ในเวลานั้นเจียงโม่หานย้ายเข้ามาอยู่ในเขตเริ่นอันแล้ว แม้จะไม่สนใจเรื่องต่าง ๆ รอบตัว แต่เขาก็ยังได้ยินเรื่องที่ทำให้กองทหารในเมืองตื่นตระหนกได้คือเศษเสี้ยวที่เหลือของราชวงศ์ก่อนกำลังรวบรวมชาวบ้านผู้ประสบภัยแล้วบุกสร้างฉากนองเลือดหลายต่อหลายหมู่บ้าน ส่วนหมู่บ้านฉือหลี่โกวก็ไม่ได้รับการยกเว้น…
หรือว่า…ผู้ที่มาซื้อกระทะมีความเกี่ยวข้องกับคนกลุ่มนี้ ? เจียงโม่หานยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ ชาวบ้านผู้ประสบภัยจำนวนมากล้วนตกอยู่ในสภาพเข้าตาจน การเข้าไปพัวพันกับคนกลุ่มหนึ่งแล้วไม่อาจย้อนมาเดินทางเก่าได้ก็ถือว่าปกติ ส่วนพวกคนร้ายที่โดนทางการออกหมายจับก็ไม่มีอาหารเช่นกัน ดังนั้นจึงง่ายมากที่จะโดนหลอกใช้
จู่ ๆ กองกำลังก่อจลาจลก็มีจำนวนปากท้องเยอะขึ้นเพียงนั้นแล้วจะไม่ซื้อกระทะเพิ่มได้อย่างไร !
เวลานี้ของชาติที่แล้วเขาใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง คิดแต่จะทำลายตระกูลอู๋เพื่อปีนให้ถึงตำแหน่งสูงกว่าเดิมแล้วจะได้ไม่ถูกคนอื่นควบคุม สำหรับฉือหลี่โกวแล้ว เขาไม่คิดถึงแม้แต่น้อย หมู่บ้านนี้จะมีจุดจบอย่างไร เขาก็ไม่ได้สนใจ
แต่ชาตินี้แตกต่างออกไป ท่านแม่ ตระกูลหลิน ผู้ใหญ่บ้าน…หรือแม้แต่อันธพาลเยี่ยงหลิวว่ายจื่อและหลิวเอ้อร์ล่ายก็ยังมีชีวิตอยู่ตรงหน้าเขา ยังมีเด็กน้อยที่กำลังต่อรองราคากับเถ้าแก่โรงตีเหล็กเพื่อเงินไม่กี่อีแปะ…ใจของเขาจึงไม่อาจเย็นชาได้เหมือนอดีตชาติมาตั้งนานแล้ว เขาจะทนมองผู้คนในฉือหลี่โกวโดนฆ่าล้างหมู่บ้านได้อย่างไร ?
โชคดีที่หายนะนั้นยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนกว่า ทุกอย่างยังพอหาทางรับมือได้ทัน !
เมื่อออกมาจากโรงตีเหล็กแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็นำกระทะใบใหญ่ที่เพิ่งซื้อไปวางบนเกวียนเทียมล่อ จากนั้นเปิดกระบอกน้ำแล้วดื่มน้ำหมดภายในชั่วอึดใจ
เจียงโม่หานส่ายหน้า บางครั้งนางก็ฉลาดยิ่งกว่าอันใด แต่บางครั้งก็โง่เขลาเหลือเกิน เมื่อครู่ตอนอยู่ตรงท่าเรือนั้นเมล็ดสน 1 ชั่งสามารถลดได้ 5 อีแปะ ถ้า 20,000 ชั่งก็คิดเป็นเงิน 100 ตำลึงไปแล้ว ตอนนี้เพราะเงิน 5 อีแปะ นางถึงขั้นต่อรองกับเถ้าแก่โรงตีเหล็กอยู่นานสองนาน !
เจียงโม่หานค่อย ๆ เข้าใจนิสัยของนางว่าสำหรับคนที่นางชอบแล้ว นางไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยด้วยเลย ทว่าสำหรับคนที่ไม่ชอบแล้วก็อย่าคิดจะได้ผลประโยชน์อันใดจากนางแม้เพียงน้อยนิด !
“ว้าว ! ซี่โครงที่แผงขายเนื้อด้านหน้าไม่เลวเลย บัณฑิตน้อย เจ้าไม่ได้ชอบกินซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานหรือ ? พวกเราซื้อกลับไปสัก 2 ชั่งดีหรือไม่ ? ” ปากของหลินเว่ยเว่ยบอกว่าจะซื้อ 2 ชั่ง แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาคือให้เจ้าของร้านห่อซี่โครงกลับถึงครึ่งแผง รวมน้ำหนักทั้งหมดเกือบ 10 ชั่งเลยทีเดียว !
“เหตุใดจึงซื้อเยอะเช่นนี้ ? ” ในบางครั้งเจียงโม่หานก็รู้สึกโชคดีที่ตนมีหน้าตาหล่อเหลา เพราะมันสามารถทำให้นางปฏิบัติต่อเขาแตกต่างจากผู้อื่น สามารถหลอกกินหลอกดื่มต่อนางได้ ! ฮ่าฮ่า ! สุดท้ายโฉวฝู่อย่างเขาก็มีวันที่ต้องอาศัยหน้าตาหากินเหมือนกัน !
“กินไม่หมดก็เก็บไว้ที่ห้องใต้ดินได้ ประเดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะทำซี่โครงนึ่งกระเทียมให้เจ้าลองชิม บัณฑิตน้อย เจ้าต้องไม่เคยกินมาก่อนแน่นอน” หลินเว่ยเว่ยขยิบตาให้เขาอย่างมีความสุข
ซี่โครงนึ่งกระเทียม ? เหตุใดจะไม่เคยกิน ? ชาติก่อนเขาเลี้ยงพ่อครัวฝีมือไม่ธรรมดาไว้ในจวนตั้งหลายสิบคนซึ่งหนึ่งในอาหารจานถนัดคือซี่โครงนึ่งกระเทียม ต่อมาพ่อครัวคนนั้นถูกซื้อตัวจนลอบวางยาพิษลงในอาหารของเขา แต่ถูกจับได้เสียก่อนจึงโดนหลีชิงหักกระดูกทุกส่วนต่อหน้าพ่อครัวคนอื่น มีเสียงกรีดร้องยาวนานกว่า 2 ชั่วยามก่อนจะหมดลมหายใจ เมื่อลงโทษในครั้งนั้นแล้ว เขาก็ไม่ได้กินซี่โครงนึ่งกระเทียมที่ถูกปากอีกเลย…
หลินเว่ยเว่ยยังไปซื้อข้าวเหนียวอีก 1 กระสอบที่ร้านขายธัญพืช ขากลับก็บ่นพึมพำว่า “เฮ้อ ! ราคาข้าวขึ้นอีกแล้ว ! กลับไปถามคุณชายลู่ดีหรือไม่ว่าบ้านเขาไม่ได้มีเรือขนสินค้าหรอกหรือ ? จะให้เขาขนข้าวสารจากทางใต้มาถ่วงดุลเสียหน่อย ราคาจะได้ลดลง ! ”
“เบื้องหลังของแต่ละร้านก็มีผลประโยชน์ซับซ้อนแตกต่างกันออกไป แม้จะเป็นตระกูลลู่พ่อค้าหลวงก็ไม่อาจยื่นมือเข้ามายุ่งโดยง่ายหรอก ถ้าอยากให้ราคาคงที่จะต้องรอให้ทางราชสำนักออกคำสั่งลงมาเท่านั้น ! ” เจียงโม่หานยิ้มในใจให้แก่ความไร้เดียงสาของนาง เห็นชัดว่าในบางครั้งนางก็ทำเหมือนเข้าใจไปเสียทุกอย่าง แต่ในบางครั้งก็บริสุทธิ์ราวกับเด็กแรกเกิด เป็นคนที่มีสองด้านในตัวเอง !
เมื่อเกวียนเทียมล่อออกจากประตูเมืองแล้วก็จะเห็นภาพชาวบ้านผู้ประสบภัย ถ้าไม่นอนก็นั่งอยู่ตลอดสองข้างทาง หลินเว่ยเว่ยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “เมื่อใดทางราชสำนักจะสั่งให้แจกจ่ายเสบียงเพื่อบรรเทาทุกข์ ? ชาวบ้านตาดำ ๆ จะไม่ไหวกันแล้ว ! ”
“น่าจะ…ใกล้ถึงเวลาแล้ว ! ” ชาติก่อนผู้ประสบภัยในเมืองจงโจวต้องรอแล้วรอเล่า แต่ก็รอไม่ถึงเสบียงบรรเทาทุกข์จากทางการหรอก เมื่อถึงทางตัน ผู้คนยิ่งเข้าร่วมกองกำลังก่อจลาจลมากขึ้น โดนพวกราชวงศ์ก่อนหลอกใช้และตายตกหรือบาดเจ็บในสงครามนับไม่ถ้วน…
เพียงเพราะเจ้าเมืองจงโจวปกปิดสถานการณ์ภัยแล้งอย่างโง่เขลาจึงทำให้ผู้คนทางเหนืออดตายและต้องทำสงครามกันยาวนานถึง 3 ปี…บางทีชีวิตนี้ เขาก็คงหนีไม่พ้น ! !
เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงถ้อยคำซึ่งอาจารย์เพิ่งกล่าวไว้ว่าเรื่องฉ้อฉลยังไม่เกิดขึ้นในเวลานี้ ดังนั้นควรคิดหาวิธีไม่ให้มันเกิด ไม่ใช่ทำการหลบเลี่ยงแล้วเสียเวลาวัยเยาว์ของตนออกไปอีกหนึ่งปี
อาจารย์ฟ่านไม่เชื่อข้ออ้างเรื่องการโดนทำร้ายที่ศีรษะของเขาแล้วต้องใช้เวลาพักรักษาตัวแม้แต่น้อย เพราะปากเขาบอกว่าพักรักษาตัวอย่างเงียบ ๆ แต่สามารถสร้างกังหันวิดน้ำพลังงานลมและวิธีเขียนบัญชีรูปแบบใหม่ขึ้นมา จะไม่สามารถเข้าร่วมการสอบในปีหน้าได้หรือ ?
เมื่อออกมาจากบ้านอาจารย์ฟ่านแล้ว เจียงโม่หานก็ได้ตระหนัก ใช่สิ ! เมื่อรู้ว่าในปีหน้ามีการฉ้อฉลแล้ว เหตุใดต้องหาวิธีหลบเลี่ยงมัน ไม่บดขยี้มันแทนเล่า ? หรือว่าการใช้ชีวิตอันเรียบง่ายนี้จะทำให้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาหายไปด้วย ?
ประธานในการสอบเยวี่ยนซื่อคือเจ้าหน้าที่ติงถีแห่งเมืองจงโจว น้องชายของภรรยาเจ้าหน้าที่ติงถีมีอนุภรรยาคนหนึ่งซึ่งเป็นพี่สาวของอู๋ปัวนั่นเอง ในชาติที่แล้วเพราะน้องชายของภรรยาเจ้าหน้าที่ติงถีซื้อตัวคนข้างกายของพี่เขย ทำให้เปิดเผยข้อสอบออกมาขายแก่บัณฑิตจำนวนมากจนได้เงินก้อนใหญ่
อู๋ปัวก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ ชาติก่อนคนที่เรียนหนังสือไม่เอาไหนเช่นนั้น ไม่เพียงสอบติดซิ่วไฉแต่ยังอยู่ในห้าอันดับแรกเสียด้วย ทำให้สหายและอาจารย์ในสำนักศึกษาเกิดความสงสัย ผู้ที่ซื้อข้อสอบมีคนเก่งอยู่ไม่กี่คนแต่ทั้งหมดกลับอยู่ใน 50 อันดับแรก ส่วนคนที่เรียนเก่งยิ่งกว่าคนเหล่านั้นในเวลาปกติไม่ติดอันดับเลย !
เพราะความโลภของน้องชายภรรยาเจ้าหน้าที่ติงถี หากเขาขายให้แค่สองสามบ้านก็คงไม่ถูกจับได้ ทว่าเนื่องจากมี 30 อันดับจาก 50 อันดับแรกที่ซื้อข้อสอบจึงเป็นธรรมดาที่จะสร้างความสงสัยและความไม่พอใจจากบัณฑิตจำนวนมาก
บัณฑิตนับพันล้วนมาถามหาความเป็นธรรมในผลสอบจึงทำให้ทางราชสำนักหันมาสนใจ เมื่อตรวจสอบก็ได้พบการฉ้อฉลและโทษของการปล่อยข้อสอบหลุดออกมาคือประหารชีวิต ! แม้เจ้าหน้าที่ติงถีไม่รู้ไม่เห็นด้วย แต่น้องภรรยาเป็นคนก่อหายนะนี้ขึ้นมา หากโดนตรวจพบ เขาเองก็ไม่รอด ! ท้ายที่สุดอาจารย์ฟ่านผู้บริสุทธิ์จึงกลายเป็นแพะรับบาปแทนคนเหล่านั้น…
หลังทราบว่าน้องภรรยาขายข้อสอบออกไปเกือบ 50 ชุด เจ้าหน้าที่ติงถีก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร สุดท้ายราชสำนักตัดสินผลคือตัดรายชื่อ 50 อันดับแรกออก…
เจ้าเมืองจงโจว เจ้าหน้าที่ติงถี…ขณะเดียวกันนั้นเจียงโม่หานก็เคาะนิ้วไปมาบนเกวียน
หลินเว่ยเว่ยมองเขา หลังจ้องนิ้วเรียวสวยอยู่พักใหญ่ นางก็ใช้ไหล่ชนเขาแล้วขยิบตาให้ก่อนจะถามว่า “ตอบมาเสียดี ๆ ว่าครุ่นคิดเรื่องอันใดอยู่ ? ”
“เหตุใดจึงถามเช่นนี้ ? ” เจียงโม่หานถามด้วยความประหลาดใจ
หลินเว่ยเว่ยเลียนแบบท่าทางเคาะนิ้วของเขาดัง ตึกตึกตึก
“บัณฑิตน้อย เจ้าคงจะไม่รู้ตัวว่าเวลาเจ้าจมอยู่ในความคิด นิ้วมือก็จะขยับอย่างควบคุมไม่อยู่ ยิ่งเป็นเรื่องยากเท่าไรก็ขยับชัดเจนขึ้นเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นตอนที่ข้าถามว่าเจ้าสามารถสร้างกังหันวิดน้ำได้หรือไม่ นิ้วโป้งและนิ้วชี้ข้างซ้ายของเจ้าจะขยับเล็กน้อย ส่วนตอนนี้ถึงขั้นต้องเคาะเกวียนเลย…อายุเจ้ายังน้อย มีเรื่องอันใดให้ครุ่นคิดเพียงนั้นเชียวหรือ ? ”
ตอนต่อไป