บทที่ 229 ลูกแก้วส่องสวรรค์
บทที่ 229 ลูกแก้วส่องสวรรค์
ลู่หยวนในยามนี้ คล้ายกับไม่ได้ยืนอยู่ในห้องโถงหลัก แต่ยืนอยู่บนดาราจักรสวรรค์ทั้งเก้า ยามก้มมองลงมา มีทางช้างเผือกเคลื่อนผ่านใต้เท้าของเขา นอกจากแสงระยิบระยับที่เพิ่งถูกจุดขึ้นมาแล้วก็ไม่มีสิ่งใดอีก
“นายท่านโปรดตามข้ามา”
เสวียนเทียนชวนขยับรถเข็น ก่อนมุ่งหน้าสู่ส่วนลึกของดาราจักร
ทั้งสองเดินทางเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป จึงพบว่าดาราจักรกว้างใหญ่รอบข้างหายไป กลุ่มดาวกระบวยใหญ่เริ่มปรากฏขึ้นกลางผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
เสวียนเทียนชวนกระซิบกับกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ เพียงไม่กี่อึดใจ พลังดวงดาวอันแก่กล้าพลันเกิดการผันผวน ความว่างเปล่าเบื้องหน้าทั้งสองสั่นไหว ก่อนผลึกแก้วขนาดยักษ์จะปรากฏขึ้นจากอากาศ
สิ่งที่เผยแก่สายตาพวกเขามีรูปทรงประหนึ่งดาวเคราะห์ มันถูกห้อมล้อมด้วยวงแหวนแสงประกาย ส่วนแท่นวางด้านล่าง คือหยกดาราหายากในสายตาของลู่หยวน
“นี่คือลูกแก้วส่องสวรรค์ขอรับ” เสวียนเทียนชวนเอ่ยด้วยความเคารพ “นายท่าน สิ่งนี้สามารถใช้ได้ทุกสามร้อยปีเท่านั้น นายท่านอยากใช้มันเพื่อตรวจสอบตระกูลชิวแห่งวิถีคุณธรรมจริงหรือ?”
บริวารเน้นย้ำอีกครา ถึงอย่างไรยามสิ่งนี้ถูกใช้งานแล้ว มันจะไม่สามารถใช้งานได้อีกเว้นแต่จะมีการสังเวยด้วยของพิเศษบางอย่าง
“แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าเริ่มใช้งานมันได้เลย”
ลู่หยวนหยิบเก้าอี้ไม้โบราณออกมาแล้วเอนกายลงไป พลางยกมือขวาขึ้น หมอกสีแดงรอบข้างปรากฏขึ้นในบัดดล โลงศพของบรรพชนเสวียนและศิษย์ล้วนถูกเคลื่อนย้ายไปข้างใน
เสวียนเทียนชวนขานรับแล้วหยิบผ้าคลุมขาขึ้นมา บนผ้าผืนดังกล่าวถูกปกคลุมไปด้วยดวงดาวกะพริบพร่างพราว ก่อนพวกมันจะล่องลอยออกไปจากผืนผ้า ไปรวมอยู่บนท้องนภา ส่งผลให้กลุ่มดาวกระบวยใหญ่เป็นประกายระยิบระยับมากขึ้น
ดวงตาของเสวียนเทียนชวนจับจ้องศิษย์บรรพชนเสวียนผู้อยู่ข้างกายด้วยสายตาสงบนิ่งประหนึ่งผิวน้ำ
ศิษย์ผู้หนึ่งที่มีรากฐานการบ่มเพาะแข็งแกร่งพยายามขัดขืนหมอกสีแดง เอ่ยปากตำหนิว่า “ศิษย์พี่ใหญ่เสวียนเทียนชวน! เจ้าช่วยเหลือคนชั่วไม่พอ แต่ยังฆ่าศิษย์ที่เป็นสหายของเจ้าอีก! ต่อให้กลายเป็นผี ข้าก็จะตามมาหลอกหลอนเจ้า!”
เสียงนุ่มทุ้มของศิษย์พี่ใหญ่หัวเราะอย่างเย็นชา “ศิษย์น้อง อย่าพูดจาเหลวไหลนักเลย ยามเจ้าถูกสังเวยให้กับลูกแก้วส่องสวรรค์ เจ้าจะถูกกวาดล้างจนเหลือเพียงเถ้าธุลีถึงวิญญาณ จะกลายเป็นผีมาหลอกกันได้อย่างไร?”
“ที่สำคัญ เมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้าแอบนินทากับศิษย์คนอื่นว่าข้าทรยศต่อยอดเขาวิถีเร้นลับ ด้วยการลี้ภัยไปอยู่กับบุตรศักดิ์สิทธิ์ อยากขับไล่ข้าออกจากยอดเขาอยู่ไม่ใช่หรือ? ถึงอย่างไรในสายตาของเจ้า ข้าก็เป็นคนของบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่อยู่แล้ว หากข้าช่วยเขาจะเท่ากับเป็นการช่วยคนชั่วได้อย่างไร?”
“มันเรียกว่าความจงรักภักดีต่อนายท่าน…”
สิ้นคำ สายตาที่ส่องสะท้อนบนลูกแก้วส่องสวรรค์ทอประกายวาวโรจน์
เขามองผนึกที่อยู่ในมือ เรียวปากกำลังพึมพำบางอย่าง
ไม่กี่อึดใจ วงแหวนรอบลูกแก้วส่องสวรรค์ก็เริ่มเกิดการผันผวน พลังดวงดาวหายไปจากร่างของเหล่าศิษย์ยอดเขาวิถีเร้นลับทีละน้อย
วิ้ง!
ความผันผวนรุนแรงก่อตัวขึ้น ลูกแก้วส่องสวรรค์พลันปั่นป่วน เรี่ยวแรงของศิษย์เหล่านั้นหายไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่อึดใจ ร่างของคนเหล่านี้เริ่มกลายเป็นภาพมายา
เหล่ายอดฝีมือแห่งวิถีเร้นลับอ้าปากกว้าง ราวกับพยายามอยากพูดบางอย่าง แต่กลับไม่อาจส่งเสียงออกมาได้ จนกระทั่งภาพมายาเลือนหายไป
ยามนี้พลังดวงดาวถูกส่งเข้าไปในลูกแก้วส่องสวรรค์ บนผ้าเสี่ยงทายของเสวียนเทียนชวน กลุ่มดาวกระบวยใหญ่กลายเป็นสีชาดทีละน้อย ก่อนแสงสว่างของดวงดาวทั้งเจ็ดจะเกิดการเปลี่ยนผัน
ดาราจักรที่เดิมเต็มไปด้วยแสงดาวพร่างพราวระยิบระยับ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายความชั่วร้าย ดวงดาวทั้งเจ็ดบนกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ที่สะท้อนบนท้องนภาส่องแสงเจิดจ้าโคจรลงมาจากตำแหน่งเดิม ทำให้จักรวาลโดยรอบเริ่มสั่นไหวรุนแรง
ยามนี้เสวียนเทียนชวนเปิดโลงศพของบรรพชนเสวียน ร่างของหญิงชราลอยไปอยู่ด้านข้างลูกแก้วส่องสวรรค์
ชายบนรถเข็นเฉือนเลือดเนื้อของบรรพชนเสวียนก่อนโยนขึ้นไปกลางอากาศ ก่อเกิดเป็นผนึกแปลกประหลาด
“วิถีแห่งสวรรค์ย่างกรายไปบนมหาวิถีเร้นลับ ทุกสรรพสิ่งคือโชคชะตา!”
“ข้าขอเพ่งพินิจสวรรค์ เลือดเนื้อแดงฉานคือเครื่องสังเวย!”
“ตระกูลชิวแห่งวิถีคุณธรรม จงปรากฏ!”
เหนือท้องนภา ดวงดาวทั้งเจ็ดพลันสั่นไหว หนึ่งในพวกมันร่วงหล่นลงมา เมื่อกำลังจะร่วงหล่นลงบนลูกแก้วส่องสวรรค์ มันกลับหายวับไป ยามนั้นเอง ร่างมายาหนึ่งพลันปรากฏขึ้นทีละน้อย
ลู่หยวนจ้องมองจึงพบว่ามีแผนที่หนึ่งถูกกางออกเหนือร่างมายา สิ่งที่ปรากฏบนแผนที่คือตำแหน่งที่ทะเลแดนใต้กับแดนมัชฌิมมาบรรจบกัน!
ภาพมายาหนึ่งปรากฏบนแผนที่ มันกระจายผ่านขุนเขาธารานับพัน ก่อนมุ่งลงสู่สายธาร
มันเป็นคูน้ำที่ทอดยาวระหว่างหุบเขายักษ์สองลูก… สภาพอากาศแปรปรวนยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นสภาพแดดจัดหรือเมฆมากก็จะมีเสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว
ลู่หยวนขมวดคิ้วราวกับนึกอะไรบางอย่างออกขึ้นมา เขาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่หลังจากขบคิดกลับนึกไม่ออก!
ภาพมายาในท้องนภามลายหาย หน้าผากของเสวียนเทียนชวนเต็มไปด้วยเหงื่อซึม “นายท่าน เมื่อครู่ท่านเห็นชัดเจนหรือไม่?”
บุตรศักดิ์สิทธิ์พยักหน้า “ลงมือต่อเลย”
เสวียนเทียนชวนกระตุ้นดวงดาราที่เหลือให้โคจรตามลงมา สิ่งที่ปรากฏในสายตาคราวนี้ คือทิวทัศน์งดงามราวกับแดนเซียน
หุบเขานับพันปรากฏขึ้นท่ามกลางเมฆหมอก วิหคโบยบิน ผู้ฝึกยุทธ์ขี่กระบี่มุ่งหน้าสู่ยอดเขาที่สูงที่สุด
บนยอดเขามีตำหนักนับพันตั้งอยู่ ในจัตุรัสเหนือยอดเขามีผู้คนนับร้อยฝึกฝนกระบี่ อีกทั้งยังมีเด็กบางส่วนสวมเสื้อผ้าปักลายดอกไม้ โดยมีสัตว์เทพสองสามตัวเดินตามอยู่ข้างกาย
เมื่อภาพมายาหายไปอีกครา ฉากต่อมาปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นภาพในตำหนัก
ตำหนักโอ่โถง พื้นถูกปูด้วยหยก บนที่นั่งสูงมีชายวัยกลางคนนั่งอยู่ ชายผู้นั้นมีรูปร่างผึ่งผาย เขาดูละม้ายคล้ายกับชิวชิงหลี
ส่วนที่นั่งด้านล่างมีเหล่าคนชรานั่งอยู่ พวกเขาแต่ละคนมีสีหน้าจริงจัง ราวกับกำลังสนทนาเรื่องราวบางอย่าง
ยามลูกแก้วส่องสวรรค์หมุนประมาณหนึ่ง กลิ่นอายของผู้คนในตำหนักก็ได้แผ่กระจายออกจากลูกแก้วส่องสวรรค์
“ครึ่งก้าวสู่อมตยุทธ์”
ดวงตาของลู่หยวนหรี่ลงประมาณหนึ่ง เขาจับจ้องไปยังผู้คนที่อยู่เหนือภาพมายาดังกล่าว
ในตำหนักแห่งนี้ มีครึ่งก้าวสู่อมตยุทธ์อย่างต่ำสามคน ส่วนที่เหลือเป็นจ้าวยุทธ์!
คนเหล่านี้ยังคงสนทนา ไม่เหมือนคนชราผู้เป็นอมตะที่เอาแต่เก็บตัว
คนเหล่านี้ล้วนเป็นครึ่งก้าวสู่อมตยุทธ์ ส่วนคนชราผู้เป็นอมตะที่เก็บตัวอยู่ เกรงว่ามีหลายคนที่กลายเป็นอมตยุทธ์แล้ว!
มีใครไปถึงขั้นเทพยุทธ์หรือไม่?!
ในตระกูลลู่ มีบรรพชนเพียงไม่กี่คนที่กลายเป็นอมตยุทธ์ แต่ในหมู่พวกเขา ไม่มีใครกลายเป็นเทพยุทธ์แม้แต่คนเดียว!
หากตระกูลชิวแห่งวิถีคุณธรรมมีผู้อยู่ขั้นเทพยุทธ์อยู่ข้างกาย เช่นนั้นด้วยพละกำลังในตระกูลของพวกเขา ย่อมสามารถยึดครองครึ่งหนึ่งของแผ่นดินหยวนหงได้!
ภาพมายาเบื้องหน้าสูญสลาย ดาวดวงสุดท้ายเคลื่อนลงมา ก่อนจะมีภาพปรากฏขึ้นอีกครั้ง สถานที่ดังกล่าวมืดสนิทจนไม่อาจมองเห็นนิ้วของตนเองได้
ยามลูกแก้วส่องสวรรค์หมุน เขาก็ได้ยินเสียงหอบหายใจดังขึ้น เหนือภาพมายามีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นทีละน้อย เป็นยอดฝีมือผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำ ในมือถือลูกประคำขนาดเท่ากำปั้นเอาไว้
ชายผู้นี้มีเส้นผมกระเซิง เสื้อผ้าขาดวิ่น หากไม่เห็นทรวงอกขยับขึ้นลง ผู้คนคงคิดว่าเขาตายไปแล้ว
ลู่หยวนเบิกตาโพลง แม้ลูกแก้วส่องสวรรค์จะถ่ายทอดกลิ่นอายของคนผู้นี้ออกมา แต่เขากลับไม่สามารถรับรู้ได้ว่ารากฐานการบ่มเพาะของคนผู้นี้อยู่ขั้นไหน พูดให้ถูกก็คือ อีกฝ่ายคล้ายกับไม่มีรากฐานการบ่มเพาะ!