ตอนที่ 185 สวรรค์มีตา

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 185 สวรรค์มีตา
ทว่า เมื่อสงบสติอารมณ์ลงได้ ตอนนั้นฉินซ่างจื้อรู้สึกว่าเขาแค่วู่วามไปเพราะถ้อยคำที่น่าตะลึงของไป๋ชิงเหยียนเท่านั้น

บนโลกนี้สตรีโดดเด่นได้ยากมาก ที่สำคัญเขาอายุสี่สิบกว่าแล้ว ตระกูลไป๋อยู่ในเมืองหลวงท่ามกลางอันตราย เขาคิดว่าเขาคงรอไม่ถึงวันที่ไป๋ชิงเหยียนแบกธงเฮยฟานไป๋หมั่งของกองทัพไป๋ขึ้นมาได้ รอไม่ถึงวันที่ไป๋ชิงเหยียนเติบโตจนสามารถปกป้องชาวบ้านและแคว้นต้าจิ้นเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเขาได้!

ดังนั้น เมื่อเขาพบองค์รัชทายาท เขาจึงเลือกติดตามพระองค์

นึกไม่ถึงเลยว่า เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ …ไป๋ชิงเหยียนจะทำได้อย่างที่นางเคยกล่าวไว้ เดินทางมาที่หนานเจียง…แบกธงใหญ่ของกองทัพไป๋ขึ้น!

เสียดาย!

เขาเสียดายที่ตัวเองดูถูกหลานสาวคนโตของตระกูลไป๋ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าบุรุษผู้นี้

ทว่า เขาเป็นบัณฑิต เป็นที่ปรึกษา!

ศักดิ์ศรีของที่ปรึกษาคือความภักดี เมื่อเลือกนายแล้วจะไม่มีวันแบ่งใจเป็นอื่น ไม่มีวันทรยศผู้เป็นนาย มิเช่นนั้นคงโดนครหาจากคนรุ่นหลัง ถูกใต้หล้าเย้ยหยัน!

เขาไม่อาจทำลายศักดิ์ศรีของการเป็นที่ปรึกษาได้

แม้เขาไม่อาจทำตามสัญญาที่ให้ไว้ที่เนินเขาซึ่งห่างจากเมืองหลวงสิบลี้ว่าจะช่วยเหลือเคียงบ่าเคียงไหล่กับไป๋ชิงเหยียนได้ ทว่า เขายินดีปกป้องไป๋ชิงเหยียนให้ปลอดภัยในการเดินทางมาหนานเจียงในครั้งนี้ด้วยชีวิต

เมืองเวิ่งได้รับข่าวว่ากองทัพชนะศึกที่ภูเขาเวิ่ง

แม่ทัพกองทัพไป๋ทั้งสามคนที่รักษาบาดแผลอยู่ที่เมืองเวิ่งได้ยินว่าเสี่ยวไป๋ไซว่ ไป๋ชิงเหยียนกลับมาแล้ว ตอนนี้กำลังนำกองทัพไป๋ที่รบชนะจากศึกหุบเขาเวิ่งเดินทางกลับมายังเมืองเวิ่ง ต่างตกตะลึงกันยกใหญ่

เสิ่นคุนหยาง กู่เหวินชังและเว่ยจ้าวเหนียนล้วนเป็นคนเก่าแก่ของกองทัพไป๋ พวกเขารู้ดีว่าตอนนั้นไป๋ชิงเหยียนได้รับบาดเจ็บหนักเพียงใด หญิงสาวถูกแทงที่ท้องซ้ำยังพลัดตกลงไปในแม่น้ำในฤดูหนาวของเดือนสิบสอง

หญิงสาวรอดชีวิตมาได้จากสถานการณ์เช่นนั้นพวกเขาก็รู้สึกว่าสวรรค์คุ้มครองแล้ว พวกเขายังเคยเสียดายอยู่เลยที่เสี่ยวไป๋ไซว่สูญเสียวิทยายุทธไป

ทว่าบัดนี้ เหตุใดเสี่ยวไป๋ไซว่จึงกลับมากัน!

นางสูญเสียวิทยายุทธไปหมดแล้วจะออกรบได้อย่างไรกัน

ศึกครั้งนี้เฉิงหย่วนจื้อปกป้องเสี่ยวไป๋ไซว่ดีหรือไม่ เขาปล่อยให้เสี่ยวไป๋ไซว่ได้รับบาดเจ็บบ้างหรือไม่!

กองทัพไป๋ที่รักษาบาดแผลอยู่ในเมืองเวิ่งต่างขึ้นไปยืนบนกำแพงสูงมองไกลออกไป

ทหารกองทัพไป๋ที่ใช้ผ้าพันแผลพันบริเวณบาดแผล มือหนึ่งถือไม้เท้ามองเห็นกองทัพขี่ม้าเร็วพลางชูธงเฮยฟานไป๋หมั่งขึ้นสูงแล่นเข้ามาแต่ไกล ไม่รู้ว่าผู้ใดร้องตะโกนออกมาเสียงดังอย่างตื่นเต้น “กลับมาแล้ว! กลับมาแล้ว! กองทัพไป๋ของพวกเรากลับมาแล้ว!”

บนกำแพงสูง บรรยากาศครึกครื้นขึ้นมาทันที ทุกคนพากันร้องตะโกน “กองทัพไป๋กลับมาแล้ว!”

กู่เหวินชังที่ถือไม้เท้าอยู่ในมือข่มความตื่นเต้นในใจเอาไว้ เอ่ยถามเว่ยจ้าวเหนียนในชุดคลุมยาวสีขาวซึ่งได้รับบาดเจ็บที่ดวงตาข้างหนึ่งเสียงเบา “มองเห็นเสี่ยวไป๋ไซว่แล้วหรือไม่!”

กู่เหวินชังยังไม่ได้เอ่ยตอบก็ได้ยินเสียงเสิ่นคุนหยางตะโกนเสียงดังพลางชี้นิ้วไปยังเบื้องหน้า “พวกเจ้าดูนั่น! ใช่เสี่ยวไป๋ไซว่หรือไม่…คนที่ถือหอกเงินหงอิงอยู่ด้านหน้าสุดคนนั้น!”

ม้าเร็วแล่นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กู่เหวินชังและเสิ่นคุนหยางมองเห็นไป๋ชิงเหยียนที่ขี่ม้าอยู่ด้านหน้าสุดของกองทัพอย่างชัดเจน แม้แต่เว่ยจ้าวเหนียนที่เหลือดวงตาเพียงข้างเดียวก็มองเห็นอย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน

เว่ยจ้าวเหนียนขบกรามแน่น ดวงตาแดงก่ำ ลมหายใจติดขัดขึ้นมาทันที

เขานึกว่าแม่ทัพของตระกูลไป๋เสียชีวิตลงหมดแล้ว กองทัพไป๋จะไม่ใช่กองทัพไป๋อีกต่อไปแล้ว กองทัพไป๋ที่เหลืออยู่หนึ่งหมื่นนายคงต้องจบชีวิตลงที่หนานเจียงเช่นเดียวกัน

เขานึกว่าเมื่อเขาห้ามเฉิงหย่วนจื้อไม่ให้นำกองทัพไป๋หนึ่งหมื่นนายไปช่วยเสริมทัพกองทัพต้าจิ้นที่ราชสำนักส่งมาไม่สำเร็จ วันนี้จะกลายเป็นวันรำลึกของกองทัพไป๋ เขานึกว่าต่อจากนี้จะไม่มีกองทัพไป๋อีกต่อไปแล้ว!

ทว่า จู่ๆ เสี่ยวไป๋ไซว่ก็กลับมาอย่างไม่บอกไม่กล่าว นำกองทัพไป๋กลับมาหลังจากได้รับชัยชนะ!

เว่ยจ้าวเหนียนเลือดพลุ่งพล่าน ตอนนี้เขาถึงเชื่อว่ากองทัพห้าหมื่นนายเอาชนะกองทัพนับแสน

ของอวิ๋นพั่วสิงได้จริงๆ ไป๋ชิงเหยียนหลานสาวคนโตของจวนเจิ้นกั๋วกงคือนักรบยอดฝีมือ นางไม่เคยวางแผนผิดพลาดมาก่อน

เว่ยจ้าวเหนียนเงยหน้ามองดูดวงดาวที่พร่างพราวอยู่เต็มท้องฟ้า ขบกรามแน่น…

สวรรค์มีตา ไม่โหดร้ายกับกองทัพไป๋เกินไปนัก!

ท่านแม่ทัพใหญ่ รองแม่ทัพใหญ่ บรรดาแม่ทัพตระกูลไป๋และเหล่าทหารของกองทัพไป๋ที่เสียชีวิตไปแล้วคอยปกป้องคุ้มครองกองทัพไป๋หนึ่งหมื่นนายที่ยังหลงเหลืออยู่ ดังนั้นจึงดลบันดาลให้เสี่ยวไป๋ไซว่กลับมา!

“เสี่ยวไป๋ไซว่จริงๆ ด้วย เร็วเข้า! รีบตามข้าไปต้อนรับเสี่ยวไป๋ไซว่ที่นอกเมือง!” กู่เหวินชังตะโกนออกมาทั้งน้ำตา กู่เหวินชังถือไม้เท้าพลางเกาะกำแพงเดินลงไปด้านล่างด้วยความตื่นเต้น

เสิ่นคุนหยางและเว่ยจ้าวเหนียนรีบเดินตามกู่เหวินชังลงไปด้านล่าง

ประตูเมืองบานหนักซึ่งโดนศัตรูฟันจนเป็นรอยค่อยๆ เปิดออก พื้นเต็มไปด้วยเศษไม้และคราบเลือด นี่คือร่องรอยที่กองทัพซีเหลียงทิ้งไว้หลังจากบุกโจมตีเมือง ทหารคุ้มกันเมืองเวิ่งเพียงแค่เก็บกวาดซากศพ เพราะกลัวว่ากองทัพซีเหลียงจะย้อนกลับมาโจมตีอีกครั้ง พวกเขาจึงยังไม่ได้ทำความสะอาดร่องรอยโหดร้ายเหล่านั้น

กู่เหวินชัง เว่ยจ้าวเหนียนและเสิ่นคุนหยางนำทหารที่ได้รับบาดเจ็บของกองทัพไป๋ยืนรออยู่ที่ด้านบนสุดของสะพานแขวนป้องกันเมือง สายตาที่มองดูม้าศึกที่ควบเข้ามาท่ามกลางความมืดราวกับมองดูแสงสว่างที่ส่องอยู่ท่ามกลางความมืด แม้เป็นเพียงแสงริบหรี่ก็ยังละสายตาไปไม่ได้

“พี่หญิงใหญ่ ด้านหน้ามีคนเจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นจื้อชี้ไปยังสะพานแขวนป้องกันเมืองด้านหน้าที่เหมือนจะมีร่างของคนนับร้อยยืนอยู่

“พวกเสิ่นคุนหยางขอรับ!” เฉิงหย่วนจื้อยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้กองทัพลดความเร็วลง

ไป๋ชิงเหยียนกุมบังเหียนเร่งควบม้าไปหยุดอยู่หน้าสะพานแขวนของเมืองเวิ่ง มองดูทหารกองทัพไป๋ที่ได้รับบาดเจ็บ เมื่อเห็นว่าพวกเขาคาดผ้าไว้อาลัยไว้ที่ศีรษะ ดวงตาของนางร้อนผ่าว

หญิงสาวลงจากหลังม้า ลำคอตีบตัน ยังไม่ทันเอ่ยสิ่งใด ก็ได้ยินเสิ่นคุนหยางที่หนวดเคราเต็มใบหน้าเอ่ยเรียกเสี่ยวไป๋ไซว่ด้วยเสียงแผ่วเบา จากนั้นทหารกองทัพไป๋ที่ได้รับบาดเจ็บทุกคนพากันคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น

“ลุงกู่ ลุงเสิ่น แม่ทัพเว่ย ชิงเหยียนมาช้าไปเจ้าค่ะ!” ไป๋ชิงเหยียนคุกเข่าคำนับทั้งสามคนทั้งน้ำตา

“ไม่ช้า! ไม่ช้าขอรับ!” เสิ่นคุนหยางตื่นเต้น รีบเข้าไปประคองไป๋ชิงเหยียน เมื่อเห็นคราบเลือดที่แห้งกรังบริเวณหัวไหล่ของไป๋ชิงเหยียน เขาเบิกตาโพลงพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เอ่ยถามอย่างยากลำบาก “เสี่ยวไป๋ไซว่ยังทนหนาวไม่ได้อยู่หรือไม่ขอรับ! ฟื้นคืนวิทยายุทธแล้วหรือขอรับ! ศึกครั้งนี้ได้รับบาดเจ็บหนักหรือไม่ขอรับ!”

เสิ่นคุนหยางเห็นไป๋ชิงเหยียนเติบโตอยู่ในค่ายทหารมาตั้งแต่เด็ก ครั้งแรกที่เข้ามาในค่าย ไป๋ชิงเหยียนก็อยู่ในสังกัดของเสิ่นคุนหยาง ตอนนั้นไป๋ชิงเหยียนเป็นสตรีที่ยิ่งผยอง เป็นวัยรุ่นมีความมั่นใจ มือหนึ่งถือธนูเซ่อรื้อ มือหนึ่งถือหอกเงินหงอิง กล้าท้าทายทหารทุกคนในสังกัดของเสิ่นคุนหยาง จวบจนเอาชนะเสิ่นคุนหยางได้ นางจึงได้ตำแหน่งทัพหน้ามาครอบครอง

ในสายตาของเสิ่นคุนหยาง ไป๋ชิงเหยียนคือเสี่ยวไป๋ไซว่และเป็นลูกหลานที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็ก

“เสี่ยวซื่อ!” ไป๋ชิงเหยียนหันกลับไปเรียกไป๋จิ่นจื้อ

ไป๋จิ่นจื้อรับคำพลางวิ่งไปหาไป๋ชิงเหยียน

“นี่คือน้องสาวคนที่สี่ของข้า บุตรสาวภรรยาเอกของท่านอาสาม!” ไป๋ชิงเหยียนแนะนำไป๋จิ่นจื้อให้พวกเสิ่นคุนหยางได้รู้จัก

ไป๋จิ่นจื้อกำหมัดคารวะแม่ทัพทั้งสามอย่างนอบน้อม “ไป๋จิ่นจื้อยินดีที่ได้พบผู้อาวุโสทั้งสามเจ้าค่ะ!”

เสิ่นคุนหยาง เว่ยจ้าวเหนียนและกู่เหวินชังรีบทำความเคารพกลับ

“คุณหนูสี่!” เสิ่นคุนหยางมองดูไป๋จิ่นจื้อด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “ได้ยินท่านแม่ทัพใหญ่กล่าวอยู่เป็นประจำว่าคุณหนูสี่คือเด็กที่เหมือนกับท่านแม่ทัพใหญ่ตอนหนุ่มมากที่สุด! พวกเรารอที่จะพบคุณหนูสี่มานาน ในที่สุดวันนี้ก็ได้พบเสียที!”

เสิ่นคุนหยางกล่าว ทว่า จู่ๆ น้ำเสียงก็แผ่วลง ในใจเจ็บปวดเป็นที่สุด “ทว่า นึกไม่ถึงเลยว่า…จะได้เจอกันในสถานการณ์เช่นนี้”

ดวงตาทั้งสองข้างของไป๋จิ่นจื้อแดงก่ำขึ้นเช่นเดียวกัน กำมือที่แนบอยู่ข้างลำตัวแน่น “ท่านปู่…คิดว่าข้าเหมือนท่านตอนวัยหนุ่มที่สุดอย่างนั้นหรือเจ้าคะ!”

“อย่ามัวสนทนากันตรงนี้เลย! กลับเมืองเวิ่งก่อนเถิด!” กู่เหวินชังกลั้นสะอื้น เงยหน้ามองดูกองทัพไป๋ที่ต่างได้รับบาดเจ็บ “เหล่าทหารต้องไปทำแผล! เสี่ยวไป๋ไซว่ก็เช่นเดียวกัน! ทำแผลเสร็จค่อยว่ากันเถิด”