ตอนที่ 369 ต้องการเพิ่มหรือไม่ (1) / ตอนที่ 370 ต้องการเพิ่มหรือไม่ (2)
ตอนที่ 369 ต้องการเพิ่มหรือไม่ (1)
เหอชิวเซิงหน้าซีดอยู่พักหนึ่ง ริมฝีปากของเขาเม้มแน่นจนกลายเป็นสีม่วง ถูกผู้อื่นตบหน้าตรงๆ เช่นนนี้ ทำให้เขาอับอายอย่างถึงที่สุดจริงๆ
ท่านอาจารย์ใหญ่มองไปที่จวินอู๋เสียอีกครั้ง คราวนี้สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ นัยน์ตาของเขาก็มีความกระตือรือร้นอย่างมาก เขามองนางราวกับเป็นก้อนทองคำที่กำลังส่องแสงเรืองรองอยู่ตรงหน้าเขา
“เจ้าชื่อจวินเสียใช่หรือไม่ อีกหน่อยหากอยู่ในตึกฝั่งทิศตะวันออกแล้วพบว่ามีสิ่งใดที่เจ้ารู้สึกติดขัดไม่พอใจ ก็สามารถมาแจ้งข้าได้ตลอดเวลา” ท่านอาจารย์ใหญ่ประจบประแจงอย่างออกหน้าออกตามาก กับเด็กหนุ่มอนาคตไกล จิตใจกว้างขวางและฟุ่มเฟือยอย่างไม่น่าเชื่อเช่นนี้ เขาหวังว่าเขาจะอยู่ในสำนักศึกษาหงส์อมตะไปตลอดชีวิต
จวินอู๋เสียไม่ได้ตอบเขา
ท่านอาจารย์ใหญ่ก็กระแอมอีกครั้งหนึ่งและหันไปดุเหอชิวเซิงซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เขาด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เรื่องก่อนหน้านี้ก็ให้มันจบลงไปเถิด อย่าได้ยกมันขึ้นมาพูดอีก จวินเสียเพิ่งจะเข้ามาเรียนที่สำนักศึกษาหงส์อมตะของพวกเราและยังต้องการเวลาอีกเล็กน้อยเพื่อปรับตัวให้เข้ากับที่นี่ เจ้าดูแลลูกศิษย์ของเจ้าให้ดี อย่าปล่อยให้เด็กพวกนั้นวิ่งเพ่นพ่านไปสร้างปัญหาให้คนอื่นอีก ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจกับเจ้า!”
อำนาจของเงินตราช่างยิ่งใหญ่จริงๆ ขนาดท่านอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาหงส์อมตะก็ยังถูกมันซื้อไปแล้ว!
มุมปากของเหอชิวเซิงกระตุกยิก เขาเปิดปากขึ้น อยากจะพูดอะไรสักคำแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดมันออกไป
เจ้าหนูนี่ยังยืนอยู่ตรงนี้อย่างแข็งแรงดีและปราศจากรอยขีดข่วน! ในขณะที่ศิษย์ของเขาตอนนี้ยังลุกขึ้นจากเตียงนอนไม่ได้เลย!
ผู้ใดรังแกผู้ใดกันแน่!
แต่เหอชิวเซิงก็ข้าใจดีว่าในสายตาของอาจารย์ใหญ่ผู้นี้ ผู้ใดร่ำรวยสามารถมอบเงินให้เขาได้มากกว่า ผู้นั้นก็คือบรรพบุรุษของเขา! เหตุผลที่ตึกฝั่งทิศใต้เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในสำนักศึกษาหงส์อมตะ ไม่ใช่ว่าเพราะลูกศิษย์ของเขามีเงินมากที่สุดหรอกหรือ แต่คราวนี้เจ้าเด็กเผด็จการจากตึกฝั่งทิศตะวันออกนี่กลับโยนเงินกองใหญ่ลงมาตรงหน้าท่านอาจารย์ใหญ่ ความแตกต่างทางด้านเม็ดเงินที่มหาศาลนี้ ทำให้เขาทำได้เพียงกัดฟันทนเท่านั้น!
ค่าธรรมเนียมของลูกศิษย์ทั้งหมดในตึกฝั่งทิศใต้ รวมกันแล้วต่อให้ใช้เวลาอีกสองสามปีก็ยังทำเงินได้ไม่ถึงหนึ่งแสนตำลึงเลย แล้วเขาจะเอาอะไรไปชนะกับอีกฝ่าย
หลังจากที่ตำหนิเหอชิวเซิงเสร็จ ท่านอาจารย์ใหญ่ก็หันไปพูดกับจวินอู๋เสียด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนเหมือนกับสายลมของฤดูใบไม้ผลิว่า “ถ้าเจ้าไม่พอใจเยี่ยนปู้กุย ก็สามารถมาแจ้งข้าโดยตรงได้เช่นกัน ข้าจะจัดหาใครก็ตามที่เจ้าต้องการมาเป็นอาจารย์ให้”
จวินอู๋เสียกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ตึกฝั่งทิศตะวันออกดีมากอยู่แล้ว”
“ใช่ใช่ใช่ นับเป็นพรสำหรับเยี่ยนปู้กุยที่ได้พบกับศิษย์ที่ยอดเยี่ยมเช่นเจ้าในชีวิตนี้ นี่คงเป็นบุญกุศลที่เขาสั่งสมมาตั้งแต่ชาติภพก่อนกระมัง” ท่านอาจารย์ใหญ่ยิ้มอย่างสดใส
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” จวินอู๋เสียไม่อยากจะมองใบหน้าที่ประจบสอพลอของท่านอาจารย์ใหญ่อีก
“ตามสบายๆ กลับไปเถอะ ปู้กุยเอ๋ย ยืนบื้ออยู่ทำไมไม่รีบส่งลูกศิษย์ของเจ้ากลับไปพักผ่อนอีก ดูสิเขาตัวเล็กถึงเพียงนั้น แค่ลมพัดก็น่าจะปลิวได้แล้วกระมัง เจ้าไปสั่งให้คนครัวเตรียมอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสักหลายรายการหน่อย จากนั้นค่อยส่งไปที่ตึกทิศตะวันออก บำรุงร่างกายน้อยๆ ของศิษย์เจ้า” ท่านอาจารย์ใหญ่แสดงความใจกว้างอย่างหาได้ยาก
เยี่ยนปู้กุยพาจวินอู๋เสียเดินออกจากห้องหนังสือที่ทรุดโทรมนั้นด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า การแสดงออกของเขายังคงเฉื่อยชา ราวกับว่ายังไม่ฟื้นสติสักเรื่องน่าตกใจเมื่อสักครู่ดี
“ยัยหนู เจ้าไปได้เงินมาจากไหนมากมายเพียงนั้น” เยี่ยนปู้กุยมองไปที่จวินอู๋เสีย จากนั้นภาพที่สาวน้อยโยนตั๋วแลกเงินหนึ่งแสนตำลึงออกไปก็ฉายชัดขึ้นมาในหัวของเขาอีกครั้ง ไม่ต้องพูดถึงว่ามันทำให้เหอชิวเซิงและท่านอาจารย์ใหญ่เกือบตาบอด แม้แต่เยี่ยนปู้กุยผู้เป็นอาจารย์ของนางคนนี้ ก็ยังรู้สึกว่าโลกนี้มันช่างเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์เหลือเกิน
เด็กน้อยที่สวมใส่ชุดอาภรณ์ธรรมดาๆ ดูเหมือนจะมาจากครอบครัวที่มีพื้นเพไม่สูงนัก แต่เพียงลงมือ กลับสามารถโยนตั๋วแลกเงินหนึ่งแสนตำลึงออกไปได้อย่างตาไม่กะพริบ…
นับตั้งแต่ที่เยี่ยนปู้กุยลงมายังสามโลกเบื้องล่างแห่งนี้ ตลอดหลายปีจำนวนเงินมากที่สุดที่เขาได้สัมผัสก็มีเพียงแค่ร้อยกว่าตำลึงเท่านั้น
“มากหรือ” จวินอู๋เสียเห็นท่าทางที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงของเยี่ยนปู้กุย นัยน์ตาก็ผุดความสงสัยขึ้นมา
หลังจากที่นางเกิดใหม่ นางไม่เคยซื้อหาอะไรด้วยตัวเองเลย ขอเพียงแค่ต้องการจวินเสี่ยนพ่อจะเตรียมทุกอย่างไว้ให้นางพร้อมสรรพ ดังนั้นเรื่องเกี่ยวกับคุณค่าของเงินนี้ นางจึงไม่รู้แม้แต่นิดเดียว ส่วนตั๋วแลกเงินที่พกอยู่บนตัวของนาง ล้วนเป็นจวินเสี่ยนที่ยัดใส่ไว้ในมือของนางก่อนที่นางจะจากบ้านมา ซึ่งมันก็มีคุณค่าไม่ต่างอะไรไปจากเศษกระดาษในสายตาของนาง
“ท่านต้องการมันเพิ่มหรือไม่ ข้ายังมีอยู่” จวินอู๋เสียมองไปที่เยี่ยนปู้กุยแล้วควักเอาตั๋วแลกเงินอีกหนึ่งปึกหนาออกมาจากแขนเสื้อของนาง
ในปึกนั้นแต่ละใบ ที่มีมูลค่าต่ำสุดก็ไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นตำลึงแล้ว!
นอกจากจวินเสี่ยนแล้ว ยังมีมั่วเฉี่ยนยวนอีกคนที่ได้ทำสิ่งเดียวกันนั่นคือยัดตั๋วแลกเงินจำนวนมากใส่มือของจวินอู๋เสียก่อนที่นางจะจากมา
คนหนึ่งมีฐานะเป็นอ๋อง ส่วนอีกคนมีฐานะเป็นฮ่องเต้…ขอบเขตมูลค่าของตั๋วแลกเงินพวกนี้จะต่ำกว่าอักษร ‘หมื่น’ ได้อย่างไร
……
…
อู๋เสียของเราขว้างเงินเหมือนขว้างกระดาษชำระจริงๆ ก้มมองดูหม่าล่าปิ้งย่างในชามอย่างเงียบๆ แล้วพูดกับพนักงานเสิร์ฟอย่างภาคภูมิใจว่า “ขอเพิ่มมันฝรั่งราคาห้าเหมาให้ฉันไม้หนึ่ง!” มีเงิน ก็สามารถทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจจริงๆ!
ตอนที่ 370 ต้องการเพิ่มหรือไม่ (2)
ดวงตาของเยี่ยนปู้กุยเกือบถลนออกมาจากเบ้าตา เขาจ้องมองไปที่ตั๋วแลกเงินในมือของจวินอู๋เสียที่ยัดใส่อ้อมแขนของเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากที่ลองกวาดสายตานับดูผ่านๆ น่าจะมีอยู่อย่างต่ำสักหนึ่งล้านตำลึงในมือของเขา…
เยี่ยนปู้กุยรู้สึกกระวนกระวายใจมาก เขารีบคืนตั๋วแลกเงินทั้งหมดกลับไปให้อู๋จวินเสียทันที
“ไม่ต้องหรอก เจ้าเก็บไว้เองเถิด” ขณะที่เขาพูดหัวใจของเยี่ยนปู้กุยก็ราวกับมีเลือดไหลลงมาซิบๆ…
ยัยหนูนี่ ทำไมถึงได้ร่ำรวยมากขนาดนี้นะ!
แล้วจะให้บุรุษอกสามศอกอย่างเขา อดทนต่อกลิ่นอันแสนยั่วเย้าของพวกมันได้อย่างไร
จวินอู๋เสียรับเงินคืนไป ไม่ได้สนใจหัวใจอันแสนบอบบางของเยี่ยนปู้กุยว่ามันจะถูกนางทำให้แหลกสลายไปจนหมดแล้ว
เมื่อพวกเขากลับไปที่ตึกฝั่งทิศตะวันออก เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ต่างก็รอพวกนางอยู่ที่ลานเรือนพักอยู่แล้ว ไม่มีใครจากไปไหน และเมื่อเห็นว่าจวินอู๋เสียและเยี่ยนปู้กุยกลับมาอย่างรวดเร็ว ทั้งสี่คนก็รีบวิ่งเข้าไปหาคนทั้งคู่ที่เพิ่งก้าวเข้าประตูมา
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านอาจารย์ใหญ่ได้พูดอะไรหรือไม่” เฉียวฉู่ถามอย่างอดใจไม่ไหว
เยี่ยนปู้กุยถอนหายใจหนัก ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความเศร้าโศกและความขุ่นเคือง ทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ของฉียวฉู่และคนอื่นๆ ถูกแขวนอยู่กลางอากาศ
“ในอนาคต…”
เฉียวฉู่และคนอื่นๆ กลืนน้ำลายดังอึก จ้องไปที่เยี่ยนปู้กุยโดยไม่ละสายตา
“ไอ้เจ้าเหอชิวเซิงนั่นจะไม่มาหาเรื่องพวกเราอีกแล้ว!” การแสดงออกที่น่าเศร้าบนใบหน้าของเยี่ยนปู้กุยถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มกว้างทันที
“เอ๋!” เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ร้องอุทานเสียงหลง พร้อมใจกันจ้องไปที่ผู้เป็นอาจารย์อย่างตกตะลึง
เฉียวฉู่หันกลับมามองที่จวินอู๋เสียเป็นคนแรก พริบตานั้นคล้ายกับจะเข้าใจอะไรได้ เขาถามนางด้วยความสยดสยองว่า “น้องเสีย! คงไม่ใช่ว่าเจ้า…ทุบตีเหอชิวเซิงและท่านอาจารย์ใหญ่ไปแล้วหรอกนะ!”
ด้วยนิสัยของจวินเสียเช่นนี้ มีความเป็นไปได้มากถึงเก้าในสิบส่วน!
“เปล่า” จวินอู๋เสียตอบ
“เจ้า…เจ้าอย่าปล่อยให้ตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม หากว่าคนพวกนั้นกดดันเจ้าจริงๆ ข้ากับเยียนเอ๋อร์จะแอบออกไปปล้นเงินไม่ให้ท่านอาจารย์รู้เอง” เฉียวฉู่ยังคงกังวลเล็กน้อย
เยี่ยนปู้กุยที่ยืนอยู่ด้านข้างเขากลอกตา จากนั้นก็ตบไปที่ศีรษะของศิษย์ที่โง่เขลาอย่างน่าเวทนาของเขาหนึ่งฉาดใหญ่ๆ “เห็นว่าข้าตายไปแล้วหรือ” กล้าพูดต่อหน้าต่อเขาเช่นนี้ ยังมีหน้ามาบอกว่าจะแอบทำไม่ให้เขารู้อย่างลับๆ อีก!
จวินอู๋เสียเองก็ตกตะลึงเล็กน้อยกับสิ่งที่เฉียวฉู่กล่าว เรื่องง่ายดายถึงเพียงนั้น ในสายตาของพวกเขามันกลายเป็นสถานการณ์ที่ซับซ้อนเพียงนี้เชียวหรือ
“เอาล่ะๆ แยกย้ายกันไปฝึกเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว อย่าไปแอบขี้เกียจเชียว” เยี่ยนปู้กุยผลักเด็กๆ ออกไปพร้อมรอยยิ้มหนาๆ ที่มุมปากซึ่งซ่อนอยู่ใต้เคราของเขา
ลูกศิษย์คนใหม่ของเขาคนนี้ รับมาได้อย่างไม่ขาดทุนจริงๆ!
เยี่ยนปู้กุยไม่ได้ตั้งใจที่จะอธิบายรายละเอียดทุกอย่างให้กับเฉียวฉู่และคนอื่นๆ ฟัง เฉียวฉู่และคนอื่นๆ จึงทำได้เพียงเดินจากไปอย่างเงียบๆ และกลับไปฝึกฝน เพราะในใจของพวกเขายังมีความทุกข์และความกังวลมากมายให้ต้องจัดการ และเตรียมความพร้อม เวลานี้พวกเขาจึงมุ่งเป้าไปที่การเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง เผื่อว่าสักวันหนึ่งเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกและท่านอาจารย์ใหญ่กับเหอชิวเซิงมาหาเรื่องพวกเขาอีกครั้ง จะได้สามารถปกป้องจวินอู๋เสียได้
จวินอู๋เสียกลับมาที่ห้องพักของนางและนั่งลง พร้อมกับอุ้มเจ้าแมวดำตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน นางเพียงเรียกออกไปเบาๆ ร่างของเยี่ยซาก็พุ่งผ่านประตูห้องเข้ามาแล้วมาปรากฏตัวต่อหน้านาง
“คุณหนูใหญ่ ท่านจะสั่งอะไรหรือขอรับ” เยี่ยซากล่าวขณะที่คุกเข่าลงข้างหนึ่ง
จวินอู๋เสียหยิบปึกตั๋วแลกเงินออกมาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็กระซิบพูดกับเยี่ยซาสักสองสามคำ หลังจากนั้นไม่นาน เยี่ยซาก็เก็บปึกตั๋วแลกเงินนั้นไปแล้วร่างของเขาก็หายไปในทันที
จวินอู๋เสียยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้และมองลงไปที่เจ้าแมวดำตัวน้อยที่กำลังหลับอยู่ในอ้อมแขนของนาง
ถ้ามันตื่นขึ้นมา บางทีมันอาจจะบอกนางได้ถึงวิธีจัดการกับปัญหาในมือนี้
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เฉียวฉู่และคนอื่นๆ เดินออกมาจากห้องพักของพวกเขาพร้อมกับวงสีดำรอบตา พวกเขาไม่หลับตลอดคืนทั้ง เพราะมัวแต่คิดมากและกังวลใจเนื่องจากไม่ได้ยินเสียงรบกวนใดๆ จากด้านนอกเลย ซึ่งทำให้พวกเขาค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น ดูสิ ไม่ใช่ว่าทั้งคนสี่คนตอนนี้เดินโซเซออกมาจากห้องหรือไร เมื่อเดินออกไปและเห็นหน้ากันเอง แต่ละคนก็แสดงรอยยิ้มขมขื่นหดหู่
“ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์ใหญ่และคนอื่นๆ ไม่ได้วางแผนที่จะมาหาปัญหาหลังจากนี้แล้วจริงๆ ท่านอาจารย์กับน้องเสียทำได้อย่างไรกันนะ” เฉียวฉู่เกาหัวของเขาด้วยความงงงวย
รอบงตาของฮวาเหยาเองก็มีรอยหมองคล้ำ เขาส่ายหัวเล็กน้อย สับสนไม่แพ้เฉียวฉู่
“ไม่มาก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ เจ้าก็อย่าได้กังวลไปเลย” เฟยเยียนเหยียดตัวอย่างเฉื่อยชา ใบหน้าที่อ่อนหวานและน่ารักของนางดูเหนื่อยเล็กน้อย
หรงรั่วเพียงแค่จัดคอเสื้อของเขาและไม่ได้พูดอะไรมาก