บทที่ 229 ตัวข้า ใจข้า วิญญาณข้า ทั้งหมดเป็นของเจ้า
บทที่ 229 ตัวข้า ใจข้า วิญญาณข้า ทั้งหมดเป็นของเจ้า
“ท่านจอมมาร…..” หญิงสาวเริ่มลังเล ดูท่าจะเขินอายอยู่เล็กน้อยด้วยพวงแก้มเจือสีแดงอ่อน ๆ “เช่นนี้ข้าคงเรียกได้ว่ามีวาสนาต่อกัน หลายเดือนก่อนท่านพ่อได้ส่งคำเชิญมาเรื่องท่านแม่ตั้งครรภ์และคลอดองค์ชาย ท่านพ่อยินดีมากจึงจัดงานเลี้ยงขึ้น เชิญผู้นำและคนตำแหน่งสูงจากทั่วแดนเมฆาสวรรค์ ทว่าท่านจอมมารไม่ได้มา แต่เป็นเพราะครั้งนั้นเวลายังไม่สุกงอม ดังนั้นเราจึงยังไม่ได้พบกัน”
ท่าทางเขินอายและคำใบ้ที่มานั้นไม่รู้จะเด่นชัดมากกว่านี้ได้อย่างไรแล้ว
สวินลั่วเข้าใจทันทีว่าหญิงสาวได้สารภาพความในใจต่อนายท่านไปอย่างไม่ปิดบังแล้ว!
นับว่ากล้าหาญชาญชัยเป็นยิ่งนับ นับถือ!
หากแต่ใบหน้าโหลวจวินเหยามีแต่จะข่มขวัญขึ้นเรื่อย ๆ เขาพลันเอยขึ้นช้า ๆ “ข้าถามได้หรือไม่ว่าวันนี้องค์หญิงมาด้วยเรื่องอะไร?”
หญิงสาวหน้าแดงก่ำกว่าเก่า เอ่ยเสียงเบาราวกับยุง “ข้า….. ข้าเพียงแต่อยากตอบแทนท่านจอมมารที่ช่วยชีวิตข้าไว้ แม้วันนั้นท่านจะรีบจากไป ข้า….. ข้าก็ไม่กล้าลืมหรอกว่าท่านจอมมารนั้นลงมาช่วยข้าจากอันตราย ราวกับเซียนที่ลงมาจากสวรรค์ชั้นฟ้า…..”
สวินลั่วกลั้นหัวเราะจนแทบจะสิ้นใจอยู่รอมร่อ องค์หญิงผู้นี้น่าสนใจมากจริง ๆ
นายท่านมีใบหน้านั้น หากไม่เต็มหมื่นก็คงมีหญิงสักแปดพันคนที่หลงใหลเขา ทว่าโหลวจวินเหยาก็นับว่าน่าประหลาด ไม่ว่าแม่นางที่ไหนยื่นไมตรีให้ก่อนก็โยนทิ้งไร้เยื่อใยจนหมด
เคยมีสตรีใจกล้าคนหนึ่งที่รนหาที่ตายเมื่อหลายปีก่อน จำได้ว่านางกล้ามายั่วยวนเขา นางเพียงแตะโดนแขนเสื้อเขาก็โยนเสื้อตัวนั้นทิ้งไปทันที ทั้งยังแตะเนื้อต้องตัวเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงถูกบทลงโทษของแดน ชื่อว่าผลาญโลหิตสังหารโหด ณ ตรงนั้น
หญิงสาวที่พยายามยั่วยวนเขาเป็นธิดาคนโตของตระกูลใหญ่บนแดนเมฆาสวรรค์ มีฐานะไม่ธรรมดา กลับถูกสังหารตาไม่กะพริบ เหตุเพราะนางแตะต้องชุดเขา
แต่จะมีใครกล้าเอาความ? แน่นอนว่าย่อมไม่มี พวกเขายังอยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกนาน
นับแต่นั้นมาก็ยังมีสตรีอีกหลายนางที่คลั่งไคล้ในตัวท่านจอมมารผู้แข็งแกร่งที่มีใบหน้าหล่อเหลาดั่งเทพเซียน แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาทำความรู้จักอีก ได้แต่เก็บความรู้สึกนั้นไว้ในใจ
บางครั้งพวกนางก็จะแวะเวียนมายังแคว้นมารเพื่อให้มีโอกาสพบหน้าชายหนุ่ม หวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นพวกนางในสายตาบ้าง
เคราะห์ร้ายที่ท่านจอมมารแห่งแคว้นมารที่มักทำอะไรตามอำเภอใจไม่เคยจดจำคนไม่สำคัญ ดังนั้นแม้พวกนางจะพยายามเท่าไหร่เขาก็ไม่ใส่ใจแม้แต่นิด
ยามชายหนุ่มไม่ตอบรับ หญิงสาวก็อดกังวลในใจไม่ได้ นางกัดริมฝีปากก่อนเอ่ยเสียงเบา “ท่านจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ ข้า….. ข้ารู้ว่าท่านไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องท่าน ข้าก็จะไม่ทำเช่นนั้น แต่ให้ข้าได้รั้งอยู่ที่นี่…. เพื่อข้าจะหาทางตอบแทนพระคุณของท่านด้วยกำลังน้อย ๆ ที่มีจะได้หรือไม่…..”
โหลวจวินเหยาหรี่ตาลงดูทะมึน แม้ใบหน้าจะไร้อารมณ์ แต่ก็คล้ายใกล้หมดความอดทนเต็มที
มีคำกล่าวว่าช่วยชีวิตคนได้กุศลยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น สวินลั่วจึงเหลือบมองหญิงสาว ก่อนจะเอ่ยปากช่วยคลายบรรยากาศน่าอึดอัดลงอย่างใจดี
แม้หลังจากที่เขาช่วยพูดไปมันจะยิ่งน่าอึดอัดขึ้นกว่าเดิมก็ตาม
“ข้าขอถามองค์หญิงได้หรือไม่ว่ารั้งอยู่แล้วท่านจะตอบแทนนายท่านอย่างไร? หรือจะเป็นผู้ดูแลคนสนิทที่คอยรินชารินเหล้า หรือท่านคิดจะเปลื้องอาภรณ์เป็นสตรีอุ่นเตียงว่านอนสอนง่าย กลายเป็นคนแคว้นมารไปเล่า?”
เขาเอ่ยออกไปอย่างตรงไปตรงมาอย่างถึงที่สุด ส่งผลให้หญิงสาวหน้าแดงก่ำทันที
แต่ท่าทีของนางก็ทำให้สวินลั่วมั่นใจว่าตรงพูดแทงใจคน เผยให้เห็นความคิดของนางเข้าเต็ม ๆ นางไม่ได้หมายจะมาตอบแทนบุญคุณอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่หมายจะได้รับความสนใจจากชายหนุ่มตรงหน้าต่างหาก สานสัมพันธ์ให้ลึกขึ้นอีกขั้นหนึ่ง
แล้วโหลวจวินเหยาก็เป็นคนที่เกลียดการที่มีสตรีมาพยายามเข้าใกล้เช่นนี้ที่สุด ดังนั้นจึงหมดความอดทนไปเมื่อถูกพวกนางไล่ล่าไล่ติดตาม ดังนั้นจึงสังหารคนหนึ่งเป็นตัวอย่างเพื่อไม่ให้คนอื่น ๆ ทำเช่นนางอีก
ไม่คิดเลยว่าหลายปีผ่านไปจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก
แต่หากเป็นจิ้งจอกน้อยที่หมายจะเข้าใกล้เขาเช่นนี้เขาย่อมยินดีปรีดา แต่หากเป็นหญิงอื่นเขากลับหมดความอดทน
เป็นตอนนั้นเองที่โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงเรียบขึ้น “ข้าไม่ต้องการหญิงรับใช้ คนรินชารินเหล้าข้าก็มีแล้ว องค์หญิงเป็นคนมีฐานะสูง อาจไม่เหมาะกับการทำงานเยี่ยงข้ารับใช้เช่นนี้ หรือหากจะอยากเป็นหญิงอุ่นเตียง ข้าก็คิดว่าหน้าตาเจ้ายังงดงามไม่พอ ฉะนั้นลืมเรื่องหนี้ชีวิตไปเสียเถอะ เดิมทีข้าก็ไม่ได้คิดช่วยเหลือเจ้าอยู่แล้ว เจ้าเพียงโชคดี ชะตายังไม่ถึงฆาตก็เท่านั้น”
ช่างเป็นคำพูดที่โจมตีได้อย่างไร้เมตตานักเชียว คำพูดทั้งหลายซัดเข้ากลางใจหญิงสาว ใบหน้าแดงก่ำพลันซีดขาวลงถนัดตา ดูน่าสงสารจับใจ
หากพูดเรื่องอื่นก็คงไม่มีอะไร แต่เขากลับติว่าหน้าตาที่นางรักมากที่สุดว่ายังงามไม่พอ เจ็บปวดเป็นยิ่งนัก
แท้จริงแล้วหญิงสาวก็ไม่ได้มีหน้าตาขี้เหร่ แต่น่ารักน่าชังไม่น้อย ดูบอบบางไปสักหน่อย ทำให้ดึงเอาความรู้สึกอยากปกป้องในตัวบุรุษออกมาได้เป็นอย่างดี แต่เคราะห์ร้ายที่คนบางคนก็หัวทึบนัก ไม่อาจชื่นชมคนงามอย่างนางได้
ในสายตาเขา เขามองว่านางจิ้งจอกน้อยที่แสนดื้อรั้นและดุร้ายยังดูน่ามองกว่ามาก
หลังจากปฏิเสธไปตามตรงแล้ว โหลวจวินเหยาก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ไม่สนใจร่างน้อยที่ยืนน้ำตานองหน้าอยู่เบื้องล่างสักนิดแล้วเดินผ่านนางไป
แต่ก่อนที่ร่างสูงจะเดินออกประตูไป น้ำเสียงอ่อนโยนน่าฟังก็พลันดังออกมา
“คิดถึงข้าหรือไม่?”
“ให้เดาหรือ? อืม….. ต้องคิดถึงมากจนข่มตาหลับไม่ลงเป็นแน่”
“ฮ่า ๆ เจ้าเพิ่งรู้หรือว่าข้าหน้าไม่อาย? หากอยู่ข้างกายเจ้า ข้าหน้าไม่อายได้มากกว่านี้อีก…..”
จากนั้นน้ำเสียงนั้นก็เบาจนพวกเขาได้ยินไม่ชัดว่าคุยอะไรกัน แต่คำก่อนหน้ายังคงดังสะท้อนอยู่ภายในโถงใหญ่ ได้ยินมาถึงคนทั้งสองภายในนั้น
หญิงสาวหน้าซีดขาวไร้สีเลือด เขากำลัง…. คุยกับใครกัน?
ทั้งน้ำเสียงยังอ่อนโยนนัก
คนบนแดนเมฆาสวรรค์ต่างก็รู้ว่าไม่เคยมีสตรีใดอยู่เคียงข้างท่านจอมมารมาก่อน ถึงขั้นที่ใคร ๆ ต่างก็เริ่มสงสัยถึงความชื่นชอบของท่านจอมมารขึ้นมา
คงจะไม่ใช่….. สตรีกระมัง? นางยังมีโอกาส นางปลอบตนเองในใจเช่นนั้น
หากแต่สวินลั่วกลับมีใบหน้ารับรู้ความนัย
จากเดิมทีที่ตกตะลึงสุดขีด ตอนนี้เขาชินชาไปแล้ว ท่าทางอ่อนโยนเช่นนั้น นายท่านคงจะกำลังคุยกับแม่นางน้อยในดินแดนระดับล่างเป็นแน่ ได้ยินจากไป๋จือเยี่ยนว่าตอนนี้คนทั้งคู่สนิทสนมกันมาก นายท่านทั้งรักทั้งตามใจนาง มีความเป็นไปได้สูงว่าอีกไม่นานคงจะได้มาเป็นนายหญิงแห่งแคว้นมารเป็นแน่
ได้ยินว่านางเป็นคนน่าสนใจ ทั้งยังมีวิชาแพทย์สูงส่ง เห็นนายท่านมีท่าทีเช่นนั้นแล้ว นางคงจะคว้าใจนายท่านไว้อยู่หมัดเลยทีเดียว
หึ ๆ หาได้ยากนักเชียว
ที่อีกด้านหนึ่ง โหลวจวินเหยากำลังเดินตรงไปยังเรือนพัก ลูกแก้วสื่อสารในมือพลันมีแสงสีม่วงอ่อนกะพริบออกมา ภายในคือภาพจิ้งจอกน้อยที่ใจเขาเฝ้าหาเป็นยิ่งนักเมื่อหลายอึดใจก่อน
พริบตาที่ดวงหน้าเล็กงดงามปรากฏต่อหน้า เขาก็มีความคิดอยากคว้าคนงามที่อยู่ห่างไกลมาไว้ข้างกายตนนัก จะได้กอดนางไว้แล้วรังแกนางสักหน่อย
ภายในดวงตาสีม่วงล้ำลึกเริ่มมีเปลวเพลิงคุกรุ่นอยู่ภายใน คล้ายกับจะเผาผลาญคนให้มอดไหม้ ชิงอวี่เห็นหน้าเขาก็บุ้ยปากใส่ “แววตาท่านเช่นนั้นมันอะไรกัน?”
“แววตาอยากกลืนกินเจ้าอย่างไรเล่า” เขาเอ่ยตามตรง
ชิงอวี่ “…..”
นับตั้งแต่เผยความรู้สึกต่อกัน เขาก็กลายเป็นคนบ้ากามไปเสียอย่างนั้น!
“พวกท่านเตรียมตัวขึ้นยอดเขาใจสงบเรียบร้อยหรือยัง” ชิงอวี่ยังไม่ลืมเรื่องที่อยากถาม
โหลวจวินเหยาเลิกคิ้ว “มันถูกทำนายไว้ว่าจะปรากฏขึ้นภายในปีนี้ แต่ไม่รู้วันเวลาที่แน่นอน ตอนนี้ข้าจึงยังอยู่ที่แคว้นมาร”
ชิงอวี่พยักหน้า “ท่านจะไปเมื่อไหร่อย่าลืมบอกข้าด้วย”
“หืม?”
“ข้าเป็นกังวลเล็กน้อย ข้ามีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอยู่ตลอด” ชิงอวี่ว่าแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่น
สัญชาตญาณนางไม่เคยพลาด ในเมื่อนางสัมผัสถึงลางร้ายเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้นแน่
เห็นนางขมวดคิ้วแน่น โหลวจวินเหยาก็หัวเราะเบา ๆ “หยุดคิดไปไกลได้แล้ว คนชั่วเช่นข้าอายุยืนเป็นพันปี เจ้าไม่เคยได้ยินคำกล่าวนี้หรือ? สวรรค์ไม่กล้าเอาข้ากลับไปง่ายดายเช่นนั้นหรอก…..”
พูดจบก็เห็นสีหน้านางทะมึนไป เขาจึงรีบหยุดปากแล้วเอ่ยเสียงทุ้มเจือแววอ่อนโยนขึ้น “อีกทั้งในใจข้าตอนนี้ยังมีจิ้งจอกน้อยน่ารักอยู่ แล้วข้าจะปล่อยให้เกิดเรื่องกับตนเองได้อย่างไรกัน?”
ทันทีที่พูดจบประโยค ชิงอวี่ก็พลันหน้าร้อนฉ่า นัยน์ตาหงส์เบิกมองเขากว้าง
คนคนนี้…..
เขาว่าอะไรนะ!? มีจิ้งจอกน้อยอยู่ในใจหรือ!?
แค่ได้ยินก็ขนลุกซู่แล้ว
“ไม่ต้องข้าเช่นนั้นหรอก ไม่ว่าเจ้าจะเบิกตามองข้ากว้างขนาดไหน ถึงกระนั้นข้าก็ยังไม่อาจมอบจุมพิตให้เจ้าได้ เพราะฉะนั้นหยุดยั่วยวนข้าได้แล้ว” โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงจนใจ
ยั่วยวนบ้านท่านสิ!
คำพูดคำจาลื่นไหลไปมานัก….
ชิงอวี่ยังไม่ทันโต้เสียงเหยียดกลับไปก็เห็นเขาถอนหายใจแล้วเอ่ยเสียงเบาขึ้นก่อน “เมื่อไหร่เจ้าจะได้มาอยู่ข้างกายข้าบนแดนเมฆาสวรรค์กัน!?”
น้ำเสียงเขาเศร้าโศกไม่น้อย
“ท่านเป็นอะไรไป?” ชิงอวี่ถามเสียงเป็นห่วง
หรือมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น? หน้าตาเขาดู….. เหน็ดเหนื่อยโดดเดี่ยวชอบกล เห็นแล้วนางเริ่มจะปวดใจหน่อย ๆ
โหลวจวินเหยากะพริบนัยน์ตาสีม่วงน่ามอง “เจ้ารู้ไหม? ก่อนหน้าที่เราจะได้คุยกัน จู่ ๆ มีหญิงประหลาดโผล่ขึ้นมาบนแคว้นมารแล้วเสนอตัวแต่งงานกับข้าด้วย”
ชิงอวี่สีหน้าค้างไป ก่อนจะขมวดคิ้ว “อะไรนะ?”
“ข้าจำไม่ได้แล้วว่าไปช่วยชีวิตนางไว้ตอนไหน จู่ ๆ นางก็พุ่งเข้ามาหาข้า ร่ำร้องบอกอยากแต่งกับข้า ทำท่าทางออดอ้อนเร่าร้อนนัก ช่างเป็นภาพที่น่ารังเกียจนัก”
โหลวจวินเหยาทำท่าราวกับเด็กถูกแกล้งแล้วเอามาฟ้องผู้ใหญ่
หากองค์หญิงจากน่านน้ำเสียนหลัวมาได้ยินว่าตัวนางได้ทิ้งความประทับใจอันเลวร้ายไว้ในใจท่านจอมมารมากเพียงไหน นางคงได้จมบ่อน้ำตาเป็นแน่
หลังจากชิงอวี่เข้าใจที่เขาพูดแล้ว นางก็ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ หากเขายืนอยู่ตรงหน้านางตอนนี้ นางคงอดรังแกใบหน้าหล่อเหลาที่ทำหน้าตาใสซื่อบริสุทธิ์เช่นนั้นไม่ได้
แม้ในใจจะรู้สึกเช่นนั้น แต่นางกลับยังตีหน้าเครียดเอ่ยถาม “แล้วท่านรับมืออย่างไร?”
“ข้าบอกว่านางอัปลักษณ์เกินไป ไม่คู่ควรกลับข้า แล้วก็ส่งนางออกไป”
ชิงอวี่ถามต่อ “แล้วนางร้องไห้…..”
คนผู้นี้เจ้าเป็นต้องใช้วาจารุนแรง เอ่ยไปตามตรงเช่นนั้นเลยหรือ? อย่างน้อย ๆ ….. ก็ไว้หน้าให้นางสักหน่อยเถอะ…..
“นางร้องไห้แล้วเกี่ยวอะไรกับข้า?” โหลวจวินเหยาพ่นลมออกจมูกเสียงเหยียด “นอกจากเจ้าแล้วข้าก็ไม่สนใจใครหน้าไหนอีก ข้าเป็นของเจ้าคนเดียว หากมีหญิงอื่นกล้าลุ่มหลงในตัวข้า ข้าก็จำเป็นต้องตัดไฟแต่ต้นลม!”
ชิงอวี่หัวเราะ ในใจรู้สึกยินดีอย่างน่าประหลาด จากนั้นนางจึงเอ่ยหยอกขึ้น “ท่านนี่รู้มากไม่น้อย ปากก็หวานไม่ใช่เล่น”
นึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มอีกด้านจะขยิบตาเจ้าเล่ห์กลับมา ก่อนตอบเสียงอ่อนเสียงหวาน “ก็เพราะเจ้าหวานล้ำเลยอย่างไรเล่า”
เจ้ามารยานัก!