ตอนที่ 245 ล้างไพ่ใหม่ (2)
ข้อเสนอนี้มันก็ดีอยู่หรอก แต่มั่วเชียนเสวี่ยจำบ้านที่นางสร้างด้วยตัวเองได้ ที่ๆ นางกับหนิงเซ่าชิงได้อยู่ด้วยกัน
“ไม่ต้องแล้ว ให้พวกนางคอยดูแลเรือนในหมู่บ้านหวังจยาให้ดี ในอนาคต…” อนาคตถือใช้เป็นที่หลบภัยได้
แต่การเตือนของชูอี กลับทำให้มั่วเชียนเสวี่ยนึกถึงคนผู้หนึ่ง อวิ๋นอิ๋น!
นางหัวไว ภายนอกดูอ่อนโยน ฉลาดเฉลียวเป็นคนเก็บตัวทั้งยังสามารถทำบัญชีคิดเลขได้อย่างรวดเร็ว
นางเป็นสตรีคนหนึ่ง ไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอะไรกับใคร เพียงแค่ให้มาช่วยมั่วเชียนเสวี่ยจัดการบัญชีกองนั้นให้เรียบร้อยก็พอ
สิ่งที่พ่อบ้านมั่วเพิ่งจะพูดไป ใช่ว่าจะไร้เหตุผล ไม่ว่าเงินจากร้านค้าเหล่านั้นจะสามารถนำกลับมาได้หรือไม่ นางล้วนต้องเอาหมู่บ้านกลับคืนมา
เช่นนั้น…ก็ให้หวังเทียนซงมาก็ได้แล้ว เขาเป็นมืออาชีพในการทำเกษตร ทั้งยังมีทักษะด้านการแกะสลักอยู่บ้าง ให้เขาไปดูแลเรื่องของหมู่บ้านเหล่านั้น แล้วค่อยก่อตั้งโรงงานแกะสลักในเมืองหลวงก็ไม่เสียหาย
เมื่อวางแผนทุกเรื่องดีแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็กลับไปที่เรือนเสวี่ยหว่าน
เพิ่งมาถึงหน้าประตู กลับพบคนผู้หนึ่งกำลังเอนพิงบนกำแพงอยู่ ชุดจื่อเผาบางๆ พลิ้วไหวไปตามสายลม ผมยาวดำขลับมัดสูงเอาไว้บนศีรษะ แสงแดดที่กระทบบนใบหน้า เป็นประกายระยิบระยับ ช่างดูเป็นคนดื้อรั้น
มองตามสายตาของมั่วเชียนเสวี่ย ผอจื่อที่เฝ้าประตูถึงจะพบว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังพิงบนกำแพงอยู่ นางตกใจจนคุกเข่าลงไปที่พื้นทันที
พอเห็นมั่วเชียนเสวี่ยมองมา คนผู้นั้นก็ตบกำแพง พลางคลี่พัดเล็กๆ ที่อยู่ในมือออก มั่วเชียนเสวี่ยก็ยิ้ม
ผู้ที่ถือพัดติดตัวมิห่างกาย ว่างมาดหล่อได้ทุกที่ทุกเวลา รอยยิ้มกะล่อนบนใบหน้าที่แลดูกรุ้มกริ่ม นอกจากซูชียังจะมีใครได้อีก
“ท่านมาได้อย่างไร” ซูชีผู้นี้สามารถนำนางออกมาจากจวนเจี่ยนได้โดยไม่มีใครรู้ ตอนนี้พิงอยู่บนกำแพงของนางก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
องครักษ์ที่อยู่ในจวนมีทั้งหมดยี่สิบกว่าคน อาจป้องกันการลักเล็กขโมยน้อยได้บ้าง แต่จะป้องกันคนที่มีฝีมือสูงส่งอย่างซูชีและหนิงเซ่าชิงคงไม่ไหว
เหมือนกับการป้องกันจวนกั๋วกงอย่างหนาแน่นในปีนั้น ไม่เพียงแต่นายทหารชั้นผู้น้อยที่จงรักภักดี ดูท่าน่าจะมีกองกำลังพิเศษอีกด้วย เพียงแค่กั๋วกงจากไป คนที่เหลืออยู่ที่เฝ้าเวรยามในจวนก็จะเป็นคนธรรมดา แม้ว่าจะภักดี แต่ใช้งานไม่ค่อยจะได้
ซูชีกระโดดลงมาจากกำแพง มั่วเหนียงรีบมายืนขวางอยู่ด้านหน้ามั่วเชียนเสวี่ยทันที แม้ว่านางจะเคยเห็นซูชีมาส่งคุณหนูที่จวนแล้ว แต่กลับไม่รู้เหตุผลภายในใจ มีชายคนนอกเข้ามา ย่อมจะต้องขวางเอาไว้ก่อน
ซูชีเห็นดังนั้น ก็เพียงแต่ยิ้ม และหยิบของบางอย่างออกมาจากอกของเขา “ข้ามาเยี่ยมเจ้า และก็นำของบางอย่างมามอบให้เจ้าด้วย เพื่อตอบแทนน้ำใจที่เจ้าให้สูตรแก่ข้าเมื่อครั้งก่อน”
นางเอาสูตรไปขอบคุณเขา ก็เพื่อจะตอบใจเรื่องในตอนนั้นที่อยู่ในจวนเจี่ยน เขาย่อมจะรู้อยู่แล้ว ทว่า…น้ำใจนั่น ยังต้องตอบแทนอีกหรือ
ในเมืองหลวง คนที่พูดได้เต็มปากว่าเป็นสหาย ก็น่าจะมีเพียงซูชีคนเดียว การกระทำของนางครั้งที่แล้ว ก็ไม่มีใครทำอะไรนาง ลองคิดๆ ดูคงจะมีคนที่อยู่ในใจอยู่แล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยส่งสัญญาณให้มั่วเหนียงถอยไป พลางยื่นมือออกไปรับกล่องนั้นมา พอเปิดออกดู มันกลับเป็นขี้ผึ้งหนิงปี้
เรื่องเมื่อครั้งก่อน…ล้วนเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาก็ต้องวางตัวอย่างเหมาะสม…
ก็ใช่ นางคือสตรีที่มีสามีแล้ว เขาจะมาชอบนางได้อย่างไร
บางทีในใจของคนอื่น มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ไม่มีอะไรเลยสักนิด นางก็ไม่ควรคิดมากจนเกินไป
สตรีรักสวยรักงามอยู่เสมอ จะว่าไปแล้วตอนนี้นางก็จำเป็นต้องมีสหาย “ท่านมีน้ำใจมาก ขอบคุณ…” ของสิ่งนี้ นางต้องการมันจริงๆ บาดแผลครั้งนี้ทำให้ขี้ผึ้งที่สืออู่เก็บไว้เหลืออยู่น้อย
ซูชีเห็นว่านางรับขี้ผึ้งหนิงปี้ไปแล้ว เผยให้เห็นความสุขในดวงตาของเขา แต่ความกรุ้มกริ่มบนใบหน้าหาได้ลดลงไม่ เขาชี้ไปที่องครักษ์ที่กำลังรีบมุ่งมาแต่ไกลๆ พลางยิ้มกล่าว “เชียนเสวี่ย ข้าจะบอกให้ การคุ้มกันในจวนกั๋วกงของเจ้านั้นหละหลวมมาก ใครก็เข้ามาได้ตามอำเภอใจ…เจ้าเข้าไปตรวจสอบด้านในสักหน่อยดีหรือไม่ ดูว่ามีของอะไรหายไปไหม ตอนที่ข้ามาบังเอิญเห็นร่างของคนสองคนรีบวิ่งออกไป”
สำหรับคนอื่นที่เรียกชื่อตนเอง และพูดเล่นกับตัวเองเช่นนี้ได้ มั่วเชียนไม่เพียงแต่ไม่ระมัดระวังตัวเองมากเกินไปแต่ในใจยังรู้สนิทใจด้วย
ในยุคปัจจุบัน ใครบ้างที่ไม่เรียกชื่อ นางล้วนได้ยินมาสิบกว่าปีแล้ว มาในโลกประหลาดนี่ก็ดี แต่ละคนก็เรียกหนิงเหนี่ยงจื่อ ไม่ก็เรียกคุณหนู…คุณหนู…
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้แสดงสีหน้าต่อต้าน หมัวมัวจึงขมวดคิ้ว
อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ องครักษ์สองคนนั่นก็รีบพุ่งเข้ามา มองดูซูชีด้วยความตกใจ จะชักดาบออกมา “ท่านให้คนมาล่อพวกเราออกไป มีจุดประสงค์อันใด”
เรื่องราวชัดเจนมาก มีคนล่อพวกเขาออกไป อยากเข้าไปในเรือนเพื่อหาของบางอย่าง นางเองก็เพิ่งกลับมาถึงจวน ในเรือนไม่มีของมีค่าอะไร คนผู้นั้นลงทุนวางแผนขนาดนี้ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าคนผู้นั้นต้องการหาสิ่งใด
น่าเสียดายป้ายไม้สีดำนั้น ถ้าไม่มีการนำทางของนางไม่ว่าอย่างไรก็จะหาไม่เจอ
……
เรือนของซูชี
ห้องตำราสถานที่สำคัญ ชายวัยกลางคนท่าทางไม่ธรรมดาเดินไปมาอยู่ด้านใน พลางกล่าวด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม “คุณหนูใหญ่แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงผู้นั้น บางทีอาจจะยังมีคุณสมบัติไม่พอที่จะเป็นฮูหยินของตระกูลซู แต่ถ้านางเป็นบุตรีของฮูหยินกั๋วกงด้วยแล้ว ก็นับว่ามีคุณสมบัติเพียงพอ ยิ่งไปกว่านั้นนางอาจมีอำนาจทางการทหารอยู่ในมือ เพียงแต่เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะยินดีให้มั่วเชียนเสวี่ยแต่งเข้าตระกูลซูของเราหรือไม่เล่า”
คนผู้นี้ก็คือหัวหน้าตระกูลซู
เมื่อได้ยินคำแนะนำของซูจิ่นอวี้ที่ให้ใช้การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับจวนกั๋วกง หัวหน้าตระกูลซูก็รู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง เสี่ยวชีก็อายุสิบเจ็ดปีแล้ว ควรจะหาคู่แต่งงานดีๆ ให้เขาได้แล้ว
เขาย่อมจะได้ยินเรื่องของมั่วเชียนเสวี่ยตอนที่อยู่ในท้องพระโรง ท่าทางของนางที่แสดงออกมานั้นสง่างามและกล้าหาญ โดดเด่น สมแล้วที่เป็นบุตรีของมั่วเทียนฟ่าง อีกทั้งยังเป็นคนที่มีทหารจำนวนมากมายอยู่ในมือ หัวหน้าตระกูลซูและมั่วเทียนฟ่างก็เคยไปมาหาสู่กันนับครั้งไม่ถ้วน
ชายที่ซื่อตรงเด็ดเดี่ยวคนนั้น ช่างน่าเสียดายจริงๆ…
ตระกูลเซี่ยรู้เรื่องระหว่างมั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิงตอนที่อยู่ในเมืองเทียนเซียงแล้ว แต่เขาได้ปิดข่าวนี้ให้เงียบไปแล้ว ตระกูลซูก็ไม่เคยตรวจสอบว่าหนิงเซ่าชิงไปไหน และไม่เคยสนด้วยว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะเป็นหรือตาย แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้เขาไม่มีทางจะรู้ได้เลย
เพียงรู้ว่านางหายสาบสูญไปครึ่งปีถึงจะกลับเมืองหลวงมา ในเมื่อนางกลับเมืองหลวงมาแล้ว ทั้งยังกล้ากลับไปที่จวนกั๋วกง และเอาชีวิตรอดออกมาจากตำหนักของฮองเฮาได้ เช่นนั้นก็พิสูจน์ได้ว่านางยังคงบริสุทธิ์อยู่
เพียงแค่นางยังบริสุทธิ์อยู่ หากแต่งเข้ามาในตระกูลซูของเขาจริงๆ ถึงแม้นว่าในอนาคตจะมีข่าวลืออะไรออกมา ตระกูลซูของเขาก็จะขจัดข่าวลือทั้งหมดออกไปเอง
เดิมทีซูจิ่นอวี้บอกกับซูชีว่าให้ท่านย่าเป็นคนตัดสินใจ ต้อนรับมั่วเชียนเสวี่ยเข้าตระกูลซู เพียงแต่เป็นแค่คำพูดเย้าเล่น ตอนนี้กลับเป็นเพราะการแสดงออกแปลกๆ ของซูชีกับสถานะที่อ่อนไหวของมั่วเชียนเสวี่ยมันจึงกลายเป็นเรื่องผลประโยชน์หลักๆ ของหัวหน้าตระกูลซู
แม้ว่าเขาจะคิดดีแล้วทุกด้าน แต่ก็ยังอยากจะฟังความคิดเห็นของลูกคนนี้ “จิ่นอวี้คิดว่าตราบใดที่ไม่ใช่ตระกูลหนิง ฝ่าบาทก็คงจะไม่มีความคิดเห็นอะไรมาก”
เนื่องจากที่ถามคือความคิดเห็นของฮ่องเต้ มันไม่ได้ง่ายดายเหมือนการแต่งงานของเด็กๆ ซูจิ่นอวี้ก็ย่อมจะต้องระมัดระวัง
หัวหน้าตระกูลซูเห็นว่าบุตรชายมิกล่าวสิ่งใด จึงกล่าวกระตุ้น “ลองพูดความคิดเห็นของเจ้ามาให้ฟังหน่อยสิ”
เขาคือว่าที่หัวหน้าตระกูลในอนาคต เรื่องทางการเมืองจำเป็นต้องมีความเฉียบแหลม
การเมืองคือการต่อสู้ไร้ดาบ แต่กลับโหดร้ายกว่าดาบมากนัก คู่ต่อสู้ของพวกเขาก็คือฮ่องเต้ ฝ่าบาทคือคนที่พวกเขาต้องการปราบปราม แต่ก็เป็นคนที่พวกเขาต้องพึ่งพาด้วย