ตอนที่ 256 เลี้ยงดูโดยแม่เลี้ยง

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 256 เลี้ยงดูโดยแม่เลี้ยง

กองทัพเหนือได้รับชับชนะครั้งใหญ่!

พยับเมฆที่กดอยู่บนหัวของฮ่องเต้หย่งไท่หายไปอย่างไร้ร่องรอย แรงกดดันชั้นแล้วชั้นเล่าในใจก็ถูกปลดระวางลง

เขาเปล่งเสียงหัวเราะดัง ภายในใจโล่งอย่างมาก

ชัยชนะในครั้งนี้มาได้ทันเวลาเกินไป

ในขณะที่เขากำลังจะต้านทานแรงกดดันจากตระกูลขุนนางไม่ไหวนั้น ชัยชนะของกองทัพเหนือก็เปรียบเสมือนยากระตุ้นหัวใจ ทำให้เขาเกิดความมั่นใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ไม่ยอมจำนน!

ไม่ยอมจำนนเด็ดขาด!

กองทัพเหนือได้รับชัยชนะแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องยอมจำนนต่อขุนนางตระกูลใหญ่

เขาจะต่อสู้ให้ถึงที่สุด!

เขาจะอาศัยโอกาสที่กองทัพเหนือได้รับชัยชนะครั้งใหญ่นี้ สยบขุนนางตระกูลใหญ่ที่เป็นปรปักษ์กับเขาบ่อยครั้งในคราวเดียว

เขาจะกลายเป็นกษัตริย์ผู้ทรงปัญญาที่สุดของราชวงศ์ต้าเว้ย เขาจะกวาดล้างตระกูลขุนนาง คืนราชสำนักที่โปร่งใสให้แก่แผ่นดิน

เขาเชื่อว่า กองทัพเหนือสามารถชนะครั้งแรกได้ ย่อมสามารถชนะครั้งที่สองได้

ต่อไปย่อมจะมีชัยชนะอย่างต่อเรื่อง

ส่วนสภาพอากาศในปีนี้จะแห้งแล้งหรือราบรื่น เขาไม่กังวล

เพียงแค่กองทัพเหนือสามารถชนะได้อย่างต่อเนื่อง เพียงแค่ปราบปรามตระกูลขุนนาได้ ถึงแม้ภัยแล้งจะกินเวลากว่าสามถึงห้าปี ราชสำนักก็มีเงินและเสบียงบรรเทาภัยธรรมชาติ

ฮ่องเต้หย่งไท่ที่มีความมั่นใจรับสั่งให้องครักษ์จินอู่เคลื่อนไหว กวาดล้างและจับกุมขุนนางรวมทั้งบุตรหลานตระกูลขุนนางทั่วแผ่นดินอย่างเอิกเกริก

การกระทำของเขาช่างบ้าคลั่ง โหดร้าย เย็นชา แม้แต่คนธรรมดาก็ทนดูต่อไปไม่ได้

ตระกูลขุนนางจะยอมจำนนแต่โดยดีหรือ

ฝันไปเสียเถิด!

การยอมจำนนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ครั้งแรก ตระกูลขุนนางเกิดการปะทะกับองครักษ์จินอู่อย่างเปิดเผย

กองกำลังส่วนตัวของตระกูลขุนนางเผยอาวุธ ขับไล่องครักษ์จินอู่ออกไป

ที่ผ่านมา การปะทะระหว่างตระกูลขุนนางกับฮ่องเต้และองครักษ์จินอู่มักจะดำเนินไปอย่างลับๆ

ภายนอกทุกคนยังเป็นขุนนางของราชสำนัก ย่อมต้องฟังรับสั่งของฮ่องเต้ สุภาพต่อองครักษ์จินอู่ ไม่ฉีกหน้ากันอย่างเปิดเผย

แต่เมื่อเผชิญกับองครักษ์จินอู่ที่บ้าคลั่งเหมือนสุนัขบ้า เผชิญหน้ากับฮ่องเต้ที่ไม่ทรงยอมจำนนอย่างเด็ดขาด ตระกูลขุนนางก็ไม่อาจสุภาพได้อีกต่อไป

เมื่อเจรจาไม่ลงตัวก็ปะทะทันที

ราชวงศ์ต้าเว้ยหนึ่งร้อยกว่าปี เกิดเรื่องการปะทะระหว่างตระกูลขุนนางกับราชสำนักน้อยครั้งมาก

อย่างน้อยหนึ่งปีร้อยมานี้ ไม่เคยได้ยินมาก่อน

แต่คราวนี้ ตระกูลขุนนางทำลายประเพณีกว่าร้อยปีที่ผ่านมา ทำลายความกลมเกลียวเพียงผิวผืน ทั้งสองฝ่ายปะทะกันขึ้นมาทันที

ฉีกกระดาษชั้นสุดท้ายออก ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย แม้จะต้องพนันด้วยชีวิตของผู้คนนับพันหมื่นก็จะต่อสู้ให้ถึงที่สุด

ตระกูลขุนนางที่ปะทะกับราชสำนักไม่ได้มีเพียงตระกูลเดียว

อีกทั้งลับหลังยังมีตระกูลขุนนางแนวหน้าร่วมมือกัน ตระกูลขุนนางจำนวนมากขึ้นเข้ามามีส่วนร่วมในการต่อต้านองครักษ์จินอู่และฮ่องเต้

เหลือแค่เพียงยกธงก่อกบฏ

ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงมีความมั่นใจ รอคอยกองทัพเหนือได้รับชัยชนะครั้งใหญ่เป็นครั้งที่สอง รอคอยวันที่โจรกบฏทั่วแผ่นดินถูกสยบจนหมดสิ้น

เพียงแต่ผลของการได้รับชัยชนะยังไม่ทันได้ลิ้มลองจนหมด ข่าวร้ายก็ตามมา

โจรกบฏที่ถูกสยบกลับมาอีกครั้ง

พื้นที่ที่เดิมทีเงียบสงบ มีคนยกธงก่อกบฏ ชิงปล้นยุ้งฉางของสำนักราชการ

พื้นที่ที่เดิมทีก็มีโจรกบฏอาละวาดนั้น จำนวนของโจรกบฏนับวันยิ่งมากขึ้น อาวุธยิ่งพัฒนาขึ้น

ภายในยังปะปนไปด้วยทหารคุณภาพดี สามารถปะทะโดยตรงกับกองทัพของราชสำนักได้

สภาพอากาศแห้งแล้ง!

ฝนตกโปรายปรายลงมาครึ่งวัน แต่ไม่ได้ทำให้พื้นถนนเปียกชื้น

สงครามปะทุขึ้นทุกพื้นที่ สวรรค์กลั่นแกล้ง สถานการณ์ที่ดีมากในเดิมทีกลับหลายเป็นเลวร้ายเพียงชั่วพริบตา

ฮ่องเต้หย่งไท่โกรธจนกระอักเลือดออกมา

“กองทัพเหนือทำอันใด โจรกบฏมากมายเพียงนั้น เหตุใดกองทัพเหนือจึงไม่มีการเคลื่อนไหว”

“ทูลฝ่าบาท กองทัพเหนือทำสงครามอยู่ด้านนอก มีกำลังพลเพียงหนึ่งหมื่นนาย อีกทั้งยังถูกโจกบฎขัดขวางการเดินทาง สถานการณ์ในเวลานี้คือมีการปรากฏตัวของโจรกบฏทั่วทุกสี่ทิศ เกิดการอาละวาดอย่างรุนแรง หากอาศัยเพียงกองทัพเหนือ เกรงว่าจะควบคุมโจรกบฏที่เหิมเกริมกลุ่มนี้เอาไว้ไม่ได้ แผนการในเวลานี้มีเพียงให้แม่ทัพท้องถิ่นออกกองกำลังสยบการจลาจล”

ฮ่องเต้หย่งไท่เงียบ

แม่ทัพในท้องถิ่นล้วนเป็นภัยคุกคามเหมือนกับตระกูลขุนนางในแผ่นดิน

ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าบรรดาท่านอ๋องจะก่อความวุ่นวายร้ายแรงเพียงใด โจรกบฏอาละวาดร้ายแรงเพียงนี้ ฮ่องเต้หย่งไท่ก็กดขี่แม่ทัพท้องถิ่นอยู่เสมอมา ไม่อนุญาตให้พวกเขาเคลื่อนย้ายกองกำลัง

เพื่อป้องกันแม่ทัพท้องถิ่นฉวยโอกาสขยายพื้นที่และกองกำลัง จนทำให้ราชสำนักควบคุมไม่อยู่

กำลังการต่อสู้ของกองทัพเหนือไร้เทียบทาม

ที่ผ่านมา หากมีสงคราม เพียงแค่ส่งกองทัพเหนือก็สามารถจัดการปัญหาได้

แต่คราวนี้ สงครามเกิดขึ้นทั้งสี่ทิศ ไม่มีพื้นที่เงียบสงบแม้แต่น้อย

กำลังพลของกองทัพเหนือมีจำกัด พวกเขาไม่สามารถแบกรับหน้าที่ทั้งหมดเอาไว้ได้

เหตุใดกำลังพลของกองทัพเหนือจึงมีน้อยนัก

เพราะกองทัพเหนือมีแต่ทหารชั้นดีที่หายากในแผ่นดิน

ทหารแต่ละนายล้วนใช้เงินและเสบียงจำนวนมากในการฝึกฝนขึ้นมา

ค่าใช้จ่ายของทหารหนึ่งนายในแต่ละปีอย่างน้อยก็มีเจ็ดแปดสิบก้วน หรืออาจมากถึงหนึ่งร้อยก้วน

ทหารนับหมื่นนาย ค่าใช้จ่ายในหนึ่งปีก็คือนับล้านก้วน

หากต้องออกไปทำสงคราม ค่าใช้จ่ายย่อมต้องเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

ค่าใช้จ่ายในการฝึกฝนทหารที่สูงลิ่วเช่นนี้ สามารถเลี้ยงทหารกองทัพเหนือสองสามหมื่นคนต่อปี เพียงแค่คิดก็รู้ว่าภาระของราชสำนักและฮ่องเต้นั้นต้องหนักเพียงใด

ฮ่องเต้ก็อยากขยายขนาดของกองทัพเหนือ แต่กำลังทรัพย์มีจำกัด

ถึงแม้สำนักเส้าฝู่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทางทหารกว่าครึ่งหนึ่ง แต่ขนาดของกองทัพเหนือก็มาถึงขีดจำกัด ไม่สามารถขยายใหญ่ได้อีก

มันจึงส่งผลให้แม้กองทัพเหนือจะทำสงครามที่ยากและลำบากได้ แต่ก็ทำได้เพียงทำสงครามในพื้นที่ที่จำกัดเท่านั้น

หากเป็นสถานการณ์ที่โจรกบฏปรากฏขึ้นทุกทิศทางเหมือนเวลานี้ กองทัพเหนือก็ไร้ความสามารถ

การทำสงคราม เรื่องต้องห้ามคือการกระจายกำลังพล

เดิมทีกองทัพเหนือก็มีกำลังพลน้อยอยู่แล้ว หากกระจายออกไป มีโอกาสที่จะถูกโจมตีจากหลากหลายทิศทาง

การรวมกำลังพลไว้ที่เดียว แต่เนื่องจากพื้นที่ซับซ้อน อีกทั้งยังมีการก่อกวนและส่งข่าวของตระกูลขุนนาง ทำให้ประสิทธิภาพในการสยบกบฏไม่สูงนัก

มักจะเกิดเหตุการณ์เมื่อสยบกบฏทางทิศตะวันออกแล้ว ทางทิศตะวันตกก็ปรากฏขึ้น

สยบทางทิศตะวันตกแล้ว กบฏทางทิศตะวันออกก็ฟื้นตัวขึ้นมาใหม่

กองทัพเหนือเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง

เวลานี้จึงมีความจำเป็นต้องให้แม่ทัพในท้องถิ่นทำการเฝ้าระวัง

แต่ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่มั่นใจ!

“หากใช้แม่ทัพในท้องถิ่น หลังจากสงครามจบสิ้นจะควบคุมอยู่หรือไม่”

แม่ทัพกองทัพเหนือไม่กล้ารับปาก เขาไม่สามารถแบกรับผลที่จะตามมาได้

เขาพูดอย่างระมัดระวัง “หากมีแม่ทัพท้องถิ่นในพื้นที่ส่วนหนึ่งก่อเรื่องหลังจากสิ้นสุดสงคราม กองทัพเหนือย่อมสามารถสยบได้”

แต่หากแม่ทัพท้องถิ่นในทุกพื้นที่ฉวยโอกาสขยายพื้นที่และอาวุธ การอาศัยเพียงกองทัพเหนือคงจะเหนือกำลัง

มันเป็นเรื่องที่ฮ่องเต้หย่งไท่กังวลที่สุด

อาทิ ท่านโหวผิงอู่ สืออุนและท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้านครอบครองพื้นที่ทิศใต้และทิศเหนือ หากพวกเขาโจมตีราชสำนักในเวลาเดียวกัน กองทัพเหนือจะกล้ากระจายกำลังเพื่อรับมือหรือ

เกรงว่ายังไม่ทันได้สยบท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้าน ท่านโหวผิงอู่สืออุนก็บุกโจมตีมาถึงเมืองหลวงแล้ว

อาศัยกองทัพใต้

กำลังการต่อสู้ของกองทัพใหญ่ยังไม่ถึงครึ่งของกองทัพเหนือ

เพราะเหตุใด

เพราะกองทัพใต้เปรียบเสมือนเด็กที่ถูกแม่เลี้ยงดูแล ค่าใช้จ่ายทางทหารในแต่ละปียังไม่ถึงหนึ่งในสามของกองทัพเหนือ

หากต้องการฝึกฝนทหารแข็งแกร่งชั้นดีย่อมต้องใช้เงิน

หากต้องการฝึกฝนทุกวัน ย่อมต้องให้ทหารกินอิ่ม อีกทั้งยังต้องกินดี

แต่ละวันต้องมีเนื้อ

แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องใช้เงินซื้อ!

หากไม่มีเงิน ก็ทำได้เพียงฝึกฝนสามวันครั้ง หรือห้าวันครั้ง

ทหารที่ฝึกฝนห้าวันครั้งจะเทียบกับทหารที่ฝึกฝนทุกวันได้อย่างไร

ผู้อื่นฝึกฝนเดือนละสามสิบวัน เจ้าฝึกฝนเดือนละหกวัน มันแตกต่างกันที่คุณภาพ

เวลาเพียงแค่ครึ่งปี ความสามารถก็ห่างจากคนที่ฝึกฝนอยู่ทุกวันออกไปไกล

สุดท้ายแล้ว ฮ่องเต้ก็เพียงแค่ไม่ให้ความสำคัญกับกองทัพใต้

ประวัติของกองทัพใต้มีรอยเปื้อน มีประวัติไม่ดี

นับแต่นั้นมาก็ถูกละเลยและกดขี่เสมอมา

ประวัติด่างพร้อยของกองทัพใต้มาจากแม่ทัพท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ของกองทัพใต้ เขาทำสงครามพ่ายแพ้ อีกทั้งยังถูกจับเป็นเชลย ทำให้เขาและกองทัพใต้ยอมจำนนกลายเป็นทหารของฝ่ายศัตรู

เมื่อมีประวัติด่างพร้อยเช่นนี้ กองทัพใต้ไม่ได้ถูกปลดก็ถือว่าราชสำนักมีเมตตามากแล้ว

แต่นับจากนั้นเป็นต้นมา กองทัพใต้ที่เคยมีชื่อเสียงเทียบเท่ากับกองทัพเหนือก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ

เซียวอี้ก็มาได้ทันเวลา

ตอนที่โจมตีเหล่าท่านอ๋องนั้น กองทัพใต้ฉวยโอกาสฟื้นคืนกำลังในการต่อสู้เล็กน้อย นอกจากนี้ยังได้รับค่าใช้จ่ายทางทหารที่เพียงพอจากราชสำนัก

เพียงแต่เมื่อเทียบกับกองทัพเหนือ ความแตกต่างยังคงเห็นได้อย่างชัดเจน

ในสายตาของฮ่องเต้หย่งไท่ กองทัพทีดีที่สุดในการเฝ้าระวังแม่ทัพท้องถิ่นก็คือกองทัพเหนือ

เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ กองทัพเหนือทั้งต้องสยบโจรกบฏ ทั้งต้องเฝ้าระวังแม่ทัพท้องถิ่น ภารกิจหนักมาก!

เมื่อครุ่นคิดไปมา ในที่สุดฮ่องเต้หย่งไท่ก็ตัดสินใจ

“รับสั่งให้กองทัพใต้ออกจากเมืองหลวงไปสยบการจลาจล เรียกกองทัพเหนือกลับเมืองหลวง นอกจากนี้ แม่ทัพในแต่ละท้องถิ่นเตรียมตัวออกกองกำลังสยบโจรกบฏ หลังจากสยบแล้ว ให้แม่ทัพในแต่ละท้องถิ่นกลับค่ายโดยเร็ว อย่าได้อยู่ด้านนอกพื้นที่เป็นเวลานาน”

กองกำลังเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอกไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

หากไม่ระวัง ความอันตรายนั้นคงจะมากกว่าโจรกบฏสิบเท่าร้อยเท่า

ปล้นชิงครัวเรือน ก่ออันตายต่อท้องถิ่น กองทัพที่มีระเบียบย่อมแข็งแกร่งกว่าโจรกบฏอย่างมาก

เมื่อราชโองการออกมา แม่ทัพท้องถิ่นล้วนเคลื่อนไหวขึ้นมา

เซียวอี้น้อมรับพระราชโองการ เตรียมนำทัพออกจาเมืองหลวง

ก่อนออกจากเมืองหลวง เซียวอี้เดินทางไปยังจวนท่านอ๋องตงผิง

เขาพูดกับท่านอ๋องจงผิง เซียวกั้ว “ข้าพอจะมีเบาะแสเกี่ยวกับพระชายาฉินและเซียวสวิ้นบ้างแล้ว เวลานี้พวกนางสองแม่ลูกถูกคนคุ้มครองเอาไว้ แม้แต่ข้าก็ยังแตะต้องพวกเขาไม่ได้ แต่คราวนี้ข้าจะกำจัดตระกูลฉินก่อน”

เซียวกั้วตกใจ “เจ้าแน่ใจว่าจะกำจัดตระกูลฉิน ไม่กลัวคนทูลฟ้องเจ้า บอกว่าเจ้าแก้แค้นส่วนตัวหรือ”

เซียวอี้หัวเราะร่า “ข้าแก้แค้นส่วนตัว หากไม่ทำเรื่องส่วนตัวตอนนำทัพออกไปทำสงคราม ไม่ทิ้งความผิดเอาไว้บ้าง ท่านคิดว่าฮ่องเต้จะทรงวางพระทัยหรือ”

เซียวกั้วกระจ่างในทันที “เจ้ากังวลว่าฮ่องเต้จะทรงระแวงเจ้า?”

“ฮ่องเต้ทรงระแวงทุกคน นอกจากแม่ทัพกองทัพเหนือ”

กองทัพเหนือเปรียบเสมือนบุตรแท้ๆ พวกเขาจงรักภักดีต่อฮ่องเต้อย่างแน่นอน อีกทั้งยังเป็นคนสนิทของฮ่องเต้หย่งไท่อย่างแน่นอน

มิฉะนั้น กองทัพเหนือปลงพระชนม์เชื้อพระวงศ์ มีคนตายและบาดเจ็บมากมายเพียงนั้น หากเป็นผู้อื่นคงถูกผลักออกมารับโทษ ประหารเก้าชั่วโคตรไปนานแล้ว

มีเพียงกองทัพเหนือที่ถูกฮ่องเต้ทรงตำหนิ จากนั้นลงโทษด้วยการหักเงินเท่านั้น

ท่าทีนั้นเหมือนปฏิบัติกับบุตรชายแท้ๆ ยกขึ้นอย่างแรง แต่วางลงอย่างเบา

เซียวกั้วถามเขา “ออกจากเมืองหลวงคราวนี้มีอันตรายหรือไม่”

เซียวอี้หัวเราะ “ทำสงครามจะปลอดภัยได้อย่างไร อันตรายย่อมต้องอันตราย แต่อันตรายไม่ได้มาจากโจรกบฏ หากแต่มาจากธนูที่มองไม่เห็นของตระกูลขุนนาง ท่านระวังเอาไว้หน่อย! หากตระกูลขุนนางถูกบีบเค้นจนไร้ทางออก ย่อมต้องฉวยโอกาสปลงพระชนม์เชื้อพระวงศ์ ไม่แน่ว่าอาจจะบุกเข้าไปถึงในวังหลวง

คุกในสำนักองครักษ์จินอู่เต็มไปด้วยคนแล้ว หากฮ่องเต้ทรงออกพระราชโองการประหารขุนนางที่ถูกขังเอาไว้ ท่านรีบอ้างว่าป่วย ภายในจวนนอกจากคนที่มีหน้าที่จับจ่ายแล้ว ผู้อื่นไม่อาจออกจากจวนไปได้ หากมีอันตราย ท่านสามารถไปขอความช่วยเหลือจากคุณหนูสี่ตระกูลเยียนที่จวนท่านหญิงจู้หยาง”

“เยียนอวิ๋นเกอ?”

เซียวกั้วทำหน้าฉงน “นางเป็นคุณหนู ข้าไปขอความช่วยเหลือจากนาง?”

ล้อเล่นหรือ

เซียวอี้พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านเพียงแค่ไปขอความช่วยเหลือจากนางก็พอ อย่าได้เห็นว่านางเป็นคุณหนูจึงดูถูกนาง เวลาสำคัญนางสามารถปกป้องชีวิตของท่านได้”

“จริงหรือ”

“หากท่านเชื่อข้าก็ฟังข้า หากท่านไม่เชื่อข้าก็รอตายเสียเถิด! จดหมายฉบับนี้ รวมทั้งจี้หยกนี้เป็นสัญลักษณ์ เก็บไว้ให้ดี อย่าให้ผู้อื่นรู้”