“ไอ้เจ้านั่นเป็นใคร?”

ลู่เฟิงมองไปที่ หวู่ฮง ที่อยู่ด้านบนด้วยสายตาสับสน

“ฝ่าบาท ตามข้อมูลที่เราได้รับมา หวู่ฮง คนนี้คือประมุขน้อยแห่งนิกายดาบวิญญาณ”จางซุนหวูจี๋ได้ตอบกลับ

“ประมุขน้อย?”

จู่ ๆ ลู่เฟิงก็ตาสว่างวาบขึ้น”ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะประทานของขวัญมาให้ข้า!”

“ของขวัญ?”

จางซุนหวูจี๋ ไม่เข้าใจว่าลู่เฟิงหมายถึงอะไร

โดยธรรมชาติแล้ว ลู่เฟิง ย่อมไม่อธิบายให้ จางซุนหวูจี๋ ฟัง ตอนนี้ เขากำลังทำภารกิจเกี่ยวกับนิกายดาบวิญญาณ ซึ่งตอนนี้ ประมุขน้อยของนิกายดาบวิญญาณหวู่ฮง ก็ยังอยู่ที่นี่ หากเขาจับตัวอีกฝ่ายได้ ไม่เท่ากับว่าภารกิจของเขาแทบจะเรียกได้ว่าสำเร็จหรอกหรอ?

ถึงตอนนั้นถ้านิกายดาบวิญญาณไม่ได้จ่ายราคาที่เหมาะสมเพื่อชดเชยแล้วล่ะก็ประมุขน้อยของพวกเขาก็เตรียมตัวบอกลาโลกได้เลย

“ปิดล้อม!”

ด้วยการโบกมือ ลู่เฟิงได้สั่งการทันที

กองทัพได้เดินไปข้างหน้าและปิดล้อมกำแพงเมือง

“เจ้าหนูนั่น!”

หวู่ฮง ได้ส่งเสียงออกมาอย่างเย็นชา”ท่านลุงชูจิน ท่านให้คนเฝ้ากำแพงเมืองไว้ข้าจะลอบส่งคนไปข้างนอก”

“เข้าใจแล้ว!”

จักรพรรดิชูจิน เองก็รู้สึกโมโหมาก

เขาเป็นถึงจักรพรรดิแห่งอาณาจักรซีหยาง แต่กลับต้องมาฟังผู้เยาว์อย่างหวู่ฮง

แต่ไม่มีทางเลือก กองทัพ 1.5 ล้านของเขาพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวที่เขาจะรอดก็คือยืมมือ หวู่ฮง

“พี่หาน ฝ่าบาทบุกประชิดเมืองแล้วเราจะเปิดประตูเลยดีหรือไม่?”

หานหนิงและพรรคพวกได้อยู่ที่นี่

ด้านหลังของพวกเขาคือกองทัพของตนเองเขามองไปที่ชูจินที่ยืนอยู่บนกำแพงโดยไม่รู้ตัว

หานหนิงได้พยักหน้า”เราจะยึดประตูเมืองทันทีและปล่อยให้กองทัพของฝ่าบาทบุกเข้ามาในเมือง”

“เข้าใจแล้ว!”

ทันใดนั้นเอง หานหนิง ที่มาพร้อมกับผู้นำตระกูลขุนนางเล็ก ๆ อีกสองสามคนพวกเขาได้รวบรวมทหารได้มากกว่า 3,000 นายพวกเขามุ่งหน้าไปที่ประตูเมือง

“หยุดอยู่ตรงนั้น ตรงนี้คือพื้นที่ควบคุมประตูเมืองห้ามคนไม่เกี่ยวข้องเข้ามา”

เมื่อพวกเขาเดินมาถึงประตูเมืองหัวหน้าผู้คุมประตูก็ตะโกนเสียงดังขึ้น

“ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้ามาเปิดประตูเมืองที่นี่”

หานหนิงในชุดเกราะสีเงินได้เดินไปหาหัวหน้าผู้คุมประตูคนนั้น

“คำสั่้งของฝ่าบาท เดี๋ยว ฝ่าบาท…อั๊ก!”

ก่อนที่หัวหน้าผู้คุมประตูจะพูดจบดาบยาวในมือของหานหนิงก็ได้ฟันตัดลำคอของเขา

“เจ้าทำบ้าอะไร คิดจะก่อการกบฏหรือไม่?”ทหารที่เหลือได้ตะโกนขึ้น

“ถูกต้องข้าต้องการก่อกบฏ!”

หานหนิงได้ตะคอกอย่างเย็นชาจากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น”ฆ่า!”

ทหารด้านหลังของเขาได้จับอาวุธขึ้นมาและไล่ล่าสังหารคนคุมประตูเมืองทั้งหมด

ที่นี่มีทหารรักษาการณ์ประมาณ 600 นาย พวกเขาถูกสังหารทั้งหมดในเวลาไม่ถึงสองนาทีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีจากทหาร 3,000 นาย

“รีบเปิดประตูและปล่อยให้กองทัพของฝ่าบาทเข้าสู่เมือง”หานหนิงได้ตะโกนขึ้น

“ขอรับ!”

ทหารภายใต้สังกัดของเขาได้รีบไปเปิดประตูเมืองทันที

“ฝ่าบาท เกิดเรื่องใหญ่แล้วพะยะค่ะ พวกของหานหนิงกำลังจะเปิดประตูเมือง”ทหารที่มีสายตาเฉียบแหลมได้กล่าวพูดกับ ชูจิน เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของหานหนิง

“อะไรนะ?”

ชูจิน รู้สึกตกใจ เขาหันหน้าไปมองและพบ หานหนิง กำลังจะเปิดประตูใต้กำแพงเมือง

“ไอ้เวรเอ้ย,หานหนิงมันคิดจะทำอะไร?”

ชูจิน รู้สึกโกรธมาก”รีบส่งคนไปหยุดมันเร็วเข้าอย่าปล่อยให้มันเปิดประตูเมืองได้”

“ขอรับ!”

ทหารที่อยู่ข้างหลังเขาได้นำกองทหารไปหยุดหานหนิงทันที

แต่เมื่อพวกเขาพ้นจากกำแพงเมืองหานหนิงก็ได้เปิดประตูสำเร็จแล้ว

ลู่เฟิง ที่เห็นประตูเมืองเปิดออกเขาได้สั่งการทันที”ลิโป้!”

“ขอรับ!”

“นำทหารม้าไปยึดครองประตูเมืองในทันที จะต้องไม่ปล่อยให้ประตูเมืองปิดตัวลงอีก!”

“ขอรับ!”

ลิโป้ ได้ตะโกนอย่างเสียงดังเขาได้นำทหารม้าเจ็ดพันนายเข้าชาร์จและกวาดต้อนเข้ายึดประตูเมืองทันที

“เมิ่้งเถียน!”

“สั่งให้คนของเราที่ปิดล้อมอีกสามประตูคอยถ่วงเวลาไว้อย่าปล่อยให้คนอื่น ๆ มาสมทบที่นี่ได้”

“ขอรับ!”

หลังจากจัดการเสร็จสิ้นแล้ว ลู่เฟิงก็มองไปที่บนกำแพงด้วยรอยยิ้ม”หวู่ฮง,ประมุขน้อยแห่งนิกายดาบวิญญาณ ? มาดูกันว่าคราวนี้เจ้าตกอยู่ในกรงของข้าแล้วจะหนีรอดไปได้อย่างไร”

“ฆ่า!”

ลิโป้ ได้นำทหารม้าเหล็กมาถึงประตูในพริบตา

ในเวลานี้บังเอิญว่าทหารของชูจินที่เตรียมจะมายึดประตูคืนได้เผชิญหน้ากับพวกเขาทันที

พวกเขามีทหารมากกว่า 3,000 นาย แต่น่าเสียดายเมื่อต้องเผชิญหน้ากับลิโป้ที่นำทหารม้า 7,000 นายพวกเขาก็ถูกสังหารและพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว

ประตูนี้ได้ถูกควบคุมโดยพวกของลู่เฟิงโดยสมบูรณ์

“ฝ่าบาท เราเสียประตูเมืองไปแล้ว พวกเราควรถอยกลับเข้าไปเมืองชั้นในอย่างน้อยที่นั่นก็ยังมีกำแพงพระราชวังที่แข็งแกร่ง เราน่าจะสามารถต้านทานอีกฝ่ายได้นานพอสมควร”

“ตราบใดที่รอให้อีกสามประตูที่เหลือตอบสนองและส่งกองทัพมาช่วยเหลือเรา พวกเราย่อมออกจากเมืองไปได้อย่างแน่นอน”

รัฐมนตรีด้านหลัง ชูจินได้กล่าวแนะนำ

ในตอนนี้ ชูจิน ยังไม่ได้ตัดสินใจเขามองไปที่ หวู่ฮง และกล่าวถาม”นายน้อยหวู่ พวกเราจะทำอย่างไรกันต่อไปดี?”

“ถอนทัพ!”

ใบหน้าของ หวู่ฮง มืดมนอย่างมาก ตอนนี้กองทัพกำลังต่อสู้กันอย่างโกลาหลไม่มีใครสนใจสถานะหรือเกียรติของเขา

ที่นี่ เขาเป็นเพียงเป้าหมายที่ดึงดูดสายตาของศัตรู

โดยเฉพาะอย่างยิ่งศัตรูที่มีรูปแบบกองทัพมันสามารถปราบปรามพลังของเขาได้อย่างสมบูรณ์

หากเขาไม่ถอยตอนนี้ก็คงจะไม่มีโอกาสแล้ว

เมื่อถึงพระราชวัง เขายังคงมีกองทัพสนับสนุนอยู่ด้านใน เขายังคงพอหาโอกาสพูดคุยกับลู่เฟิงได้ ด้วยวิธีนี้เขาจะสามารถแก้ไขวิกฤตการทำลายล้างของอาณาจักรซีหยางได้

ตอนนี้ เขาหวังว่าจดหมายของเขาที่ถูกส่งออกไปจะไปถึงอาณาจักรไป่หลันโดยเร็วที่สุด ด้วยสถานะของเขา เขาหวังว่า ลู่เฟิง และคนของมันจะไม่กล้าฆ่าตนเอง

อย่างน้อย เขาก็อยากพา ชูฉี ออกไปด้วยเพื่อบรรลุเป้าหมาย

ประตูเมืองได้พังลง กองทัพของ ลู่เฟิง ได้กระโจนเข้าไปและกวาดล้างทหารอย่างต่อเนื่อง

พวกเขาใช้เวลาไม่นานเพราะจิตวิญญาณต่อสู้ของทหารเหล่านี้ได้พังทลายลงไปเมื่อวานแล้ว และตอนนี้ ประตูเมืองได้ถูกตีแตกมีหรือที่พวกเขาจะมีใจคิดจะสู้

ในตอนท้ายทหารหลายคนได้คุกเข่าลงทีละคนและเลือกที่จะยอมจำนน

“ฝ่าบาท ชูจิน ได้นำ รัฐมนตรีและคนของเขากลับไปที่พระราชวังคาดว่าน่าจะเหลือทหารที่นั่นน้อยกว่า 30,000 นาย”จางซุนหวูจี๋ ได้รายงานลู่เฟิง

ลู่เฟิงได้พยักหน้าและกล่าวถาม”สถานการณ์อีกสามประตูที่เหลือเป็นอย่างไร?”

จางซุนหวูจี๋ ได้ยิ้มออกมา”ฝ่าบาท คนของพวกเขาอีกสามประตูได้รับข่าวแล้วว่าประตูที่ชูจินเฝ้าระวังนั้นถูกทำลายแต่เพราะกองทัพของพวกเราที่ประจันหน้าอยู่ด้านหน้าประตูเหล่านั้นทำให้พวกเขาไม่มีแผนที่จะส่งทหารไปช่วยที่พระราชวัง”

ลู่เฟิง ได้แสดงรอยยิ้มออกมา”ตระกูลขุนนางเหล่านี้ ท้ายที่สุดก็รักตัวกลัวตายกันทั้งนั้น สำหรับ จักรพรรดิอาณาจักรซีหยาง ก็เป็นได้แค่ที่พึ่งของพวกเขาพอหมดประโยชน์สัญชาตญาณการเอาตัวรอดก็ย่อมทำงาน ตอนนี้พวกเขาคงจะเฝ้าดูสถานการณ์ที่ถ้าข้าทำลายพระราชวังได้สำเร็จพวกเขาอาจจะยอมจำนน”

“ขอรับ,ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น พวกเขาคงจะรอดูท่าทีที่พระองค์มีต่อประมุขน้อยแห่งนิกายดาบวิญญาณอย่างไรก็ตามคนผู้นั้นไม่ได้อ่อนเเอ คาดว่าน่าจะลอบส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกไปแล้ว”จางซุนหวูจี๋ ได้กล่าวพูดขึ้น

“ใยต้องกลัวปานนั้น?”

ลู่เฟิงหัวเราะออกมา”ข้าไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใด”

“ส่งคำสั่งของข้า ให้เมิ่งเถียน นำกองทัพบุกโจมตีพระราชวัง ภายในครึ่งชั่วโมง ข้าต้องได้เข้าไปยืนในพระราชวังนั่น!”

“ขอรับ!”