ตอนที่ 248 คงมีวางมวยกัน
มู่เถาเยายกมือลูบหัวไป๋เสวี่ย
พวกปาอินต่างถูกรูปลักษณ์อันสวยงามของมันสะกดไม่ไหว
“ฉันเพิ่งเคยเห็นม้าสวยขนาดนี้เป็นครั้งแรก!”
เฉิงอันนั่วพูดเตือน “เกาหม่า เสี่ยวเหยี่ย เสี่ยวเซวี่ยก็สวยเหมือนกัน”
สายตาของผู้ชายแตกต่างกับผู้หญิง
เหลียงจี “สวยคนละแบบ แต่คนที่มองแค่รูปลักษณ์จะชอบแบบไป๋เสวี่ยนี่แหละ”
ปาอิน “ใช่แล้ว ฉันมองแค่รูปลักษณ์! ดูไป๋เสวี่ยสิ ขนแผงคอของมันทั้งขาวทั้งยาวทั้งละเอียด เหมือนสิงโตเลย มิน่าถึงเรียกสิงโตหยก! สวยจริง! นี่ถ้ามีเจ้าชายขี่ม้าขาวขี่มัน…ฮี่ๆ…”
เหลียงจีหัวเราะ “เกรงว่าคนขี่ม้าขาวจะไม่ใช่เจ้าชายน่ะสิ”
ตี้อู๋เปียนเกิดความคิด
มู่เถาเยายิ้มบาง “ใครขี่ไป๋เสวี่ยก็ดูดีทั้งนั้น”
เฉิงอันนั่ว “ตี๋หลูช่วยเจ้านาย เจวี๋ยอิ่งรับธนู จ้าวเยี่ยสิงโตหยกแม้จะไม่มีเรื่องประทับใจ แต่มันก็เจิดจรัสในยุคประวัติศาสตร์โกลาหล แม้สิงโตหยกตัวนี้จะไม่ใช่สิงโตหยกจริง ยุคปัจจุบันก็ไม่มีสนามรบให้มันออกศึก…เสียดายความสามารถของมันจริงๆ”
คนดูแลม้ายิ้มพูด “เวลาแสงจันทร์สาดส่องลงมาบนตัวไป๋เสวี่ยก็จะเกิดประกายแสงสีเงิน เหมือนจ้าวเยี่ยของแม่ทัพดังในอดีตเลยครับ”
“ว้าว! อยากเห็นเวลามันเปล่งประกายจัง!” ปาอินอดเดินเข้าไปใกล้ไม่ได้ อยากยื่นมือไปลูบมัน
ปรากฏว่า…ไป๋เสวี่ยดีดขาหลังใส่
ถ้าไม่ใช่เพราะเฉิงอันนั่วรีบดึงเธอไว้คงบาดเจ็บไม่ใช่น้อย
มู่เถาเยาตบหัวมันเบาๆ พลางพูด “ไป๋เสวี่ย เตะคนอื่นส่งเดชไม่น่ารักเลยนะ…” บลาๆๆ
ถูกสวดยกใหญ่ ไป๋เสวี่ยแอบเซ็ง
คนดูแลฟาร์มเพิ่งได้สติกลับมาก็ตัวแข็งไปอีกรอบ
หากว่ากันตามเหตุผล ไป๋เสวี่ยควรหงุดหงิดอาละวาดสิ
นี่ถ้าเขาไม่เห็นกับตา เขาคงสงสัยแล้วว่าม้าที่อยู่ตรงหน้าเขาตัวนี้คนละตัวกับที่เขาดูแลมาด้วยตัวเอง
“ทุกคนสนุกกันไปนะคะ ฉันขอไปขี่ไป๋เสวี่ยก่อน”
อยู่ๆ คนดูแลฟาร์มก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง รีบพูด “คุณผู้หญิงครับ ไป๋เสวี่ยมีแค่บังเหียนไม่มีอานม้า เพราะไม่มีใครขึ้นหลังมันได้”
บังเหียนก็ใส่ได้แค่เฉพาะตอนเขาพามันไปเดินเล่นทุกวัน
“ไม่เป็นไรค่ะ”
พ่อบ้านจง “วางใจเถอะ เสี่ยวเยาเยาขี่ได้”
ตอนเขาตามไปหมู่บ้านเถาหยวน ได้รู้ว่ามู่เถาเยาขี่ราชาม้าป่าโดยไม่มีบังเหียนกับอานม้ามาตลอด
ราชาม้าที่อยู่เขตป่าชั้นในของป่าเซียนโหยวดุกว่าสิงโตหยกที่เลี้ยงในฟาร์มอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไป
มู่เถาเยายิ้มบางพยักหน้าให้ทุกคน จากนั้นก็ตบหัวม้าเบาๆ “ไปเถอะเสี่ยวไป๋”
ไป๋เสวี่ยเดินอยู่ข้างกายมู่เถาเยา
หลังออกจากวงล้อมของทุกคนมู่เถาเยาก็กระโดดขึ้นหลังม้า
“เสี่ยวเสวี่ย เร็วขึ้น”
ไป๋เสวี่ยออกแรงวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
คนดูแลฟาร์มตะโกน “คุณผู้หญิง อย่าขี่เร็วขนาดนั้นครับ อันตราย…เอ่อ…”
ยังไม่ทันตะโกนจบม้ากับคนก็หายจนเหลือเป็นจุด
ตี้อู๋เปียนดวงตาร้อนผ่าว
เมื่อไรเขาจะทำแบบนี้ได้บ้าง
คนดูแลฟาร์มหันหน้าไปหาพ่อบ้านจงอย่างอึ้งๆ “คุณพระช่วย เธอทำได้ยังไงครับ”
พ่อบ้านจงยิ้มมีเลศนัยให้เขา “ยอดฝีมือเท่านั้นถึงทำได้ สักวันหนึ่งฉันก็จะทำได้เหมือนกัน!”
ตี้อู๋เปียนเบ้ปาก คิดในใจ สักวันเขาก็จะทำได้เหมือนกัน!
พอถึงตอนนั้นเขาจะขี่เป็นสิบรอบต่อหน้าทุกคนเลย!
หึ!
พ่อบ้านจงกับคนดูแลฟาร์มจัดแจงให้ทุกคน ใครอยากขี่ม้าก็ไปขี่ คนไม่อยากขี่ม้าก็นั่งรถชมฟาร์ม หรือไปขึ้นเนินดูทิวทัศน์จากมุมสูง
บนทุ่งหญ้าที่กว้างสุดลูกหูลูกตามีเนินเล็กๆ โผล่ขึ้นมาหลายแห่ง แมกไม้เขียวชอุ่ม เป็นทิวทัศน์ที่งดงาม
หลังจากบอดี้การ์ดของตี้อู๋เปียนขับรถพาตี้อู๋เปียนกับครอบครัวศิษย์พี่หญิงห้าไปชมรอบฟาร์มแล้วก็กลับห้องรับแขกของฟาร์มเล็กก่อน
กินผลไม้ของขบเคี้ยว สักพักก็มีคนทยอยกลับมา
คนสุดท้ายที่มาถึงคือมู่เถาเยา
เธอพาไป๋เสวี่ยกลับมาด้วย
ในความเป็นจริงคือไป๋เสวี่ยอยากตามเธอมา
เฉิงอันนั่วมองม้าที่ตัวติดกับมู่เถาเยาแล้วยิ้มพูด “อาจารย์อาเล็กครับ นี่ถ้าไป๋เสวี่ยเจอเสี่ยวเหยี่ย สงสัยมีวางมวยกันแน่”
เสี่ยวเหยี่ยเป็นจอมขี้อิจฉา
มู่เถาเยาไม่ได้กังวลมาก
มิตรภาพของเด็กๆ เป็นสิ่งที่สร้างง่ายที่สุด
เธอลูบขนแผงคอของไป๋เสวี่ย ตบเบาๆ สองทีแล้วพูดกับมัน “เสี่ยวเสวี่ยกลับไปเถอะ ไว้วันหลังจะมาหาอีกนะ”
“เดี๋ยวผมพากลับให้ครับ” คนดูแลฟาร์มช็อกกับหลายเรื่องจนงงไปหมดแล้ว
เวลานี้เขาอยากอยู่เงียบๆ กับไป๋เสวี่ย
เขากลัวว่านับจากนี้ไปไป๋เสวี่ยจะไม่อยากให้เขาปรนนิบัติแล้ว
เมื่อก่อนเขายังแอบดีใจอยู่ว่าไป๋เสวี่ยชอบเขาแค่คนเดียว
วันนี้ถึงได้รู้…ถ้าไม่มีตัวเปรียบเทียบก็จะไม่เสียใจ…
เศร้า!
มู่เถาเยาตบไป๋เสวี่ยเบาๆ อีกครั้งมันถึงไปกับคนดูแลฟาร์มอย่างไม่ยินดีเท่าไร
คนกับม้าออกไปได้ไม่กี่นาที อาจเพราะรำคาญที่คนเดินช้า ไป๋เสวี่ยวิ่งกลับไปเองแล้ว
คนดูแลฟาร์มเหมือนถูกเมียทิ้ง วกกลับไปขับรถนำเที่ยวด้วยความเศร้าไล่ตามมันไป
ทุกคนพากันหัวเราะ
หลี่อวี้เสวี่ยยิ้มกว้าง “ไป๋เสวี่ยเหมือนเสี่ยวเหยี่ยจริงๆ เลยนะ!”
กู่ย่า “นิสัยเหมือนเด็ก”
อันเย่ว์ “สัตว์ก็เหมือนกับคน”
มู่เถาเยา “โดยปกติม้าที่โตเป็นหนุ่มแล้วจะสติปัญญาเท่าเด็กเจ็ดขวบ แต่ข้อสรุปนี้จริงหรือเปล่าไม่มีหลักฐาน สติปัญญาของม้าสูงขนาดไหนกันแน่ไม่มีใครบอกได้แน่นอน…”
“เพราะม้าที่ผ่านการฝึก ความสามารถในการประมวลความคิดของมันเป็นที่น่าทึ่งมาก นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมในยุคโบราณม้ากับเจ้าของถึงรู้ใจกันยามออกศึก ถึงระดับที่ว่าม้ากับคนรวมเป็นหนึ่งเดียวด้วยซ้ำ”
ปาอินพยักหน้า “ใช่ ถ้าม้ามีสติปัญญาต่ำ ไม่มีทางเข้าขากับเจ้านายได้อย่างไร้ที่ติ ชื่อม้าของแม่ทัพดังในประวัติศาสตร์ล้วนมีตัวตนอยู่จริง นี่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าสติปัญญาของม้าไม่ต่ำ…”
เฉิงอันนั่ว “ก็เหมือนสุนัข ถ้าผ่านการฝึกก็ช่วยไขคดีได้…สัตว์มีสติปัญญาขนาดไหนกันแน่ ไม่มีใครให้คำตอบได้แน่นอนหรอก ความสามารถของพวกมันก็มีได้ไม่สิ้นสุดเหมือนกับคน”
มู่เถาเยาผุดรอยยิ้มสมบูรณ์แบบ “ม้าเป็นสัตว์ที่ฉลาดมาก ความสามารถในการเรียนรู้และแสดงออกของมันโดดเด่นมาก”
ทุกคนนั่งคุยในห้องรับแขกจนถึงประมาณหกโมง คนดูแลห้องอาหารก็มาเชิญทุกคนไปกินแพะย่างทั้งตัวที่บริเวณพื้นที่สำหรับปิ้งย่าง
เชฟใหญ่แบ่งเนื้อแพะพลางอธิบายให้ทุกคนฟัง “แพะตัวนี้ผ่านการย่างด้วยวิธีแบบดั้งเดิมครับ…”
ทุกคนฟังแล้วก็น้ำลายสอ
พอกินคำแรกปาอินก็อดชมไม่ได้ “คุมไฟได้พอดีมากค่ะ…กรอบนอกนุ่มใน อร่อมเต็มคำ…” ตรงนี้ขอละคำชมเชฟใหญ่ที่พรรณนายืดยาวไว้ในฐานที่เข้าใจ
เชฟใหญ่ดีใจมาก
เหลียงจีก็ชม “รสชาติดีมากจริงๆ ค่ะ”
ทุกคนพยักหน้าตาม
ศิษย์พี่หญิงห้ามองตาปริบๆ เห็นทุกคนกินอย่างเอร็ดอร่อย อยากกินบ้างจัง!
พี่เขยห้ายกน้ำแกงเนื้อแพะขึ้นมาป้อน “คุณซดน้ำแกงเนื้อแพะก่อน รอคลอดเยี่ยจั๋วพวกเราค่อยมากินแพะย่างกันอีก”
ศิษย์พี่หญิงห้ายังจะทำไงได้
ลูกเธอ เธอก็ต้องคลอดเอง! ครั้งนี้ก็เป็นเธอที่อยากตามมาเอง!
ทุกคนเพิ่งกินไปได้ไม่กี่คำอยู่ๆ ก็รู้สึกอิ่มท้องแล้ว…