื่อนไหว

สุดท้ายกลับถูกท่านโหวผิงอู่ สืออุนกดขี่ ไม่อนุญาตให้ตระกูลหลิงมีส่วนร่วมมากเกินไป

ไม่มีส่วนร่วมจะขยายกองกำลังได้อย่างไร

จะขยายพื้นที่ได้อย่างไร

ล้อเล่นหรือ

“ท่านลุงมีเจตนาใดกันแน่”

หลิงฉางจื้อไม่เชื่อว่าท่านลุงของตนเองจะเป็นศัตรูกับตระกูล ภายในนี้ย่อมต้องมีเรื่องบางอย่างซ่อนเอาไว้

พ่อบ้านใหญ่หลิงกุ้ยพูดเสียงเบา “ตามที่ได้ยินมาบอกว่ามีคนแทรกแซงเรื่องภายในเรือนของตระกูลสือ ท่านโหวผิงอู่โกรธเคือง เขากำลังแก้แค้นตระกูลหลิงของพวกเรา”

ปัง!

หลิงฉางจื้อทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ

“ผู้ใดแทรกแซงเรื่องภายในของตระกูลสือ พวกเขาไม่รู้หรือว่าตระกูลสือเปรียบเสมือนถังดินปืน จากนิสัยของท่านลุง ผู้ใดกล้าแทรกแซงเรื่องภายในเรือนของเขาย่อมเหมือนกับการหาที่ตาย”

บุตรชายของท่านโหวผิงอู่ สืออุนสิบกว่าคนแย่งชิงกันอย่างดุเดือด

ท่านโหวผิงอู่สืออุนเองก็หลับตาข้างหนึ่งต่อการแย่งชิงของบรรดาบุตรชาย

เขานั่งมองบรรดาบุตรชายแย่งชิง แต่ไม่อนุญาตให้ผู้ใดแทรกแซงเรื่องภายในจวน

ซึ่งหมายความว่า บรรดาบุตรชายแย่งชิงกันได้ แต่ไม่อนุญาตให้ขอความช่วยเหลือจากภายนอก ไม่อนุญาตให้คนต่างแซ่ยื่นมือเข้ามาแทรกแซงในตระกูลสือ

พ่อบ้านใหญ่หลิงกุ้ยลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะพูดอย่างระมัดระวัง “ข้าน้อยได้รับข่าวมา บอกว่าฮูหยินกำลังแทรกแซงเรื่องภายในของตระกูลสือ”

“เหลวไหล! ท่านแม่จะแทรกแซงเรื่องภายในของตระกูลสือได้อย่างไร นางรู้นิสัยของท่านลุงมากกว่าผู้ใด นางไม่มีทางแทรกแซงเรื่องภายในของตระกูลสือ ภายในย่อมมีเรื่องผิดปกติ สืบ รีบสืบให้กระจ่าง!”

“ขอรับ!”