บทที่ 228 นางหมายตาเขาไว้หรือ?

ทุกคนใช้ดวงตากลมโตเป็นประกายมองชายบนบัลลังก์อย่างมีความหวัง รอให้อีกฝ่ายกล่าวคำพูดปลุกใจ

ไม่คิดเลยว่าเขาเพียงยกยิ้มมุมปาก คลี่ยิ้มอ่านไม่ออก ก่อนเอ่ยเสียงเรียบออกมาเท่านั้น “เรื่องมหัศจรรย์ถือกำเนิดในรอบพันปีเช่นนี้ หากมีข้าไปคนเดียวก็คงน่าเบื่อหน่ายนัก”

??

นายท่านหมายความว่าอย่างไร?

“ข้าเห็นว่าทุกคนดูตื่นเต้นกับมันเหลือเกิน ทำไมไม่ลองจัดงานประลองแคว้นมาร ตัดสินหาผู้แข็งแกร่งที่สุดดีไหมเล่า สามคนที่แกร่งที่สุดจะได้ติดตามข้าขึ้นยอดเขาใจสงบ ได้ไปเห็นแดนเซียนพร้อมกันกับข้า” โหลวจวินเหยายังคงยกยิ้มไม่ใส่ใจ แต่คำพูดเรียบเฉยกลับทำให้ทุกคนส่งเสียงเกรียวกราว

งานประลองแคว้นมาร สามอันดับแรกจะได้ติดตามนายท่านขึ้นยอดเขาใจสงบ!

นับเป็นเกียรติมากขนาดไหนกัน?

หรือจะหูฝาดไปหรือไม่?

แต่….. มีเพียงสิบคนเท่านั้นที่จะขึ้นยอดเขาใจสงบได้ ในหมู่ห้าขุมอำนาจบนแดนเมฆาสวรรค์ส่งไปได้เพียงแห่งละสองคนเท่านั้น แล้วพวกเขาจะได้เข้าไปกันหรือ?

หลาย ๆ คนคิดเช่นนี้ ไม่นานก็มีคนถามขึ้น

“นายท่าน แคว้นมารส่งคนไปได้เพียงสอง หากทำตามนายท่านว่าที่ให้ผู้ชนะทั้งสามติดตามไปด้วยก็ต้องใช้ถึงสี่ที่เชียวนะขอรับ!”

คนที่ถามคำถามในใจทุกคนเอ่ยถามขึ้น คนทั้งหลายจึงหันไปส่งสายตาสงสัยกับคนบนบัลลังก์ทันที

โหลวจวินเหยาเดาะลิ้น นัยน์ตาสีม่วงมีประกายดำมืด “สองที่แล้วอย่างไร? สองที่นั่งจากสมาพันธ์นักล่าก็คงไร้ประโยชน์อยู่แล้ว พอถึงเวลาเราชิงเอามาจากพวกมันก็ได้ พวกเจ้าตั้งใจแข่งขันให้ดี เอาชนะสามอันดับให้ได้ แล้วนายท่านผู้นี้จะพาพวกเจ้าออกไปเปิดหูเปิดตา”

เฮ!

นี่ล่ะคือเจ้าแคว้นมาร! เย่อหยิ่งกล้าหาญเกินใคร!

และเป็นเพราะความเย่อหยิ่งนี้ที่ทำให้พวกเขายอมก้มหัวให้คนผู้นี้แต่โดยดี

เมื่อคนด้านล่างเริ่มถกเถียงกันร้อนระอุ คนแคว้นมารสวมชุดดำก็พลันเดินเข้ามาแล้วเอ่ยเสียงนอบน้อมว่า “นายท่าน มีแขกด้านนอกมาขอพบขอรับ”

โหลวจวินเหยาเลิกคิ้ว ยังไม่ทันกล่าว สวินลั่วก็ถามขึ้นมาก่อน “ใครกัน?”

“นางกล่าวว่านางเป็นองค์หญิงจากน่านน้ำเสียนหลัว เมื่อหลายเดือนก่อนถูกกลุ่มคนจากขุมอำนาจไหนไม่อาจทราบได้ไล่ล่าจนเกือบเสียชีวิต แต่โชคดีได้นายท่านยื่นมือเข้าช่วยอย่างกล้าหาญ หลังจากนางหายดีแล้วจึงเดินทางมาแสดงความขอบคุณถึงที่นี่ขอรับ”

“แค่ก….. แค่ก ๆ เจ้าว่าอะไรนะ??” สวินลั่วเกือบสำลักน้ำลายตนพลางเบิกตากว้าง “เจ้ามั่นใจหรือว่าวีรบุรุษกล้าหาญที่ช่วยเหลือองค์หญิงไว้เพื่อผดุงความยุติธรรมที่ว่านั่นคือนายท่านของเรา?”

นับเป็นเหตุการณ์โลกแตกที่เกิดขึ้นได้ยากเสียยิ่งกว่าอะไร ราวกับดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก เห็นน้ำในมหาสมุทรไหลย้อนกลับ เหมือนหยินหยางตัวแทนแสงสว่างและความมืดกลับด้านกัน!

ไม่ต้องกล่าวว่าชื่อเสียงท่านจอมมารบนแดนเมฆาสวรรค์นั้นไม่เคยมีดีมาก่อน กระทั่งยามสังหารคนเขายังยิ้มแล้วลงมือตาไม่กะพริบได้ การเข้าไปจุ้นเรื่องคนอื่นเพื่อผดุงความยุติธรรมเช่นนี้เขาจะทำก็ต่อเมื่อเสียสติไปแล้วเท่านั้น

สวินลั่วค่อย ๆ หันไปมองชายหนุ่มที่นั่งหน้าฉงนอยู่ไม่น้อย จากนั้นถามขึ้น “นายท่าน ท่านไปแสดงความกล้าหาญ ช่วยเหลือองค์หญิงแห่งน่านน้ำเสียนหลัวมาตอนไหนหรือ?”

โหลวจวินเหยาใช้หางตามองเขา “มีคนมากมายพยายามหาเหตุผลสารพัดอย่างมาสานสัมพันธ์กับแคว้นมารอยู่เนือง ๆ ไม่ใช่หรือ?”

เขาหัวเราะเหอะออกมา น้ำเสียงหยามเหยียด “แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายเลือกใช้ข้ออ้างได้ผิดไปถนัด เห็นได้ชัดว่าไม่รู้จักตัวข้าแม้แต่น้อย คนเช่นข้าเป็นแต่สังหารคน ช่วยชีวิตคนไม่เป็น”

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย นั่นเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน

ดูเหมือนว่าองค์หญิงที่มาจากน่านน้ำเสียนหลัวสักแห่งนั่นจะไม่คิดปกปิดจุดมุ่งหมายเลยสักนิด

สวินลั่วกำลังจะเอ่ยปากถามชายชุดดำให้ไปไล่แขก แต่เขากลับก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว เทินกล่องหยกรูปร่างประณีตขึ้นบนศีรษะที่ก้มลง “นี่คือสิ่งที่องค์หญิงมอบให้ข้าน้อยนำมาให้นายท่านขอรับ นางกล่าวว่านายท่านได้เห็นของด้านในจะเข้าใจเอง”

โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงไม่ใส่ใจ “เปิดสิ”

อีกฝ่ายรับคำ จากนั้นปลดสลักด้านนอกเบา ๆ เผยให้เห็นชิ้นผ้าดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาดอยู่ภายใน

ไม่ว่าใครในแคว้นมารย่อมรู้ว่าท่านจอมมารถูกปรนเปรอด้วยเงินตรา ใช้ชีวิตหรูหรากว่าใคร ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด เขาจะใช้แต่ของที่ดีที่สุด เสื้อผ้าที่สวมก็เช่นกัน

ทั่วทั้งแดนเมฆาสวรรค์ มีเพียงโหลวจวินเหยาเท่านั้นที่สวมชุดที่ทอจากไหมของหนอนไหมเซียน แคว้นมารเลี้ยงหนอนไหมเซียนไว้มากมายก็เพื่อนำไหมมาทอชุดให้เขา และในหมู่พวกมันมีหนอนไหมเซียนม่วงหายากเพียงสองตัวเท่านั้น และเพราะโหลวจวินเหยาชอบชุดสีม่วง พวกเขาจึงจัดหาพวกมันมาเพื่อท่านจอมมารโดยเฉพาะ

และเศษผ้าในกล่องหยกนั้น เห็นแล้วก็รู้เลยว่าเป็นผ้าที่ทอมาจากหนอนไหมเซียนม่วงสองตัวนั่น

ชุดทั้งหลายของโหลวจวินเหยาจะมีลักษณะเฉพาะ ดังนั้นแค่เห็นเศษเสื้อทุกคนก็รู้ว่าเป็นของนายท่านของตน

แล้วเศษเสื้อของนายท่านกลับตกไปอยู่ในมือขององค์หญิงแห่งน่านน้ำเสียนหลัวเสียได้!

พริบตานั้น ความคิดเรื่องความรักที่ไม่อาจฉุดรั้งและความหลงใหลพลันประดังขึ้นมาในจิตใจคนทั้งหลาย แต่เมื่อเห็นคนบนบัลลังก์หรี่ตาลงอย่าชั่วร้าย กลิ่นอายกลายเป็นดุดัน พวกเขาก็ปัดความคิดนั้นทิ้งไปทันที

ก็ได้ อารมณ์นายท่านปรวนแปรคาดเดาไม่ได้เช่นนี้ องค์หญิงแห่งน่านน้ำเสียนหลัวคงจะมีวิธีบางอย่างถึงได้ผ้าชิ้นนี้มากระมัง

ซึ่งความจริงก็ไม่ต่างไปจากนั้นมาก กระทั่งโหลวจวินเหยาเองยังไม่รู้ว่าของส่วนตัวของเขาตกไปอยู่ในมือผู้อื่นเมื่อไหร่ แต่ตอนนี้เขาอารม์ไม่ดีนัก นัยน์ตาสีม่วงจึงทอประกายมืดมิด ยิ่งล้ำลึกหยั่งไม่ถึงกว่าเดิมนัก

กลิ่นอายเปลี่ยนไปชัดเจนเช่นนี้ มีหรือที่คนทั้งหลายจะไม่รับรู้? พวกเขาก็ได้แต่จุดเทียนขอพรส่งให้องค์หญิงผู้ไม่ประสาผู้นั้นไปเงียบ ๆ

ท่านจอมมารรักสะอาดเพียงไหนพวกเขาต่างรู้ดี ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องน่าสะอิดสะเอียนอย่างการที่คนอื่นมาแตะของใช้ส่วนตนของเขาเลย กระทั่งห้องของท่านจอมมารยังไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปด้วยซ้ำ นายท่านเป็นคนที่คิดเล็กคิดน้อยถึงเพียงนั้น

หึ ๆ หลาย ๆ คนไม่กล้านึกจินตนาการถึงจุดจบขององค์หญิงน้อยแห่งน่านน้ำเสียนหลัวออกมาด้วยซ้ำ

คนทั้งหลายตั้งตารอการแสดงที่กำลังจะเปิดฉาก ทว่าสวินลั่วกลับไม่ยอมให้การแสดงได้เริ่ม เขากระแอมเสียงดังแล้วกล่าวขึ้น “ทุกคนแยกย้ายได้ นายท่านบอกให้พวกเจ้าไปเตรียมตัวชิงสามอันดับแรกในงานประลองที่กำลังจะมาถึงไม่ใช่หรือ? พวกเจ้าไม่มีเวลามาสอดรู้สอดเห็นเรื่องที่นี่หรอก ไปได้แล้ว”

ทุกคน “…..”

สวินลั่ว ท่านก็แค่อยากไล่พวกข้าไปให้หมด ท่านจะได้เห็นเรื่องฉาวโฉ่เพียงคนเดียวไม่ใช่หรือไร?

ทั้งเรื่องฉาวโฉ่นี้ยังเกี่ยวพันถึงจอมมารอันเป็นที่เคารพของพวกเขา เป็นเรื่องที่หาดูได้ยากพอ ๆ กับการปรากฏขึ้นของยอดเขาใจสงบ เป็นเหตุการณ์ที่ไม่อาจพลาดชมได้!

แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกดับหวังไป อย่างไรพวกเขาก็มีฐานะต่ำต้อยกว่า ไม่มีอำนาจต่อรอง ต้องถูกสายตาทะมึนของสวินลั่วไล่ให้จากไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง

ภายในห้องโถงกว้างจึงเหลือเพียงคนชุดดำที่ยังรอคำสั่งจากนายท่านอยู่

ผ่านไปชั่วอึดใจหนึ่ง ชายหนุ่มจึงเปิดปากพูด “ให้นางเข้ามา”

คนชุดดำรับคำสั่งแล้วถอยออกไป

ไม่นานนัก หญิงสาวสวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้าก็ค่อย ๆ เดินเข้ามา บนร่างไม่ได้ประดับประดาอะไรมากนัก ดูเรียง่ายทว่าสง่างาม แต่กลิ่นอายของนางนั้นให้ความรู้สึกสูงส่งอย่างน่าประหลาด

จนกระทั่งนางเดินเข้ามาใกล้จึงได้เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มดูเรียบ ๆ มองแล้วไม่อาจเกลียดชังลง

นัยน์ตากระจ่างไร้มลทินของนางราวกับจะอ่านใจคนได้ ริมฝีปากอิ่มชุ่มฉ่ำเม้มน้อย ๆ ดูประหม่า เมื่อเห็นชายหนุ่มนั่งเอื่อยอยู่บนบัลลังก์สูงด้วยใบหน้าเกียจคร้าน นางก็ทำท่าราวกับวิญญาณหลุดจากร่าง พลันยืนชะงักค้างไม้ขยับกาย

อึดใจหนึ่งผ่านไป นางก็หลุบตาลงแล้วหน้าขึ้นสีแดง ก่อนจะคำนับตามแบบฉบับสตรี “ทำความเคารพท่านจอมมาร”

โหลวจวินเหยามองนาง “รู้จักข้าหรือ?”

“ย่อมรู้จัก” หญิงสาวเอ่ยเสียงอ่อนโยน

โหลวจวินเหยายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “แล้วเจ้ายังไม่กลัวข้า”

มือทั้งสองของนางจับกันแน่นด้วยความประหม่าภายใต้แขนเสื้อ “ท่านจอมมารดูจะต่างจาก….. ที่เขาพูดกันนัก ท่านพ่อข้าบอกว่า ท่านดูไม่เป็นมิตร รักสันโดษนัก แต่ข้าไม่คิดว่าท่านจะเย็นชาหรือไร้หัวใจ จริง ๆ แล้วภายในกลับเป็นคนมีเมตตาต่างหาก”

สวินลั่วมุมปากกระตุกยิกจนแทบเสียสติเต็มที

นางไปอยู่โลกไหนมาถึงได้ละเมอเพ้อพกไปไกลเช่นนั้นได้!?

นางกล้าพูดว่านายท่านมีเมตตางั้นหรือ? คนได้ยินเข้าคงได้หัวเราะตายกันไปข้างหนึ่ง!

ได้ยินคำนางแล้ว โหลวจวินเหยาก็สีหน้าไม่เปลี่ยน เพียงแต่นัยน์ตาทะมึนลง “ไม่พูดถึงเรื่องเข้าใจผิดที่เจ้ามีต่อข้าเถอะ แต่ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าไปเอาของของข้ามาได้อย่างไร”

“ท่านจอมมารลืมไปหมดแล้วหรือ?” ได้ยินคำโหลวจวินเหยา หญิงสาวก็ประหลาดใจนัก นางทำท่าราวกับนึกบางอย่างได้ก่อนอธิบาย “ท่านจอมมารวัน ๆ หนึ่งคงมีงานนับพันอย่าง ท่านจำได้หรือไม่ว่าท่านเคยยื่นมือช่วยเหลือข้า สังหารคนชั่วเหล่านั้นที่เข้าโจมตีเมื่อราวหนึ่งเดือนก่อน?”

สวินลั่วตะลึงไป เรื่องดีเช่นนั้นไม่น่าใช่สิ่งที่นายท่านน่าจะทำได้เลย

หรือว่าจะกินจนอิ่มจึงว่างมาก เลยออกไปช่วยสาวงามกำลังเดือดร้อนงั้นหรือ?

เห็นชายหนุ่มไม่ตอบนางจึงพูดต่อ “ยามนั้นข้าบาดเจ็บสาหัส ได้ท่านจอมมารช่วยชีวิตไว้เพราะความสงสาร แต่วันนั้นท่านเหมือนมีเรื่องรีบร้อนไปจัดการจึงรีบจากไป ตอนนั้นข้าลนลาน เผลอดึงชุดท่านหลุดติดมือมาชิ้นหนึ่ง หลังจากได้รับการช่วยเหลือแล้ว ข้าก็ลองสอบถาม พบว่าเนื้อผ้าชนิดนี้มีแต่เจ้าแคว้นมารเท่านั้นที่สวมใส่”

นางอธิบายยืดยาวจบ โหลวจวินเหยาก็คิ้วกระตุก เหมือนจะจำเรื่องบางอย่างได้

แต่พอนึกขึ้นได้ก็อยากลงมือกับคนขึ้นมา

เขาจำได้แล้ว

เมื่อเดือนก่อน เขาได้ข่าวว่าชิงอวี่ถูกปีศาจซากผีเข้าโจมตี ตกอยู่ในอันตราย

เขาจึงแยกมิติเดินทางออกจากแคว้นมาร ทว่าในตอนนั้นเหมือนอุโมงค์มิติไม่ให้ความร่วมมือ กลับส่งเขาไปผิดที่ ไปอยู่แถบน่านน้ำเสียนหลัวแทน

หญิงสาวตรงหน้าเคยถูกคนกลุ่มหนึ่งไล่ล่าอยู่จริง

มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเขาไม่ได้คิดสอดมือเข้ายุ่งเรื่องคนอื่นเลย

แต่นางวิ่งตรงมาหาเขา คนพวกนั้นจึงคิดว่าเขาเป็นพวกเดียวกัน ลงมือโจมตีทันที ดังนั้นเขาจึงเข้าไปพัวพันด้วย

กล่าวได้ว่าเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้เขาจึงไปช้า ไม่เช่นนั้นชิงอวี่ก็คงไม่บาดเจ็บหนัก ต้องพักฟื้นนานสองสัปดาห์กว่าจะหายดี

แต่นางดึงเสื้อเขาหลุดติดมือไปเมื่อไหร่เขาไม่รู้เลยจริง ๆ

แต่เขาก็ไม่เคยสวมชุดไหนได้นานอยู่แล้ว ชุดใดที่ขาดก็คงถูกโยนทิ้งไปที่ไหนแล้วก็ไม่อาจรู้ได้

น่าขันนัก! นางทำให้เขาไปจัดการเรื่องช้า ยังกล้าเสนอหน้ามาหาเขาอีก บอกว่าหมายจะมาแสดงคำขอบคุณ แต่จะได้รับความตายกลับไปแทนน่ะสิ!