ตอนที่ 68-2 การแต่งงาน

หลี่เสี่ยวหรันถอนหายใจ ขณะที่ทิ้งแขนเสื้อของตนเองลงด้วยอารมณ์หงุดหงิด โดยมิได้กล่าวอันใดออกมา

สำหรับเขาแล้ว เขามิเชื่อว่าหลี่จางเล่อจะกล้าสาปแช่งตนเองเช่นนั้น

แต่เมื่อได้เห็นทุกอย่างด้วยตาของเขาเองแล้ว เขาจะมิเชื่อได้อย่างไร?

ซื่อหยินเหนียงมิได้กล่าวอันใดออกมาเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เมื่อนางเห็นว่าหลี่จางเล่อยังคงมีแววตาที่เย่อหยิ่งและจองหองปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง

จึงเกิดความรู้สึกผิดหวังขึ้นมาในหัวใจที่มิได้กล่าวอันใดออกมา

จากนั้นสายตาของนางได้สบตากับหลี่เว่ยหยางกลางอากาศด้วยความตั้งใจ

จากนั้นนางได้ยิ้มจาง ๆ และเดินจากไปพร้อมกับหลี่ฉางซีและหลี่ฉางเซียว ผู้ซึ่งเป็นบุตรสาวของนางทั้งสองคน

และหลี่เว่ยหยางส่งท่านผู้อาวุโสหลี่กลับไปยังตำหนักของนางด้วยตนเอง

ในขณะที่นางเดินกลับมายังตำหนักหยวนซีของตนเอง จึงได้พบกับหลี่หมินเต๋อ ผู้ซึ่งกำลังรอนางอยู่ที่บริเวณทางเดิน

เมื่อเด็กชายเห็นนางจึงยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจพร้อมกับรีบร้อนก้าวเข้ามาหา ขณะที่กล่าวว่า

“พี่สาม คราวนี้ท่านเสี่ยงมากเกินไป”

ประโยคแรกของหลี่หมินเต๋อคือประโยคนี้

จากนั้นหลี่เว่ยหยางจึงเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปยังเขา พร้อมกับกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบาว่า:

“หมินเต๋อ”

หลี่หมินเต๋ออดมิได้ที่จะเสียความรู้สึก ที่เห็นว่าพี่สามผู้งดงามของเขาเป็นหญิงสาวที่มีความเจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก

โดยรู้ชัดว่า เมื่อนางใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนเช่นนี้ จะทำให้น้องชายผู้นี้มิมีการต่อต้านและหัวใจของเขาจะอ่อนยวบลงทันที

ดังนั้นนางจึงใช้มันในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้….

เพื่อที่เขาจะได้มิสามารถเปิดปากของตนเอง เพื่อตำหนินางมิได้บอกกล่าวเขาล่วงหน้า

เจ้าเล่ห์มากพี่สาม ท่านเจ้าเล่ห์มาก …

อย่างไรก็ตาม เดิมทีเขามีความรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมากกับความรู้สึกมิไว้วางใจนาง

แต่หลังจากที่นางเอ่ยชื่อเขาด้วยความอ่อนโยนแล้ว อารมณ์เหล่านั้นก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง และเขามิสามารถโกรธเคืองนางได้อีกต่อไป …

เมื่อรู้ว่าเขามิพอใจที่นางมิได้เตือนเขาล่วงหน้า หลี่เว่ยหยางก็อดมิได้ที่จะหายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวว่า:

“หมินเต๋อการรู้ว่าสถานการณ์นี้มิใช่เรื่องดี เป็นเรื่องง่ายที่ข้อมูลจะรั่วไหล ที่สำคัญที่สุดคือมันเสี่ยงเกินไป”

หลี่หมินเต๋อขมวดคิ้วและกล่าวว่า:

“ท่านกำลังกล่าวว่า…ท่านไว้วางใจซื่อหยินเหนียงมากกว่าข้าเช่นนั้นหรือ?”

หลี่เว่ยหยางยิ้มในขณะเดียวกันก็ประหลาดใจกับความเฉียบแหลมและความฉลาดของเขา:

“ไม่ ข้าคอยระวังตลอดเวลา เพราะกลัวว่านางจะหักหลัง แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่แล้ว ทำให้รู้สึกว่าตนเองคิดมากจนเกินไป

แม้ว่าซื๋อหยินเหนียงจะทำตามแผนนี้ แต่ข้าก็มิเข้าใจเช่นกันว่า เหตุใดนางจึงลากบุตรสาวของตนเองเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้…”

หลี่หมินเต๋อยิ้มและกล่าวว่า:

“เมื่อครู่ท่านแม่กล่าวกับข้าว่า นางได้รับข่าวมาว่า ฮูหยินใหญ่และพี่ใหญ่เคยปรึกษากันเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานของพี่สี่และพี่ห้า

พวกนางจะให้พี่ห้าแต่งงานกับคุณชายสามของบ้านตระกูลหลง”

หลี่เว่ยหยางมิได้แปลกใจที่ได้ยินเช่นนั้น

เพราะในชาติที่แล้ว ได้มีงานแต่งงานเกิดขึ้นระหว่างหลี่ฉางเซียวกับองค์ชายห้า

อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานะของนาง หลังจากแต่งงานแลัว นางจึงสามารถเป็นได้เพียงแค่นางบำเรอเท่านั้น

สำหรับชีวิตในชาติที่แล้วของหลี่ฉางซีนั้น นางได้แต่งงานกับบุตรชายคนที่สองของซูเหมากง

แต่ตอนนี้บุตรสาวที่เกิดมาจากซื่อหยินเหนียงได้มีหน้าตาที่อัปลักษณ์ไปเสียแล้ว

เหตุใดฮูหยินใหญ่จึงต้องการให้นางแต่งงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายกับบุตรชายของขุนนางหลง?

มันเป็นไปได้หรือไม่ ที่การแต่งงานในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อฮูหยินใหญ่

แต่สำหรับซื่อหยินเหนียงแล้ว มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายจนนางมิสามารถรับได้

“บุตรชายคนที่สามของขุนนางหลงที่ชื่อ เฉิงหลิน เกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่สง่างาม

และตระกูลหลง ยังเป็นตระกูลขุนนางที่มีความซื่อสัตย์และจงรักภักดีมาหลายชั่วอายุคนแล้ว

ดูผิวเผินแล้ว มิมีสิ่งใดที่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับการแต่งงานในครั้งนี้ ท่านพ่อคงจะพิจารณาดีแล้ว”

จากนั้นเว่ยหยางดูราวกับว่าจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงกล่าวอีกว่า

“ดูผิวเผินหรือ? เป็นไปได้หรือไม่…” หลี่เว่ยหยางขมวดคิ้ว

“พี่สาม ตอนนี้ท่านเป็นเซียนจูแล้วดังนั้นการแต่งงานของท่านมีเพียงฝ่าบาทเท่านั้นที่จะสามารถตัดสินพระทัยได้

ต่อไปฮูหยินใหญ่มิสามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวได้อย่างง่ายดาย

แต่สำหรับหญิงสาวผู้อื่นในบ้านตระกูลหลี่ทั้งหมดยังคงอยู่ในอำนาจการตัดสินใจของนาง

ลองคิดดูว่า หากมิมีสิ่งใดที่ผิดปกติกับคุณชายสามของตระกูลหลง

ซื่อหยินเหนียงคงจะมิเสี่ยงมาร่วมมือกับท่าน?

ท่านแม่ของข้าก็สงสัยเช่นเดียวกัน และนางได้แอบสืบหาความจริง จึงพบว่า คุณชายสามของตระกูลหลงชอบดูงิ้วเป็นอย่างมาก

ถึงขั้นที่พานักแสดงหญิงจำนวนมากเข้าไปในบ้านเพื่อให้พวกนางเกิดความพึงพอใจ

เขามิเพียงแต่ฟังนางร้องงิ้วทุกวัน แต่ยังนอนร่วมเตียงเดียวกันกับพวกนางทุกคืนด้วย

ในท้ายที่สุด ท่านพ่อของเขาโกรธมากจึงสั่งให้คนมาแอบทุบตีนักแสดงหญิงเหล่านั้นให้ตาย และสิ่งนี้เป็นความลับอย่างแท้จริง”

สำหรับผู้ชายมันมิมีอันใดมากนอกจากความมีชีวิตชีวาของเด็กหนุ่มที่ต้องการหาความสุขไปวัน ๆ

ดังนั้นท่านอำมาตย์หลี่คงมิได้ใส่ใจกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง

หากหลี่ฉางซียังมีความเพียบพร้อมเหมือนดอกไม้แรกแย้ม และงดงามราวกับดวงจันทร์เหมือนดังเมื่อก่อน บางทีบิดาอาจจะคิดถึงความมิเหมาะสมของบุตรชายคนที่สามแห่งบ้านตระกูลหลง

แต่เมื่อเห็นว่าการรูปลักษณ์ของหลี่ฉางซีได้เปลี่ยนไปแล้วเช่นนี้ ดังนั้นเขาต้องพยายามหาผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด?

เขาคงพิจารณาแล้วว่า การแต่งงานครั้งนี้จะก่อให้เกิดผลประโยชน์มากเพียงใด

แต่สำหรับซื่อหยินเหนียงแล้ว ความมั่งคั่งและตำแหน่งนั้นเป็นเรื่องที่ว่างเปล่าสำหรับนาง และความสุขของบุตรสาวคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

เรื่องราวเกี่ยวกับบุตรชายคนที่สามของขุนนางหลงนั้นเป็นสิ่งที่ไร้สาระมาก

ผู้ใดจะรู้ล่วงว่า เขาจะทำตัวเสเพลมากสักเพียงใดหลังจากแต่งงานแล้ว

ดังนั้นนางจึงต้องทำอันใดบางอย่าง เพื่อทำลายการแต่งงานนี้แน่นอน

“พี่ใหญ่สร้างความวุ่นวายในวันนี้ดังนั้นการแต่งงานที่นางปรารถนาคงจะมิเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

เพราะในวันนี้ ดูเหมือนว่าท่านย่าจะมิค่อยพึงพอใจนาง

แต่เป็นเรื่องแปลกที่วันนี้หลี่ฉางซีกล้าที่จะโต้เถียงพี่ใหญ่ของนางต่อหน้าผู้คน โดยที่ซื่อหยินเหนียงมิได้ห้ามปรามเลยแม้แต่น้อย” หลี่หมินเต๋อกระซิบ

หลี่เว่ยหยางตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ

อันที่จริง ซื่อหยินเหนียงมิลังเลใจที่จะลุกขึ้นมาเป็นศัตรูกับฮูหยินใหญ่ เพื่อขัดขวางการแต่งงานในครั้งนี้

ฟังดูแล้วมันอาจจะดูโง่เขลา แต่มันเกิดจากความรักจากใจของผู้เป็นมารดา

หลี่หมินเต๋อยื่นมือออกมาจับนางอย่างแผ่วเบา มือของเขาอุ่นขึ้นและในเวลาเดียวกันดูเหมือนว่าหัวใจจะร้อนรนขึ้นด้วยเช่นกัน เขาอดมิได้ที่จะกล่าวว่า:

“ข้ากลัวว่า นับจากนี้ฮูหยินใหญ่จะต้องจัดการขั้นเด็ดขาดกับท่าน”

หลี่เว่ยหย่างกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า:

“ฮูหยินใหญ่เป็นผู้ที่ฉลาด เจ้าเล่ห์และน่ากลัวมาก”