บทที่ 261 กล่าวโทษกันเอง

บทที่ 261 กล่าวโทษกันเอง

“ขุนพลผู้นี้ทราบความผิดดีขอรับ!” หลี่เต๋อหมิงเอ่ยคำอีกครั้งด้วยความหวาดเกรง “องค์เหนือหัว ขุนพลผู้นี้เองก็ถูกอีกสามอาณาจักรทรยศหักหลัง พวกมันไร้ยางอายร่วมมือกับคนของโลกอสูร จนสุดท้ายนำความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่มาสู่ขุนพลผู้นี้ขอรับ!”

ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลี่เต๋อหมิงเอาแต่คร่ำครวญถึงความปราชัยครั้งล่าสุด หากเขาไม่ถูกกองทัพของอาณาจักรอื่นทรยศหักหลัง เขาก็คงไม่พ่ายแพ้สูญเสียหนักหนาถึงเพียงนี้

“เจ้าเป็นทหารผ่านศึกสู้รบในสมรภูมิ เจ้าเคยต่อกรกับอาณาจักรเหล่านั้นหลายต่อหลายครั้ง แต่เจ้าก็ยังเลือกที่จะเชื่อพวกมัน เป็นเจ้าไม่รอบคอบพอจนนำความพ่ายแพ้ครั้งนี้มา!” จักรพรรดิชราเอ่ยอย่างกราดเกรี้ยว

“ขุนพลผู้นี้ทราบความผิด ขุนพลผู้นี้ประมาทเลินเล่อเองขอรับ” หลี่เต๋อหมิงโขกศีรษะกับพื้นพร้อมเอ่ย “เพียงแต่ขุนพลผู้นี้ก็ยังมีเรื่องต้องรายงานให้ทราบขอรับ”

“เรื่องอะไร?” จักรพรรดิเฒ่าถามด้วยสีหน้าดำมืด

“สาเหตุที่ขุนพลผู้นี้ต้องรีบโจมตีกองทัพโลกอสูร จนต้องไว้ใจอีกสามอาณาจักร เป็นเพราะกองทัพขาดแคลนเสบียงขอรับ เสนาบดีโจวไม่ได้ทำตามข้อตกลง ทำให้เสบียงอาหารและหญ้าไม่ถูกนำส่งไปตามกำหนดเวลา ดังนั้นขุนพลผู้นี้จึงต้องเร่งรีบเผด็จศึกขอรับ!” หลี่เต๋อหมิงกล่าวออกมา

“องค์เหนือหัว!”

ตอนนี้เองที่หนึ่งในข้าราชบริพารใหญ่อายุเท่ากับหลี่เต๋อหมิงก้าวออกมาด้านหน้า เขาคุกเข่าลงเคียงข้างหลี่เต๋อหมิง เผชิญหน้ากับจักรพรรดิ “องค์เหนือหัว! ขุนนางผู้นี้มีเหตุผลขอรับ!”

“เหตุผลยากลำบากอันใด? เจ้าไม่ทราบถึงความสำคัญของเสบียงและหญ้าที่กองทัพต้องใช้หรือ?” จักรพรรดิชราถามอย่างเฉียบคม

“ข้าทราบดีขอรับ ข้าจึงจัดให้เมืองใกล้ทุ่งรกร้างส่งเสบียงไปให้ที่ค่ายของขุนพลหลี่ รวมแล้วทั้งสิ้นสามสิบหน่วยลำเลียง เสบียงที่ขนส่งไปนั้นมากพอที่จะสนับสนุนทหารของขุนพลหลี่” ข้าราชบริพารใหญ่ที่เอ่ยอยู่นี้ คือเสนาบดีนามโจวเหยียนเฟิง

“ทว่ากลับมีหน่วยขนส่งเสบียงแค่หน่วยเดียวเดินทางถึงค่ายของข้า เสบียงและหญ้าที่นำมานั้นไม่พอต่อคำว่าเพียงพอสำหรับกองทัพ!” หลี่เต๋อหมิงตอบ “ส่วนหน่วยขนส่งอื่นนั้นไม่เห็นแม้วี่แวว จนกระทั่งพวกเราถอยทัพจากทุ่งรกร้างก็ไม่มี เสนาบดีโจวมีคำอธิบายเรื่องนี้หรือไม่?”

“ไม่ใช่ความผิดของข้า หากอยากกล่าวโทษก็ต้องเป็นพวกเจ้าเอง!” โจวเหยียนเฟิงหันหน้าเผชิญกับหลี่เต๋อหมิงอย่างไร้ท่าทียอมอ่อนข้อ “รถขนส่งเสบียงเหล่านั้นถูกโจมตีโดยทัพกบฏระหว่างทาง พวกเขาเป็นเพียงแค่กองทัพสำรองที่จัดตั้งขึ้นอย่างฉุกละหุก มีกำลังรบเพียงแค่น้อยนิด ไฉนเลยจะสามารถปกป้องเสบียงและหญ้าเหล่านั้นเอาไว้ได้ หลายปีมานี้ อาณาจักรของเราปรากฏกองทัพกบฏขึ้นไม่ขาดสาย เที่ยวก่อเรื่องไปทั่วทุกแห่งหน องค์เหนือหัวทุ่มเทเงินทองให้สำนักกลาโหมของพวกเจ้า รวมถึงจัดสรรเสบียงทัพให้แล้ว แต่แทนที่จะกวาดล้างกองทัพกบฏเหล่านั้นให้ราบคาบได้ พวกเจ้ากลับปล่อยให้พวกมันเติบโตจนปีกกล้าขาแข็ง สุดท้ายก็ถูกพวกมันปล้นสะดมหน่วยขนส่ง ทำให้พวกมันเหิมเกริมรุนแรงมากขึ้น”

“เสนาบดีโจวกล่าวเช่นนั้นไม่ถูกต้อง” ตอนนี้เองที่ชายชราอีกคนในชุดเครื่องแบบสังกัดกองทัพก้าวออกมาเอ่ยขึ้น “กองทัพกบฏมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นก็เพราะการปกครองส่วนท้องถิ่นมีการฉ้อฉลที่นับวันก็ยิ่งมากขึ้น ทำให้ผู้คนอยู่อย่างยากจนและลำบากมานาน ในแต่ละวันพวกเขาแทบไม่อาจมีชีวิตได้ด้วยซ้ำ และเพื่อเอาชีวิตรอด จึงทำให้ต้องลุกขึ้นต่อต้านกันอย่างต่อเนื่อง”

“คำพูดของเสนาบดีหลี่ลำเอียงจนเกินไป เท่าที่ข้าทราบ การปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหลายต่างพยายามอย่างเต็มที่เพื่อดูแลประชากรขององค์เหนือหัว ทว่าผู้คนเหล่านั้นกลับไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ แต่เลือกที่จะฟังคำใส่ร้าย ทำให้เกิดความเห็นต่างที่ขัดแย้งกับการปกครอง สุดท้ายจึงเลือกก้าวเดินบนเส้นทางของการกบฏ ดังนั้นจึงไม่ใช่ความผิดของขุนนางเหล่านั้น! ข้าคิดว่ากองทัพต่างหากที่ไม่จัดการกวาดล้างพวกกบฏเหล่านั้นอย่างจริงจัง กระทั่งนึกสงสัยว่าจะเป็นการเพาะเลี้ยงกบฏเหล่านั้นเอาไว้เอง!” บรรดาขุนนางฝ่ายการปกครอง พวกเขาเริ่มเข้ามาสนับสนุนคำพูดนั้นกันคนแล้วคนเล่า

“เจ้า!”

“พอแล้ว! หุบปาก! แค่ก แค่ก!” จักรพรรดิชราทุบบัลลังก์มังกรของตนเองอย่างแรง พร้อมตะโกนเสียงดังลั่น เพราะเร่งร้อนเปล่งเสียงดังด้วยโทสะ จึงทำให้ต้องกระแอมไออยู่พักหนึ่ง

หลังเห็นดังนั้น เหล่าขุนนางส่วนงานปกครองและกลาโหม ต่างต้องเร่งคุกเข่าลงพร้อมเอ่ยคำ “พวกเราสมควรตาย!”

“สมควรตายงั้นหรือ!? พวกเจ้ารู้ว่าตนเองผิดอย่างนั้นหรือ?! เหอะ?!” จักรพรรดิชราเผยสีหน้ากราดเกรี้ยว “พวกเจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะแบ่งปันความกังวลทั้งวันของข้าเช่นไร เอาแต่ส่งเสียงบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบ ข่มขู่กันและกัน หัวขโมยจากโลกอสูรรุกรานถึงหน้าบ้านแล้ว พวกเจ้ายังไม่วางความคิดเหล่านั้นลง แล้วร่วมมือกันกำจัดภัยคุกคามภายนอกอีกอย่างนั้นหรือ?”

“ขุนนางสมควรตาย!” เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในที่นี้ต่างประสานเสียงกันอีกครั้ง

จักรพรรดิชรามองกลุ่มคนตรงหน้าอย่างกราดเกรี้ยวในใจ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นความขัดแย้งระหว่างขุนนางฝ่ายปกครองและฝ่ายกลาโหมโต้เถียงกันในโถงใหญ่แห่งนี้ การเผชิญหน้าระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเพียงข้ามคืน ดังนั้นจึงไม่อาจคลี่คลายได้ในข้ามคืนเช่นเดียวกัน แม้ในแง่หนึ่งของความขัดแย้งก็เป็นประโยชน์ต่อการปกครองของจักรพรรดิ แต่คนเบื้องล่างที่ไม่สอดประสานกันเช่นนี้ ทำให้อำนาจการปกครองยิ่งกลวงและว่างเปล่า หากสามารถไกล่เกลี่ยทั้งสองฝ่ายได้ การปกครองใต้หล้าก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง

ทว่าการเผชิญหน้ากันนั้นไม่ควรเกิดขึ้นจนเกินงาม มันจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมจนสั่นคลอนอำนาจการปกครอง จักรพรรดิชราได้ตระหนักว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ การประชันกันระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งรุนแรงและเกินเลยไปมาก

หน่วยขนส่งเสบียงจำนวนสามสิบหน่วย มีเพียงแค่หนึ่งหน่วยที่สามารถไปถึงทุ่งรกร้างได้ ขณะที่หน่วยอื่นเผชิญอุบัติเหตุระหว่างทางกันทั้งสิ้น เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แม้จักรพรรดิชราจะอายุมากแล้ว แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ ย่อมตระหนักได้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาทราบดีว่ามันจะต้องเกิดเรื่องขึ้น จนทำให้หน่วยขนส่งเสบียงทั้งหมดถูกบุกโจมตีโดยทัพกบฏ อีกทั้งปัญหานี้ยังเกี่ยวข้องกับฝ่ายงานการปกครอง ปัญญาชนที่คอยรับใช้ข้างกายเขาย่อมต้องทราบข้อมูลไม่มากก็น้อย

เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ ขุนนางฝ่ายงานปกครองเล็งเป้าไปยังฝ่ายกลาโหม พวกเขาต้องการให้หลี่เต๋อหมิงเจอความยากลำบากที่แนวหน้า บางทีพวกเขาอาจจะเพียงต้องการสั่งสอนบทเรียนแก่หลี่เต๋อหมิง จนอีกฝ่ายต้องมาอ้อนวอนขอร้องฝ่ายงานปกครองเพื่อนำส่งเสบียงอาหาร แต่พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าแทนที่หลี่เต๋อหมิงจะมาก้มหัวให้พวกตน อีกฝ่ายกลับเลือกที่จะบุกโจมตีกองทัพโลกอสูร จนสุดท้ายต้องประสบกับความพ่ายแพ้ ทำให้กองทัพโลกอสูรได้ฐานที่มั่นในโลกมนุษย์

เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ดังกล่าว จักรพรรดิชราก็กังวล การดิ้นรนต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายทำให้เกิดผลลัพธ์ภาพรวมอันเลวร้าย เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องดีต่อราชสำนักแม้แต่น้อย ตอนนี้เขายังมีชีวิต ยังสามารถสะกดข่มทั้งสองฝ่าย ทั้งยังสามารถทำให้เชื่อฟังได้อยู่ แต่หากเขาตายไปแล้วเล่า?

จักรพรรดิชราทราบอาการของตนเองดี แม้เขาอาจจะดูมีสุขภาพดี ทว่ากลับไม่มีเรี่ยวแรง เขาสามารถตายได้ในทุกเมื่อ ส่วนรัชทายาท มีหรือจะสามารถสยบเสนาบดีเหล่านี้เอาไว้ได้? เกรงว่าจะถูกอีกฝ่ายเล่นงานซะด้วยซ้ำ สุดท้ายจะกลายเป็นการเสียศูนย์กลางอำนาจ การเผชิญหน้าระหว่างสองฝ่ายจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ และในภายหน้าต่อให้เป็นคำของจักรพรรดิองค์ใหม่ก็คงไม่คิดรับฟัง

แม้ว่าจักรพรรดิชราตั้งใจจะเปลี่ยนสถานการณ์ แต่เขาก็ยังทราบดีว่าตนเองไม่มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรถึงขนาดนั้น เขามีเวลาไม่มากพอ หากอ่อนเยาว์กว่านี้สักสิบปี เช่นนั้นคงไม่ใส่ใจถ้าต้องเปลี่ยนคนในโถงแห่งนี้ยกชุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อเป็นการกำจัดเหล่าผู้ที่ไม่เชื่อฟังทิ้งเสีย

เพียงแต่ปัจจุบันไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เขาแก่เกินไปและไม่มีเวลาขนาดนั้น ทั้งยังไม่กล้าที่จะสร้างความวุ่นวายระดับนั้น ทำให้ทำได้เพียงหวังว่าคนเหล่านี้จะห่วงสถานการณ์โดยรวม จนหยุดการสู้รบภายในกันเองบ้าง