ตอนที่ 87: คาสิโนของตระกูลเตเบซ 2

เนื่องจากเตเบซมีความกระตือรือร้นไม่น้อยในเรื่องนี้ มันก็คงจะเป็นการไม่ให้เกียรติถ้าพวกเขาไม่เข้าไปเยี่ยมชมสักหน่อย นอกจากนี้ ตระกูลเตเบซและตระกูลหลินต่างก็มีความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนกันในอังกฤษด้วย ในตอนนั้นเอง คุณแม่หลินพลันเผยยิ้มและกล่าวคําพูด “ถ้าอย่างนั้น เราไปดูกันเลยไหมล่ะ?”

ถึงอย่างไร ความคิดของคุณแม่หลินก็ค่อนข้างเรียบง่าย เพราะหากชีวิตของลูกสาวตัวเองต้องลงเอยด้วยการหย่าร้างกับเสี่ยวเฉิง เธอก็ยังอยากจะมองหาคู่ครองที่คู่ควรและเหมาะสมให้กับหลินจื้อซืออยู่

ไม่ต้องพูดถึงคุณลักษณะท่าทางหรือนิสัยเลย ภูมิหลังของตระกูลเตเบซเองก็ไม่ต่างกับตระกูลหลินเท่าไหร่นัก ทั้งสองตระกูลต่างก็รู้จักและเชื่อใจกันเป็นอย่างดี

แต่ทว่า คุณแม่หลินเองก็แคร์ความรู้สึกของเสี่ยวเฉิงด้วยเช่นกัน ถ้าเสี่ยวเฉิงรู้สึกไม่สบายใจ คุณแม่หลินก็จะปฏิเสธเตเบซไปตรง ๆ ในตอนนั้นเอง คุณแม่หลินก็พลันหันหน้าไปมองเสี่ยวเฉิง เขาก็เพียงแค่พยักหน้าให้เท่านั้น

เตเบซพลันโทรเรียกคนขับรถให้มารับ ซึ่งเป็นรถหรูระดับอัครมหาเศรษฐีที่นั่งได้มากถึงห้าคน และหลังจากที่หลินจื้อซือและพ่อแม่ของเธอเข้าไปแล้ว เตเบซก็พลันชี้นิ้วให้หลินเหลยไปนั่งเบาะหน้าข้างคนขับ เพื่อที่เขาจะได้พูดคุยกับคนขับเกี่ยวกับรถยนต์ เพราะเด็กวัยรุ่นส่วนมากก็มักจะสนใจรถยนต์เป็นพิเศษ โดยเฉพาะพวกรถหรูและซุปเปอร์คาร์

แต่ทว่า หลินเหล่ยก็พลันปฏิเสธคําเชิญที่เป็นมิตรของเตเบซพร้อมกับพูดขึ้น “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมนั่งไปกับพี่เขยของผมเองดีกว่า”

ทันทีที่พูดจบ หลินเหล่ยก็เดินเข้าไปนั่งอยู่ในรถฟอลคส์วาเกินของเสี่ยวเฉิง ซึ่งเขาเองก็เคยขับมาก่อนหน้านี้ ระหว่างที่ทั้งคู่มองไปยังรถหรูตรงหน้า หลินเหล่ยก็พลันพ่นลมหายใจออกมา “พี่เฉิง…. ผมรู้ว่าไอ้หมอนั่นเป็นคนยังไง ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วพวกพี่ทั้งสองจะหย่ากัน แต่พี่ต้องห้ามยกพี่หลินให้ไอ้สารเลวคนนั้นเด็ดขาดเลยนะ!”

เสี่ยวเฉิงพลันสตาร์ทรถและขับตามรถหรูของเตเบซไปพร้อมกับพูดขึ้น “ไม่ต้องกังวลหรอกน่า พ่อแม่นายก็คงจะมองผู้ชายคนนั้นออกเหมือนกันนั้นแหละ แล้วก็ใช่ เหล่ย… ฉันขอโทษนะ”

หลินเหล่ยพลันหันกลับมามองเสี่ยวเฉิง” ขอโทษเรื่องอะไรกัน?”

“เรื่องการแต่งงานกับพี่สาวของนายยังไงล่ะ ฉันต้องขอโทษด้วย” เสี่ยวเฉิงกล่าว

หลินเหล่ยพลันถอนหายใจ “ขนาดคนนอกยังมองออกเลยว่าพี่สองคนต้องมีอะไรบางอย่างที่เชื่อมถึงกันแน่ ๆ นี่พี่เฉิง เมื่อไหร่ใจของพี่จะแข็งและกล้าพอที่จะละทิ้งความกลัว หรือความที่คิดว่าตัวเองไม่คู่ควรแล้วก็ไล่ตามพี่สาวผมแบบจริง ๆ จัง ๆ สักทีล่ะ? เราสองต่างก็โตมาด้วยกันนะ แถมเคยนอนห้องเดียวกันด้วย ผมรู้ว่าพี่เฉิงรักพี่หลินมากขนาดไหน และในเมื่อพี่รักเธอ ทําไมพี่ไม่เข้าไปดูแลหรือทําตัวเป็นสามีที่ดีแล้วก็คอยเป็นห่วงเธอแทนล่ะ? พี่เอาแต่กลัวว่าคนนอกจะ มองพี่ไม่ดีใช่ไหม? พี่กลัวว่าคนอื่นจะเรียกพี่ว่าแมงดาที่คอยแต่จะเกาะผู้หญิงกินใช่ไหม?”

เสี่ยวเฉิงไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่หลินเหล่ยก็พูดถูก ภายใต้สมมติฐานของหลักการทางจิตวิทยา เสี่ยวเฉิงในตอนนี้กําลังกลัวว่าถ้าเขาคอยไล่ตามหลินจือซื้อไปจริง ๆ การกระทําทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการแสดงความรักหรือความเป็นห่วงจะถูกมองว่าเป็นเพียงการเสแสร้งด้วยแรงจูงใจซ่อนเร้นบางอย่าง และหลินจื้อซื้อเองก็อาจจะไม่ชอบเขาไปเลยก็ได้

กล่าวคือ เสี่ยวเฉิงยังไม่มั่นใจตัวเองเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงหลินจื้อซือ นั่นคือเหตุผลที่เสี่ยวเฉิงตัดสินใจกลับไปยังบ้านเกิดและพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ถึงกระนั้น เสี่ยวเฉิงก็ยังคงไม่กล้าเผชิญหน้ากับหลินจือชื่อผู้ซึ่งเป็นภรรยาของเขาอยู่ดี เพราะท้ายที่สุดแล้ว ภรรยาคนนี้ก็ดูเหมือนจะถูกบังคับให้แต่งงานกับเขามากกว่าที่จะเป็นความต้องการของตัวเธอเอง ภายใต้สมมติฐานเช่นนี้ เขาพลันรู้สึกราวกับว่าทุกอย่างที่ตัวเองทําไปนั้นผิดไปหมด เขาอาจจะถูกมองว่าเป็นเศษดินที่อยากจะไขว่คว้าดวงดาวก็ได้

เสี่ยวเฉิงค่อนข้างกลัวว่าท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างจะต้องจบแบบนั้น มันคงจะเป็นอะไรที่ค่อนข้างเจ็บปวดไม่น้อย อันที่จริง เขาเองก็ต้องการย้อนเวลากลับไปในช่วงวัยรุ่น ช่วงที่ทั้งสองยังคงสามารถรักษามิตรภาพที่เรียบง่ายและไร้เดียงสาได้ ทั้งคู่สามารถพูดคุย หัวเราะ และแหย่กันเล่นได้ แต่ทว่าวันเหล่านั้นก็เป็นเพียงอดีตไปแล้ว

“เหล่ย… ตราบใดที่พี่สาวของนายไม่เห็นด้วยกับการหย่า มันก็จะไม่มีใครพรากเธอไปจากฉันได้ ฉันให้สัญญาเลย” เสี่ยวเฉิงพลันกัดฟันและพูดขึ้น

“นี่พี่เฉิง ผมเองก็มีพี่สาวแค่คนเดียว แล้วก็มีพี่เขยแค่คนเดียว ผมรู้ดีว่าพี่จะไม่ทําให้ผมผิดหวังแน่!” หลินเหล่ยเผยยิ้ม ” หวังว่าสักวันพี่สาวของผมจะมองเห็นความดีของพี่นะ”

“ยังไงก็เถอะ พี่จะทําให้หลินจื้อซือรู้ว่าพี่ไม่ใช่เสี่ยวเฉิงคนเดิมอีกต่อไปแล้ว…” เสี่ยวเฉิงพลันเผยยิ้ม