บทที่ 260 โถงใหญ่

บทที่ 260 โถงใหญ่

ขณะอู๋ฝานกลับมายังลานกว้าง พวกหนิวเอ้อก็เตรียมมื้ออาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนที่ทานมื้อเที่ยง พวกเขาไม่ได้กลับไปทานที่บ้านของตนเอง แต่เลือกที่จะนั่งด้วยกันทานมื้อเที่ยงที่ลานกว้าง คล้ายตอนที่ยังอยู่ในกองทัพที่ต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ

“กลิ่นหอมดีจริง ๆ!”

“แม่! แม่! นี่คือเนื้อหรือ?”

“นี่มัน!… น้ำลายข้าแทบไหลแล้ว ท้องไส้แทบขาดแล้วก็จริง แต่กินสิ่งนี้ได้จริง ๆ งั้นหรือ?”

ไม่ไกลจากพวกอู๋ฝาน คือเหล่าผู้อพยพที่หลี่ว์ปินและลั่วหยางพามา ภายใต้การจัดแจงของหลี่ว์ปิน พวกเขาจึงรวมตัวกันที่ลานกว้างเพื่อรับอาหาร พวกเขาไม่ได้กินอาหารมานาน หลายคนพอได้เห็นอาหารตรงหน้าจึงถึงกับเสียอาการไป

อาหารที่ทำนั้นมีทั้งบะหมี่ โจ๊ก อีกทั้งแต่ละจานต่างก็มีเนื้อ บางคนที่ไม่ได้เห็นเนื้อมานานเกินปี ตอนนี้ที่ได้เห็นเนื้ออีกครั้ง สายตาของพวกเขาจึงเกิดประกาย น้ำลายในปากต้องกลืนลงท้องอึกใหญ่ แทบไม่อาจอดใจรอทานเข้าไปได้แล้ว

เมื่อเห็นสถานการณ์ดังกล่าว อู๋ฝานจึงยืนบอกกับทุกคน “วันนี้เป็นวันแรก ดังนั้นอาหารมื้อนี้ข้าจึงเป็นคนเลี้ยง แบ่งกันให้พออิ่ม มื้อถัดจากนี้ไปจะได้ทานมากน้อยหรือดีร้ายเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับศักยภาพที่แสดงให้เห็น เข้าใจหรือไม่?”

อู๋ฝานทราบดีว่าเขาไม่อาจทำดีกับคนเหล่านี้จนเกินไปในทีเดียวได้ ปริมาณวัตถุดิบที่เขาเก็บสะสมเอาไว้ด้านหลังภูเขา พอจะเป็นเสบียงให้ใช้ได้หลายวัน ดังนั้นจึงเรียกได้ว่ามีอาหารไม่ได้ขาดแคลน

ทว่าหากเป็นเช่นนั้น พวกเขาอาจจะขาดแรงใจในการทำงาน มันคือสถานการณ์ที่อู๋ฝานไม่อยากเห็น ดังนั้นเขาจึงขอให้คนเหล่านี้ใช้แรงงานเพื่อแลกกับอาหารและค่าจ้าง มีเพียงทำเช่นนี้พวกเขาจึงจะกระตือรือร้นพร้อมทำงาน

“ทราบแล้วขอรับนายท่าน!” ทุกคนต่างตอบรับโดยพร้อมกัน

คำพูดของอู๋ฝานไม่ได้ทำพวกเขาคิดมากนัก เพราะมองว่าสมเหตุสมผล พวกเขาพอใจมากแล้วที่ได้พบสถานที่ที่พร้อมรับพวกตน ทว่าขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องจ่ายด้วยเรี่ยวแรงที่มี มันคือการแลกเปลี่ยนที่ไม่มีอะไรต้องถามไถ่

อู๋ฝานพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจกับการตอบสนองของพวกเขา

หลังจากนั้นตอนที่ทุกคนได้ทานมื้อเย็น อู๋ฝานจึงเริ่มใช้วิชาตรวจสอบอีกครั้ง เพื่อสำรวจพวกเขาทีละคน หาว่าใครที่มีพรสวรรค์ด้านการก่อสร้างในกลุ่ม และจะคัดเลือกพวกเขาออกมา

“เสี่ยวลิ่ว นำพวกเขาตรงนี้ไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน” หลังมื้ออาหาร อู๋ฝานเรียกเจิ้งเสี่ยวลิ่วมาบอก “คนที่เหลือให้หวังปิงพาไปตัดไม้ ขุดแร่ และสร้างบ้านไม้ ตอนนี้พวกเราจะสร้างเพิงไม้ให้เพียงพอสำหรับทุกคนใช้อยู่อาศัยกันก่อน”

เพราะการสร้างบ้านใหม่ค่อนข้างยุ่งยากกว่าการสร้างเพิงไม้ทั่วไป หากมีวิชาก่อสร้าง การสร้างบ้านใหม่ขึ้นมาย่อมทำได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งบ้านจะมีโครงสร้างที่แข็งแรง ดังนั้นอู๋ฝานจึงตัดสินใจรอคัดเลือกคนก่อน เพื่อที่จะส่งพวกเขาไปเรียนรู้วิชาก่อสร้างถึงระดับหนึ่ง แล้วจึงเริ่มสร้างบ้านและกำแพงเมือง ทว่าก่อนหน้านั้นคนอื่นจะพักอาศัยอยู่ในเพิงไม้ พลางจัดเตรียมทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการก่อสร้างครั้งใหญ่ที่กำลังจะเริ่มในภายหลัง

แน่นอนว่า ก่อนที่ผู้คนเหล่านี้จะถูกส่งตัวไปยังบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน พวกเขาจะต้องผ่านการทำสัญญา ‘ขายชีวิต’ กับอู๋ฝานก่อน อย่างที่รู้กันว่าหัวหน้าหมู่บ้านเป็นตัวตนระดับปรมาจารย์ อีกฝ่ายคือยอดฝีมือแห่งแผ่นดิน หากรับศิษย์ไปสอนสั่ง มีหรือจะได้ผลผลิตที่เลวร้ายออกมา? หลังพวกเขากลับออกมา พวกเขาจะต้องมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม แล้วอู๋ฝานจะปล่อยคนมีพรสวรรค์เหล่านี้ไปง่าย ๆ งั้นหรือ? ผลประโยชน์ก้อนใหญ่เช่นนี้เขาจะต้องเก็บเอาไว้ในมือของตนเอง!

ทว่าคนเหล่านี้แทบไม่มีความลังเล พวกเขาต่างทำสัญญากับอู๋ฝาน เพราะอีกฝ่ายช่วยเหลือพวกเขาจากความสิ้นหวัง ตอนนี้ชายหนุ่มต้องการฝึกฝนพวกเขา นับได้ว่าเป็นความเมตตาอย่างล้นเหลือ นอกจากนี้เนื้อหาในสัญญาของอู๋ฝานก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดนั้น กลับกันเสียด้วยซ้ำ เพราะมีการดูแลอย่างดี พวกเขาจึงแทบไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ

ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปเรียนรู้ทักษะวิชา หรือไม่ก็ไปจัดเตรียมทรัพยากรที่จำเป็น ส่วนทางด้านอู๋ฝานนั้นกลับไปเพิ่มเลเวลกับพวกหนิวเอ้อ

นครเหยียนหยาง นครหลวงแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิง

นครเหยียนหยางคือเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาณาจักรเหยียนเฟิง พื้นที่กว้างใหญ่และมีประชากรนับสิบล้านอยู่อาศัย เป็นหนึ่งในเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีป มีระบบเศรษฐกิจที่รุ่งเรือง วิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ถนนเต็มไปด้วยผู้คนสัญจร กระทั่งมีนักเดินทางจากประเทศอื่นเดินทางมา สีหน้าของผู้คนต่างก็มีทั้งความสุขและความภาคภูมิอันเปี่ยมล้น

ชีวิตของพวกเขายังคงดำเนินไปเช่นที่เคยเป็น พวกเขาไม่ได้รับผลกระทบใดเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่มีผู้อพยพลี้ภัยมาเยือนรอบนอกเหมือนดังเทศมณฑลชิงหยวน หากมองเพียงแค่ที่แห่งนี้ อาณาจักรเหยียนเฟิงก็ยังอยู่ดีมีสุขและมั่งคั่ง

ทว่าผู้ที่รู้ข้อมูลบางส่วนต่างก็ได้ทราบว่าเมืองน้อยใหญ่ในอาณาจักรเหยียนเฟิงกำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบงัน แต่พวกเขาเหล่านี้ก็ยังไม่คิดใส่ใจ เพราะเมืองเหล่านั้นอยู่ห่างจากนครหลวงมาก มันแทบไม่อาจส่งผลกระทบใดต่อพวกเขา ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้มีกองกำลังน้อยใหญ่ผุดขึ้นมาแห่งแล้วแห่งเล่า แต่พวกเขาเหล่านั้นต่างก็ถูกกองทัพของราชสำนักสยบเอาไว้ได้ทั้งสิ้น ทำให้ไม่อาจก่อคลื่นลมใดขึ้นมา

ดังนั้นแม้ผู้คนส่วนหนึ่งจะได้ทราบข่าวคราวดังกล่าว ทว่าพวกเขากลับไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย พวกเขายังใช้ชีวิตสำมะเลเทเมา เริงร่ากับชีวิตกินดื่ม ไม่ว่าจะทั้งอาหาร หรือว่าโฉมงามก็ตาม

ทว่าเหนือโถงใหญ่ของวังหลวงภายในเมือง บรรยากาศในเวลานี้กลับไม่สู้ดีนัก แทบจะเรียกได้ว่าพลิกกลับด้าน บรรยากาศค่อนข้างเคร่งเครียด จริงจัง ทุกคนในที่นี้ต่างรู้สึกอึดอัดหายใจลำบาก

เหนือโถงใหญ่ เจ้าเลี่ยผู้เป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิงกำลังนั่งประจำที่ สายตาคมกล้าประหนึ่งเหยี่ยว ตอนนี้จ้องหลี่เต๋อหมิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นโถงใหญ่ กระทั่งเคาะนิ้วกับที่พักแขนบนบัลลังก์มังกรครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่รู้ตัว เสียงเคาะนั้นดังก้อง กังวานอยู่ภายในโถงใหญ่อันเงียบงัน ทุกครั้งที่เสียงดัง ใจของเหล่าข้าราชบริพารต่างต้องสะดุ้งสะเทือน

จักรพรรดิของพวกเขากำลังกริ้ว!

ข้าราชบริพารหลายคนในที่นี้ต่างก็เป็นข้าราชบริพารชรา ทำงานร่วมกับจักรพรรดิรัชกาลนี้มาอย่างยาวนาน พวกเขาต่างทราบนิสัยขององค์เหนือหัวของพวกตนเป็นอย่างดี ท่าทีของจักรพรรดิในยามนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงเมฆหมอกแห่งความขุ่นเคืองภายในใจ อีกฝ่ายพร้อมจะบันดาลโทสะออกมาได้ทุกเมื่อ และคนที่สมควรรับเคราะห์ครั้งนี้ก็คือหลี่เต๋อหมิงที่คุกเข่าอยู่กลางโถงใหญ่

เหล่าข้าราชบริพารต่างเห็นใจหลี่เต๋อหมิง ทว่าก็มีหลายคนคิดตรงข้ามอยู่ในใจ พวกเขาหวังให้หลี่เต๋อหมิงถูกจักรพรรดิลงโทษทัณฑ์

“ขุนพลหลี่ เจ้า!… ครั้งนี้เจ้าทำได้ไม่ดี ไม่ดีมาก ๆ ด้วย!” จักรพรรดิเผยน้ำเสียงลุ่มลึกและหนาใหญ่ดังสะท้อนเหนือโถงใหญ่

องค์จักรพรรดิในรัชกาลปัจจุบันมีอายุหกสิบเก้าปีแล้ว เรียกได้ว่าแก่เฒ่าพอสมควร ทว่าความชราก็ส่วนความชรา ความยิ่งใหญ่และอำนาจที่ครอบครอง ก็ยังไม่ใช่อะไรที่เหล่าข้าราชบริพารจะกล้ามองตา สายตาของจักรพรรดิไม่ได้ฝ้าฟางตามอายุ หากแต่คมกล้าและมองได้ลุ่มลึกมากยิ่งขึ้น ราวกับสามารถมองเห็นถึงจิตใจภายในของผู้คนได้เสียด้วยซ้ำไป

เสียงของจักรพรรดิเปรียบดังค้อนอันหนักอึ้งที่ทุบลงกลางใจของหลี่เต๋อหมิง เขาเร่งโขกศีรษะตอบกลับ “ขุนพลผู้นี้สมควรตายขอรับ!”

“เจ้าก็รู้ความผิดดี! ทั้งนี่ยังเป็นความผิดใหญ่หลวง!” แม้จักรพรรดิจะเฒ่าชรา แต่น้ำเสียงกลับดังกังวาน น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยร่องรอยของโทสะ “ครั้งนี้เจ้าทราบหรือไม่ว่าความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่ทุ่งรกร้าง มันส่งผลกระทบกับอาณาจักรเหยียนเฟิงของพวกเราอย่างไร? แล้วจะนำพามาซึ่งปัญหาใดบ้าง?!”