ตอนที่ 244 ล้างไพ่ใหม่ (1)
คนเหล่านี้หลุดพ้นจากการเป็นทาสได้ เพราะว่าสนิทกับผู้เป็นนาย ลืมตาอ้าปากได้ง่ายกว่าเหล่าบัณฑิตที่มาจากครอบครัวที่ยากจน นี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้คนมากมายมีแนวโน้มจะขายตัวเป็นทาส
คนผู้นี้ปลิ้นปล้อนมาก! ทั้งยังไม่ใช่ทาสในจวนที่มีสัญญาขายตัวอีกต่อไป เขาเป็นอิสระ ไม่สามารถจัดการได้ตามอำเภอใจ
ดูท่า เรื่องนี้จะจัดการได้ไม่ง่าย
นางจำเป็นต้องมีผู้ช่วย
ชูอีครุ่นคิดเล็กน้อย มองดูกองบัญชีเหล่านั้น พลางกล่าวเบาๆ “คุณหนูเจ้าคะ บัญชีเหล่านี้จะมีปัญหาอะไรหรือไม่ ให้บ่าวช่วยตรวจสอบดีไหมเจ้าคะ…”
“ปัญหาต้องมีอยู่แล้ว” มั่วเชียนเสวี่ยเพียงเหลือบมองไปที่สมุดบัญชีที่อยู่ที่มุมห้อง ไม่ต้องพูดก็รู้ว่า บัญชีเหล่านี้จะต้องมีความสมดุลระหว่างรายรับและรายจ่ายอย่างแน่นอน คนธรรมดาจะมองไม่ออกถึงความผิดปกติ
การช่วยเหลือ แน่นอนว่าจะต้องหาคนมาช่วย แต่คนที่นางเลือกกลับไม่ใช่ชูอี!
พ่อบ้านมั่วส่งพวกพ่อบ้านเฟิงเสร็จแล้วก็หันหลังเดินกลับมา ในมือถือสมุดบันชีที่มีอยู่ในจวนหลายเล่มเข้ามารายงานเจ้านาย
เขานี่แหละคือคนฉลาด!
ไม่ต้องรอให้มั่วเชียนเสวี่ยถาม ก็มาแจกแจงรายละเอียดว่ายังเหลือเงินอยู่ในจวนเท่าไร ค่าใช้จ่ายขั้นพื้นฐานที่ต้องจ่ายทุกเดือน ทั้งยังมีเงินที่ต้องให้แก่คนทุกระดับในจวนอีก เขาอธิบายอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วก็เอาสมุดบัญชีให้นาง
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ดูสมุดบันชี นางเชื่อใจพ่อบ้านมั่ว อีกอย่างนางก็ไม่มีเวลาไปตรวจสอบด้วย
พ่อบ้านมั่วถือว่าเป็นคนที่จริงใจ รายงานอย่างละเอียดถี่ถ้วนมาก
เห็นพวกเจ้านายไม่อยู่ในจวน พ่อบ้านมั่วจึงทำได้เพียงประหยัดเงินไว้เท่านั้น เงินทุกเดือนที่พ่อบ้านเฟิงส่งมาเขาล้วนใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วทุกๆ เดือน ล้วนมีเงินเหลือเก็บอยู่บ้าง ถึงแม้เงินเก็บจะมีอยู่ไม่มาก แต่จากที่เก็บสะสมมาตลอดห้าปี ก็มีอยู่หลายพันตำลึง
ทำบัญชีแล้ว พ่อบ้านมั่วก็บอกให้มั่วเชียนเสวี่ยวางใจได้ บอกว่าถึงแม้นพ่อบ้านเฟิงจะไม่ส่งเงินมาที่จวนแห่งนี้ ตราบใดที่ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรที่เยอะเป็นพิเศษ ยังสามารถใช้เงินเก็บได้อีกสามถึงห้าเดือน
ตามที่พ่อบ้านเฟิงบอกให้มั่วเชียนเสวี่ยขายสวนไร่นาและขายหมู่บ้านเอาเงินมาใช้ในภาวะฉุกเฉิน พ่อบ้านมั่วขอคัดค้าน เขาบอกว่าหากคุณหนูจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ ก็สามารถขายร้านค้าที่ไม่ให้ผลกำไรเหล่านั้นได้
ร้านค้าเหล่านั้นตั้งอยู่ในย่านที่มีผู้คนพลุกพล่านในเมืองหลวง จับจ่ายใช้เงินกันง่าย จะต้องขายออกอยู่แล้ว ภายหน้าอยากจะซื้อร้านค้าอีก จะไปหาซื้อใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
สวนไร่นาและหมู่บ้านเหล่านั้นอยู่ใกล้เมืองหลวงมาก ราคาสูง ขายทิ้งไปได้ราคาดีมาก แต่ว่าเพียงแค่ขายออกไป โดยทั่วไปแล้วจะเสียแล้วเสียเลย นำกลับมาไม่ได้อีก
มีแค่คนรวยที่โง่เขลาเท่านั้น ถึงจะขายหมู่บ้านและสวนไร่นาที่เป็นทรัพย์สินเหล่านี้ทิ้งไป
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้คือฤดูใบไม้ผลิ นางสามารถเอาหมู่บ้านและเรือกสวนไร่นากลับคืนมาได้ นอกจากจะส่งคนไปจัดการ รอให้ผ่านการเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งของกินของใช้ก็จะคลี่คลายลงอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายภายในจวนอีกต่อไป พ่อบ้านมั่วยังพูดอีกว่า คุณหนูไม่ต้องกังวลเรื่องสินเดิม
สินเดิมของฮูหยินในปีนั้นไม่ได้มีเพียงหมู่บ้านและเรือกสวนไร่นาเหล่านี้ เครื่องประดับเงินทองมากมาย ไข่มุก ปิ่นและแหวนล้วนเก็บรักษาเอาไว้ในคลังเก็บของ ยังมีผลงานการทรงอักษรด้วยพู่กันกับภาพวาด และสมบัติหายากที่ฝ่าบาททรงประทานให้ล้วนก็ยังอยู่ เพียงนำพวกมันออกมา ให้ช่างฝีมือซ่อมแซมให้ใหม่ ก็ไม่จำเป็นต้องแยกออก
มั่วเชียนเสวี่ยใบหน้าแข็งทื่อ ถอนหายใจเล็กน้อย นี่สินะที่เรียกว่าในยามที่ลำบากจะรู้ว่าใครกันคือมิตรแท้!
บนโลกใบนี้มีพ่อบ้านเฟิงผู้ที่พอเห็นว่าเจ้านายไปแล้ว สิ่งที่เขาคิดได้ในทันทีก็คือการยักยอกทรัพย์สินของเจ้านาย แต่ก็มีคนอย่างพ่อบ้านมั่วที่เป็นบ่าวที่จงรักภักดีชั่วชีวิต พ่อบ้านมั่วเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่กล่าวสิ่งใด ก็กลับคิดว่านางกำลังเป็นกังวลว่ามีเงินน้อยเกินไป ดังนั้นหลังจากรายงานเรื่องเหล่านี้แล้ว ก็ได้กล่าวแนะนำด้วยความลังเล “ควรจะลดรายรับของทุกคนภายในจวนลงหน่อยไหมขอรับ”
คำแนะนำของพ่อบ้านมั่วได้ดึงมั่วเชียนเสวี่ยออกมาจากภวังค์ความคิด ประกายความเย็นชาแผ่ซ่านมาจากดวงตานาง เดิมทีใจคนในจวนก็เปลี่ยนไปแล้ว หากลดรายรับของพวกเขาลงอีก เกรงว่าไม่เพียงแต่ไม่สามารถดึงใจพวกเขากลับมาได้ แถมยังจะผลักให้ออกห่างอีก
ยิ่งไปกว่านั้นเงินที่คนเหล่านี้ได้รับเป็นเพียงส่วนน้อย ดังนั้น ไม่เพียงแต่มิอาจลด ตรงกันข้ามยังต้องเพิ่มให้อีก!
เมื่อวางแผนดีแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยจึงเปิดปากพูด “ตามที่พ่อบ้านพูด ห้าปีมานี้ ทางจวนไม่เคยเพิ่มเงินให้พวกเขาเลย เมื่อเทียบกับตระกูลขุนนางระดับสูงอื่นๆ ในเมืองหลวง มันก็น่าขายหน้าจริงๆ เช่นนี้ศักดิ์ศรีจวนกั๋วกงของข้าจะอยู่ที่ไหน เงินนี้ไม่เพียงจะไม่ลด แต่ยังต้องเพิ่มให้อีก ต่อไปพ่อบ้านไปประกาศเรื่องการเพิ่มเงิน ให้เพิ่มขึ้นจากเงินเดิมที่ได้ห้าในสิบส่วน
“ห้าในสิบส่วน?” พ่อบ้านรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากจริงๆ เพิ่มเงินให้ทุกคน คนละห้าในสิบส่วน ถือว่าเป็นจำนวนที่มาก คุณหนูใหญ่ทำสิ่งตรงกันข้าม นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน
เมื่อเห็นว่าพ่อบ้านสงสัย มั่วเชียนเสวี่ยก็ตอบอย่างมั่นใจ “ใช่แล้ว ห้าในสิบส่วน”
มั่วเหนียงที่อยู่ข้างๆ รีบเกลี้ยกล่อม “คุณหนู…” เงินนี้สำหรับนางแล้วเป็นเพียงของนอกกาย แต่นางก็คิดว่าพ่อบ้านพูดถูก ช่วงนี้ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด ให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปก่อนค่อยว่ากันใหม่
มั่วเชียนเสวี่ยยกมือขึ้นหยุดไม่ให้มั่วเหนียงและพ่อบ้านพูดต่ออีก “ข้าก็มีความคิดของตัวเอง พ่อบ้านแค่ไปกระจายข่าวก็พอแล้ว”
พอพูดเรื่องเหล่านี้จบ ก็หยิบตั๋วเงินจำนวนหมื่นตำลึงออกจากจากแขนเสื้อหนึ่งแผ่น “เงินเหล่านี้เอาเข้าบัญชีไปก่อน ถึงสิ้นเดือนแล้ว เริ่มจากเดือนนี้เป็นต้นไปก็เพิ่มเงินให้ทุกคน เพื่อให้ทุกคนที่อยู่ในจวนสบายใจ
พ่อบ้านรับตั๋วเงินมาจากมือของมั่วเชียนเสวี่ย แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ คุณหนูถึงได้มีเงินมากมายขนาดนี้ แต่ชั่วพริบตาเดียวเขาก็เข้าใจเจตนาของนางในทันที
มีเงินแล้วจะกลัวอะไร!
ในช่วงเวลาที่มีแต่ปัญหาเช่นนี้ ก็ต้องเอาชนะใจคน ในเมื่อมีเงิน ก็ย่อมจะต้องเพิ่มเงินให้ถึงจะเป็นการดี หากไม่มีเรื่องนี้ เขาเองก็อยากจะพูดกับคุณหนูในอีกไม่กี่วันว่าให้นางเพิ่มเงินให้ทุกคน
พ่อบ้านมั่วถอยออกไป ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย มั่วเชียนเสวี่ยจึงได้ให้คนไปพามั่วเหยียน มั่วสิงมาที่นี่
นางสั่งให้มั่วเหยียนและมั่วสิงคอยจับตาดูเฟิงต๋าอย่างลับๆ ดูว่าเขาไปที่ไหน คนที่ติดต่อด้วยเป็นใคร พูดอะไรกันบ้าง
การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ขนาดนี้ เงินมากมายถูกเขายักยอกออกไป ด้วยความฉลาดของเขาแล้ว เขาจะต้องเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้เป็นแน่
นางอยากรู้จริงๆ ว่าเป็นเขาที่ใจกล้าเอง หรือว่าเบื้องหลังมีคนยุยงอยู่ ดูว่าเขาซ่อนเงินเอาไว้หรือนำไปใช้หมดแล้ว ยังสามารถเอาคืนมาได้ไหม แล้วจะเอาคืนมาได้อย่างไร
ส่งมั่วเหยียนและมั่วสิงไปแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยยังมีแผนให้อาซานไปที่ทิงเฟิงเฉวียนที่อยู่ในเมืองหลวงอีก ให้ลุงอวี้ส่งน้ำแร่มาด้วยตนเองสักหน่อย
ก่อนหน้านี้ตอนที่นางทำบัญชีอยู่ในหมู่บ้านหวังจยา ใช้เลขอารบิกทั้งหมด คิดคำนวณได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ จนหนิงเซ่าชิงรู้สึกทึ่งมาก แน่นอนว่าเขาย่อมจะขอให้สอน มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ปฏิเสธ และได้สอนไปสองสามวัน นางสอนทั้งเลขอารบิกและตารางการชำระเงินให้แก่หนิงเซ่าชิง
หนิงเซ่าชิงมีความสามารถในการเรียนรู้ที่เต็มเปี่ยม เขาฉลาดเฉลียว ใช้เวลาเพียงครึ่งวัน เขาก็ทำได้แล้ว นางยังจำได้ตอนนั้นที่เขาหัวเราะเสียยกใหญ่ และพูดมาตรงๆ ว่านี่คือวิธีการคำนวณที่ปราดเปรื่อง สามารถคิดเลขได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้น พอหนิงเซ่าชิงได้รับความยินยอมจากนาง ก็นำตัวเลขและตารางเหล่านี้ส่งต่อให้กับลุงอวี้ให้ทุกกิจการภายใต้ชื่อเขา ล้วนให้ใช้วิธีการทำบัญชีแบบนี้ ประการแรกคือตระกูลอื่นจะอ่านไม่ออก ประการที่สองคือพอตัวเองอ่านแล้วจะเข้าใจได้อย่างชัดเจนทั้งหมด
ในเมื่อลุงอวี้อยู่ที่นี่ นางก็ไม่ต้องเสียเวลามาฝึกฝนคน ให้ลุงอวี้ส่งนักบัญชีมาสองคนมาช่วยทำบัญชีได้ด้วยโดยตรง
มั่วเหนียงไม่เคยพบลุงอวี้ จึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย อยู่ในช่วงวิกฤติเช่นนี้ คุณหนูยังมีกะจิตกะใจไปซื้อน้ำแร่ดื่มอีกหรือ
แต่ชูอีและสืออู่เคยพบ ชูอีคิดได้อย่างว่องไว บอกให้สืออู่เล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างกูเหยียกับอวี๋ป๋อให้มั่วเหนียงฟัง ส่วนตนเองเข้าไปเอ่ยถาม “คุณหนู พาหมิงเย่ว์กับไฉ่สยามาอยู่ที่จวนกั๋วกงด้วยดีหรือไม่” จิตใจของหมิงเย่ว์และไฉ่สยานั้นบริสุทธิ์ อยู่ในจวนโดยไม่มีการผูกมัดใดๆ แน่นอนว่าต้องจงรักภักดีต่อมั่วเชียนเสวี่ยผู้เดียวเท่านั้น