ตามคำสั่งของ ลู่เฟิง เมิ่งเถียน ได้นำทัพบุกโจมตีพระราชวังเมืองหลิงหยางทันที
แม้พระราชวังจะขึ้นชื่อได้ว่ามีกำแพงที่แข็งแกร่งแต่เพราะอีกสามประตูไม่ได้ส่งกองกำลังมาสนับสนุนพวกเขาทำให้พวกเขาที่มีทหารไม่ถึง 30,000 นาย ยืนหยัดไว้ได้นาน
เพียงใช้เวลา หนึ่งส่วนสี่ของชั่วโมง กำแพงเมืองก็ได้พังทลายลง เมิ่งเถียน ได้นำทัพบุกเข้าไปทันที
ดูเหมือนว่า ตอนนี้ เขาจึงถึงพระราชวังโดยตรง
แต่ทว่าด้านหน้าของพวกเขาคือ หวู่ฮง ประมุขน้อยแห่งนิกายดาบวิญญาณ
เมิ่งเถียนจ้องมองไปที่อีกฝ่ายและอีกฝ่ายก็จ้องมองมาที่เขา หวู่ฮง ได้กล่าวพูดขึ้นเสียงดัง”ข้าคือประมุขน้อยแห่งนิกายดาบวิญญาณ ใครคือลู่เฟิงใสหัวออกมาหาข้าซะ!”
คิ้วของ เมิ่งเถียน ขมวดแน่นขึ้น เกี่ยวกับตัวตนของ ประมุขน้อยนิกายดาบวิญญาณ เขาไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยลำพัง
ดังนั้นเขาจึงให้ทหารเฝ้าที่นี่และรีบไปแจ้งต่อลู่เฟิงทันที
ไม่นาน ลู่เฟิงก็ได้รับข่าว
“หวู่ฮง อยากพบข้า?”
ลู่เฟิงยิ้มออกมา”เช่นนั้นก็ดี ข้าเองก็อยากจะเห็นใบหน้าของประมุขน้อยคนนี้อย่างชัด ๆ !”
“ขอรับ!”
ลู่เฟิง ได้พา ลิโป้,เมิ่งเถียน และ จางซุนหวูจี๋ ไปที่บันไดพระราชวัง
ไม่นานเขาก็เห็น หวู่ฮง ยืนรออยู่
หวู่ฮง ได้จ้องมองไปที่ ลู่เฟิง แต่ทว่าเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
หลังจากเดินทางมาถึง ลู่เฟิง ก็สังเกตุดูลักษณะของอีกฝ่าย คนผู้นี้นับว่าหล่อเหลาเอาการน่าเสียดายที่ดันกลายเป็นตัวร้ายไปซะได้
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากำลังมองหาข้าอยู่?”ลู่เฟิงเดินออกไปและกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าคือลู่เฟิง?”
หวู่ฮง จ้องมองไปที่ ลู่เฟิงและหัวเราะเยาะออกมา”ในฐานะประมุขน้อยแห่งนิกายดาบวิญญาณ ข้าจะมอบทางเลือกสองทางให้แก่เจ้า หนึ่งออกจากเมืองหลิงหยางไปซะ หรือ สอง ถูกนิกายดาบวิญญาณของข้าทำลายทิ้ง!”
“เป็นสองทางเลือกที่วิเศษไปเลย!”
ลู่เฟิงยิ้มและมองไปที่หวู่ฮง”เช่นนั้นข้าก็จะให้สองทางเลือกกับเจ้า หนึ่งเดินเข้าไปในกรงขังของข้าดี ๆ หรือ สองข้าจะทุบตีเจ้าและค่อยจับโยนเข้ากรงขัง มา ดูซิว่าเจ้าจะเลือกข้อไหน?”
“ไอ้เด็กเวร รนหาที่ตาย!”
หวู่ฮง รู้สึกโกรธมาก เขาได้ชักดาบออกมาและพุ่งเข้าใส่ลู่เฟิง
ทาสดาบทั้งหกได้ปรากฏตัวขึ้น และ พยายามจะหยุดการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย
แต่ทว่า ลู่เฟิง ได้ยกมือห้ามปราม เขาสัมผัสได้ว่า ระดับพลังของหวู่ฮง คือ ระดับ 1 ขั้นเชื่อมจิตวิญญาณ
เขาสามารถจัดการอีกฝ่ายได้ตามที่ต้องการ
หวู่ฮง รู้สึกดีใจมาก ที่ลู่เฟิง ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร เขาเป็นถึงอัจฉริยะที่หาได้ยากรอบในร้อยปีของนิกายดาบวิญญาณ เขาเพียงอายุ 21 ปี ก็บ่มเพาะพลังไปถึงระดับ 1 ขั้นเชื่อมจิตวิญญาณแล้ว
และมองไปที่ ลู่เฟิง ที่มีอายุเพียง 18 ปี อีกฝ่ายจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไร?
ตราบใดที่ เขาสามารถควบคุม ลู่เฟิง ได้ เขาก็ไม่เกรงกลัวว่าลูกน้องของอีกฝ่ายจะลงมือ ถึงตอนนั้น เขาจะสามารถช่วยชีวิตอาณาจักรซีหยาง และ ไม่ต้องกลัวว่า ชูฉี จะไม่มอบสิ่งของสิ่งนั้นให้กับตัวเอง
ระหว่างที่เขาเข้าใกล้ลู่เฟิงมากขึ้น รอยยิ้มได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวู่ฮงราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาหมดแล้ว
อย่างไรก็ตาม เขากลับรู้สึกแปลกใจ ทำไมแม่ทัพของอีกฝ่ายถึงไม่ขยับเลยแม้แต่น้อยหรือว่าพวกมันมั่นใจว่าลู่เฟิงจะชนะเขา
“วาดดาบ!”
ฟวั่บ!
ดาบของลู่เฟิงได้ถูกดึงออกจากฝักอย่างรวดเร็ว
เพร้ง!
สองดาบได้เข้าปะทะกันแต่ทว่าฝ่ายที่กระเด็นออกไปกลับเป็นหวู่ฮง เขาได้ถูกซัดลอยไปจนกระอักโลหิตออกมา
“หึ่ม,มีเพียงแค่ความแข็งแกร่งเล็กน้อยคิดจะแยกเขี้ยวใส่ข้า?”ลู่เฟิง เดินออกไปพลางมองไปที่ หวู่ฮง ที่ล้มอยู่บนพื้น
“เจ้า…เจ้า…ทำไมเจ้าถึงแข็งแกร่งขนาดนี้?”
หวู่ฮง มองไปที่ ลู่เฟิงด้วยท่าทีหวาดกลัวบนใบหน้า
เขาเป็นถึงอัจฉริยะในรอบร้อยปีของนิกายดาบวิญญาณ ทำไมเขาถึงพ่ายแพ้ง่ายดายขนาดนี้
ลู่เฟิง เป็นเพียงแค่จักรพรรดิของอาณาจักรเล็ก ๆ เดิมความแข็งแกร่งของเขา ควรจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ไม่ยาก แต่ทำไม ทุกอย่างถึงกลับตาลปัดขนาดนี้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ เขายอมรับได้
“ทีนี้เจ้ารู้หรือยังว่าความต่างชั้นของเรามันมากขนาดไหน?”ลู่เฟิง มองไปที่ หวู่ฮง ด้วยรอยยิ้ม
“เจ้า…อย่าได้ใจให้มันมากนัก นิกายดาบวิญญาณของข้าไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถล่วงเกินได้ ถ้าเจ้ากล้าทำร้ายข้านิกายดาบวิญญาณจะทำลายอาณาจักรของเจ้าอย่างแน่นอน”หวู่ฮง ได้กล่าวข่มขู่
“ฮ่าฮ่า,เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าเจ้าจะได้ตายก่อนที่นิกายดาบวิญญาณของเจ้าจะมาช่วยเหลือเสียอีก!”
ลู่เฟิงหัวเราะเสียงดังจากนั้นเขาก็พูดขึ้น”เข้ามา!”
“ขอรับ!”
“ผนึกตันเถียนของเขาและจับไปใส่ไว้ในกรงพาเขากลับไปที่อาณาจักรหนานหยาน หากไม่ได้รับคำสั่งของข้า ห้ามใครเข้าพบเด็ดขาด”
“ขอรับ!”
โจจู๋ ได้ปิดผนึกตันเถียน ของหวู่ฮง ทันที
เมื่อรู้สึกว่าพลังในตันเถียนของเขาถูกผนึก หวู่ฮง ก็รู้สึกกลัวจับใจเขาได้กล่าวพูดขอร้อง”ลู่เฟิง ปล่อยข้าซะ หากเจ้าปล่อยข้า ข้าให้สัญญาเลยว่า จะไม่ยุ่งกับอาณาจักรซีหยาง และ ไม่ให้นิกายดาบวิญญาณจัดการกับพวกเจ้า”
“ปล่อยข้าซะ,ไว้ชีวิตข้า”
ลู่เฟิง ไม่ได้สนใจคำร้องขอของ หวู่ฮง เลย เขาได้พาคนเดินเข้าไปในพระราชวังทีละก้าว
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เห็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรซีหยางที่นั่งอยู่บนบัลลังก์
ใกล้กับเขามีคนอยู่ไม่น้อยไม่ว่าจะเป็นนางสนมหรือ ชูฉี บุตรสาวของอีกฝ่าย
แม้แต่รัฐมนตรีหลายคนก็คุกเข่าอยู่บนพื้น
เมื่อเห็น ลู่เฟิง เข้ามา สีหน้าของ ชูจิน ได้เปลี่ยนไป เดิมเขาได้เตรียมพร้อมที่จะนำนางสนมจำนวนมากของเขาออกมาปรนณิบัตินายน้อยหวู่ฮง หลังจากไล่ ลู่เฟิงกลับไปแล้ว
แต่เขาไม่คิดเลยว่าคนที่ปรากฏตัวกลับเป็นลู่เฟิง เช่นนั้น นายน้อยหวู่ฮง ไปไหน?
ชูจิน ได้ยืนขึ้นขาแข้งของเขาสั่นจนไม่อาจนั่งอยู่บนลังก์ได้ต่อ
ในเมื่อไม่มีนายน้อยหวู่ฮง คอยคุ้มหัว มีหรือที่พวกเขาจะต่อต้านได้
เขาได้คุกเข่าลงบนพื้นด้วยอาการสั่นสะท้าน”ข้าน้อย ชูจิน ขอสวามิภักดิ์ต่อพระองค์”
“ขอสวามิภักดิ์ต่อพระองค์!”
นางสนมคนอื่น ๆ เองก็กล่าวพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
ตั้งแต่สมัยโบราณยามเมื่ออาณาจักรหรือประเทศเหล่านั้นล่มสลายพวกเขามีสองทางเลือกหนึ่งยอมสวามิภักดิ์หรือถูกสังหารล้างตระกูล
แน่นอนว่าส่วนมากแล้วพวกเขาเลือกที่จะยอมถูกประหารมากกว่าเพราะอย่างน้อยมันก็ยังรักษาศักดิ์ศรีเอาไว้ได้
ลู่เฟิง ได้จ้องมองไปที่ ชูจิน นางสนม และ คนอื่น ๆ คนเหล่านี้ ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับเขา
แน่นอนว่า ลู่เฟิงหาได้สนใจ เขาได้เดินผ่านคนเหล่านี้ และก้าวขึ้นไปบนบันได
จากนั้นเขาก็มองไปที่บัลลังก์มังกรและนั่งลง
“ขอฝ่าบาททรงพระเจริญอายุยิ่งยืนนาน!”
“ขอฝ่าบาททรงพระเจริญอายุยิ่งยืนนาน!”
“ขอฝ่าบาททรงพระเจริญอายุยิ่งยืนนาน!”
จางซุนหวู่จี๋ ลิโป้ เมิ่งเถียน เป็นผู้นำคุกเข่าลงกับพื้น และกล่าวตะโกนเสียงดัง ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ก็คุกเข่าลงกับพื้นทหารด้านนอกที่ได้ยินก็คุกเข่าลงและตะโกนขึ้น
เสียงกึกก้องได้ดังไปทั่วพื้นที่จนทำให้ ชูจิน นางสนม และ รัฐมนตรีคนอื่น ๆ หูชา
พวกเขารู้สึกหวาดกลัวจนหน้าซีดเผือก
“ลุกขึ้น!”
ลู่เฟิงได้โบกมือเบา ๆ
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
บรรดาคนของเขาได้ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน
แต่ ชูจิน ไม่กล้าที่จะลุกขึ้นยืน คนของเขาก็เช่นเดียวกัน
เพราะผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรก็คือ จักรพรรดิลู่เฟิงแห่งอาณาจักรหนานหยาน ผู้ที่ทำลายอาณาจักรซีหยางของพวกเขา
“บัลลังก์มังกรของจักรพรรดิอาณาจักรซีหยางกลับนั่งสบายกว่าที่คิดเอาไว้”
ลู่เฟิงมองไปที่ ชูจินด้วยรอยยิ้ม”เจ้าเองก็รู้ดีถึงศักยภาพอันเกรียงไกรของกองทัพข้า แต่เจ้าก็ยังจัดตั้งกองทัพเพื่อมาต่อต้านข้า ไม่เเปลกใจเลยที่เจ้าจะทำเช่นนั้น เพราะบัลลังก์มังกรนี้กลับนั่งสบายอย่างนี้นี่เอง”
“น่าเสียดาย ที่เจ้าจำต้องลุกออกจากบัลลังก์มังกรนี้เสีย”
ลู่เฟิงหัวเราะออกมา เขาได้ลุกขึ้นจากบัลลังก์มังกรและมองไปที่ ชูจิน ที่อยู่ไม่ไกล อีกฝ่ายมีสีหน้าซีดเผือก แม้แต่นางสนม รัฐมนตรีก็ไม่กล้าส่งเสียงออกมา ท้ายที่สุดสายตาของ ลู่เฟิงก็ไปตกอยู่ที่ นางสนมคนนึงด้านหลังของชูจิน ไม่สิ ควรจะเรียกว่า จักรพรรดินี
เพราะเธอสวมมงกุฏฟีนกซ์ที่งามตระการตา