ฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูกาลของการกินผักสด
หวังซีกับฉังเคออยู่บ้านห่อเกี๊ยวไส้ผักจี้ไช่
เวินเจิงไปร่วมอวยพรวันคล้ายวันเกิดจ่างกงจุ่
เนื่องด้วยเห็นแก่ฉังเคอ เฉินลั่วจึงจัดให้เวินเจิงนั่งโต๊ะตัวที่สองรองจากโต๊ะของเจ้าภาพ คนที่นั่งร่วมโต๊ะหากมิใช่เพื่อนร่วมงานเก่าของเฉินลั่วที่กองพลม้าทะยานก็เป็นเหล่าผู้บังคับบัญชา รองผู้บังคับบัญชาและผู้ช่วยผู้บังคับบัญชาของกองพลทองคำทั้งสี่ ส่วนโต๊ะเจ้าภาพมีองค์ชายใหญ่ องค์ชายรอง องค์ชายเจ็ด บุตรชายทั้งสองคนของหลินอานต้าจ่างกงจู่ และหวังเฉินเป็นต้น
ทุกคนต่างพูดคุยสรวลเสเฮฮากัน อยากเย้าเฉินลั่วว่ารีบแต่งงานหรือไม่ แต่พอเห็นว่าหวังเฉินนั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ได้แต่ยักคิ้วหลิ่วตาแต่ก็ครึกครื้นมากทีเดียว
คนที่อยู่เป็นเพื่อนจ่างกงจู่ทางด้านหลังก็มีหลินอานต้าจ่างกงจู่ เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าและจินซื่อเป็นต้น
หลินอานต้าจ่างกงจู่มองจ่างกงจู่แล้วถอนใจกล่าวว่า “เพียงพริบตาเป่าชิ่งก็จะได้เป็นแม่สามีแล้ว” จากนั้นถามจินซื่อว่า “พวกเจ้าเลือกวันมงคลหรือยัง ข้าคิดว่าหน้าใบไม้ร่วงกำลังดี ไม่หนาวและไม่ร้อน จัดงานเลี้ยงเพิ่มสักสองสามวัน พวกเราจะได้มาสนุกด้วยกัน”
จ่างกงจู่ให้เกียรติตระกูลหวัง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้ข้าไม่อาจตัดสินใจได้ ต้องถามสะใภ้ใหญ่หวังแล้ว”
จินซื่อยิ้มกล่าวว่า “ข้าเองก็หาใช่คนที่ตัดสินใจได้! นายหญิงผู้เฒ่ากับนายหญิงของพวกข้ากำลังเร่งเดินทางมาจิงเฉิงเจ้าค่ะ!”
หลินอานต้าจ่างกงจู่ได้ยินเช่นนั้นแล้วถามขึ้นว่า “เหตุใดทั้งสองท่านถึงไม่เดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกับเจ้า”
ได้ยินว่าตระกูลหวังให้ความสำคัญกับหลานสาวผู้นี้มาก ตามหลักควรมาส่งนางแต่งงานด้วยถึงจะถูก
จินซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่มิใช่เพราะคิดไม่ถึงว่าน้องเล็กของพวกข้าจะได้แต่งมาที่จิงเฉิงหรอกหรือ สินเจ้าสาวที่เคยเตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ล้วนอยู่ที่สู่จง ข้าวของมากมายนัก ข้าเองก็ต้องเร่งออกเดินทาง ตอนนั้นยังตรวจนับกันไม่เสร็จ แม่สามีกับท่านย่าของข้าก็เลยจะเดินทางมาพร้อมกับสินเจ้าสาว จะได้มีเวลาจัดการเรื่องสินเจ้าสาวอีกหน่อย”
เหล่าสตรีที่นั่งอยู่ในงานต่างแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างห้ามไม่อยู่
ดูแล้วข่าวลือคงเป็นความจริง ตระกูลหวังร่ำรวยมากจริงๆ
แต่หลินอานต้าจ่างกงจู่กลับไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรพิเศษ
ได้ดองกับราชวงศ์ ผู้ใดไม่รู้สึกว่ามีเกียรติบ้าง เนื่องด้วยกลัวถูกผู้อื่นดูแคลน จึงมีคนจำนวนมากเอาทรัพย์สินมากกว่าครึ่งของตระกูลออกมาเป็นสินเจ้าสาวให้บุตรสาว การที่ตระกูลหวังมีความคิดเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
มีเพียงเซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้น นับตั้งแต่ที่ชิ่งอวิ๋นป๋อเริ่มชิงไหวชิงพริบกับฮ่องเต้เป็นต้นมา งานแต่งของหลานสาวคนโตที่เคยทำให้นางเอาไปอวดอ้างได้ในปีนั้นก็กลายเป็นความทุกข์ใจหนึ่งของนางแทน
หากสุดท้ายแล้วองค์ชายรองไม่ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ ครอบครัวพวกนางจะถูกจวนชิ่งอวิ๋นป๋อลากเข้าไปติดร่างแหด้วยหรือไม่
ถ้าครอบครัวของพวกนางถูกลากเข้าไปติดร่างแหด้วย จะหาวิธีดองกับใครสักตระกูลที่ทำให้บ้านพวกนางพ้นจากจุดที่ต้องพ่ายแพ้ไปด้วยได้หรือไม่
องค์ชายใหญ่คงเป็นไปไม่ได้แล้ว
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เด็กสาวจากครอบครัวพวกนางไม่อาจไปเป็นอนุชายาขององค์ชายเลย แม้แต่บ้านเดิมของพระชายาองค์ชายใหญ่ก็เป็นตระกูลที่ตกต่ำแล้วตระกูลหนึ่ง ในบ้านไม่มีพี่น้องให้พึ่งพาได้เลยสักคน หากเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยคงสลัดตัวออกมาได้ยาก ส่วนองค์ชายเจ็ด เขาอายุน้อยเกินไป โอกาสได้เป็นรัชทายาทคงมีไม่มาก หากให้หลานสาวแต่งเข้าไปเป็นพระชายาองค์ชายสักคน ความสัมพันธ์ก็จะแนบแน่นกันเกินไป ซึ่งมิใช่เรื่องที่ดีนัก จะให้ดีที่สุดคือเป็นญาติดองกับพระชายาองค์ชายเจ็ด แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าฮ่องเต้มีความคิดอย่างไร จะหมั้นหมายหญิงสาวจากตระกูลใดให้องค์ชายเจ็ด
ช่างน่าปวดหัวยิ่งนัก!
เซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่ตรงนั้นอย่างใจลอยเล็กน้อย
จู่ๆ ก็ได้ยินคนเรียกนาง “ฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่า”
นางได้สติกลับมา รีบปรับอารมณ์ให้ยิ้มแย้มแล้วหันไปมองคนเรียก
เป็นนายหญิงจากสายรองท่านหนึ่งของจวนเจิ้นกั๋วกง เรียงลำดับเป็นคนที่สามของบ้าน สามีมีนามว่าเฉินหยาง ทุกคนต่างเรียกนางว่า ‘นายหญิงสามหยาง’ เป็นคนไหลลื่นเข้าสังคมเก่ง ความสัมพันธ์ระหว่างเจิ้นกั๋วกงและจ่างกงจู่ตึงเครียดขนาดนี้ นางยังไปมาหาสู่กับทั้งสองฝ่ายได้อย่างไม่เป็นปัญหา
นางกระซิบถามเซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่าว่า “คุณหนูห้าของพวกท่านหมั้นหมายแล้วหรือ”
เซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่ามุ่นคิ้วเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
เฉินหยางได้ทำงานเป็นหัวหน้ากองธงใหญ่อยู่ที่กองพลทองคำผ่านการช่วยเหลือของเจิ้นกั๋วกง เป็นคนค่อนข้างเจ้าเล่ห์ไหลลื่น แต่ก็ชอบดื่มสุรา เมื่อได้ดื่มสุราแล้วก็ไม่มีสติ ด้วยเหตุนี้นั่งอยู่ในตำแหน่งหัวหน้ากองธงใหญ่มาสิบกว่าปีแล้วก็ยังไม่ได้ขยับไปไหน คนที่คบค้าสมาคมด้วยก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่สถานะไม่ต่างกันเหล่านั้นทั้งสิ้น
ให้นายหญิงสามหยางเป็นแม่สื่อ จะเป็นแม่สื่อเช่นไรได้?
แต่ก็ไม่คุ้มค่าที่นางจะผิดใจกับคนเช่นนี้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ยังไม่ได้หมั้นหมายแต่ก็มีคนมาทาบทามไม่น้อย ข้ากำลังช่วยนางดูตัวอยู่ เจ้าเองก็รู้ การแต่งงานของเด็กสาวก็เหมือนการเกิดใหม่เป็นครั้งที่สอง ไม่อาจกระทำอย่างลวกๆ ได้”
ความหมายโดยนัยก็คือ ไม่มีทางแต่งกับคนทั่วไปนั่นเอง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนายหญิงสามหยางผู้นั้นหมายมั่นในตัวคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวเอาไว้นานแล้ว หรือเป็นเพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นแม่สื่อที่ดีได้จริงๆ กันแน่ นางได้ยินเช่นนั้นแล้วพยักหน้าหงึกๆ ยิ้มกล่าวว่า “เป็นเหตุผลนี้จริงๆ! ฉะนั้นแล้วข้าอยากเป็นแม่สื่อให้คุณหนูห้าของพวกท่าน”
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวไม่อยากฟัง
แต่นายหญิงสามหยางผู้นั้นกลับกล่าวอย่างเอาใจว่า “เป็นหัวหน้ากองธงใหญ่ท่านหนึ่งของกองพลทองคำ เข้าสู่ตำแหน่งด้วยการแต่งตั้งพิเศษ เรื่องในบ้านข้าไม่พูดถึงแล้ว มีเพียงหนึ่งสายเท่านั้น ป้าของเขาก็คือหนิงผินของวังหลวง ท่านก็ลองดูว่าดีหรือไม่”
ย่อมไม่อาจพูดว่าสตรีชั้นสูงในวังไม่ดีอยู่แล้ว
แต่คนเป็นป้านี้ก็แบ่งได้หลากหลายประเภท บ้างไม่คิดจะยอมรับเจ้าแม้แต่น้อย บ้างก็รักหลานๆ จากบ้านเดิมดั่งเป็นแก้วตาดวงใจ บ้างก็เพียงใช้แซ่ร่วมกันเท่านั้น
แต่เซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่ากำลังคิดเรื่องควรไม่ควรดองกับองค์ชายเจ็ดอยู่มิใช่หรือ
นางเปลี่ยนใจ โน้มร่างไปทางตำแหน่งที่นายหญิงสามหยางนั่งอยู่ กล่าวว่า “เจ้าลองเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดทีว่าครอบครัวพวกเขาเป็นอย่างไร”
นี่หมายความว่าเริ่มสนใจแล้ว
นายหญิงสามหยางพลันเริงร่าขึ้นมา พรั่งพรูเรื่องราวออกมาไม่หยุด
คนที่นั่งอยู่ด้วยมีจำนวนไม่น้อย
จวบจนกระทั่งนายหญิงสามหยางเล่าจบ ข่าวก็บินไปถึงหูของคุณหนูห้าเจี่ยแล้ว
มีคนกล่าวเย้านางว่า “เป็นหลานชายแท้ๆ ของหนิงผิน ก่อนหน้านี้กักตัวอ่านตำราอยู่ในบ้าน บัดนี้ถึงวัยต้องเดินหน้าไขว่คว้าอนาคตแล้วถึงได้ส่งมาอยู่ที่จิงเฉิง หนิงผินเป็นคนขอร้องฮ่องเต้ หม่าซานเป็นคนจัดการให้ไปอยู่กองพลทองคำด้วยตัวเอง ถือว่าอนาคตไกล ลองพิจารณาดูได้จริงๆ ไม่เสียหาย”
คุณหนูห้าเจี่ยพลันมีเหงื่อเย็นซึมเต็มหลัง
ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าฮ่องเต้กลับชิ่งอวิ๋นป๋อกำลังงัดข้อกันอยู่ แต่ยิ่งเป็นเวลาเช่นนี้ ผลเก็บเกี่ยวที่ไม่คาดคิดก็ยิ่งมาก
หากเป็นสตรีบ้านอื่น เพื่อวางแผนเผื่อบุตรชายหญิงแล้ว หากหลบให้ไกลได้เท่าไรก็จะซ่อนตัวให้ไกลมากเท่านั้น แต่ท่านย่าของนางไม่เหมือนสตรีบ้านอื่น
นางชอบกระโจนเข้าหาการแข่งขันที่ไม่รู้แพ้ชนะเป็นที่สุด
มักชอบพูดคำว่า ‘เติมบุปผาในผ้าตาดเป็นเรื่องง่าย ส่งถ่านท่ามกลางหิมะเป็นเรื่องยาก’
นางคงไม่เห็นด้วยกับการดองครั้งนี้จริงๆ หรอกกระมัง
คุณหนูห้าเจี่ยนั่งไม่ติดที่เล็กน้อย นางเรียกหมัวมัวที่เป็นแม่บ้านมาถามว่า “เหตุใดถึงไม่เห็นคุณหนูหวัง หมายถึงคุณหนูสกุลหวังของจวนหย่งเฉิงโหวผู้นั้น”
หมัวมัวผู้นั้นเอามือป้องปากหัวเราะเบาๆ กระซิบที่ข้างหูของนางว่า “ปีที่แล้วคุณหนูหวังยังมาร่วมงาน แต่ปีนี้ไม่มาเจ้าค่ะ”
คุณหนูห้าเจี่ยอดย่นคิ้วไม่ได้ ยิ่งรู้สึกแย่มากขึ้น
คนจวนจ่างกงจู่ตั้งแต่ล่างขึ้นไปข้างบนล้วนให้ท้ายหวังซีเช่นนี้กันทั้งสิ้น แต่นางเล่า…
ในใจของนางพลันลุกเป็นไฟ นั่งไม่ติดที่อีกต่อไป แอบลุกขึ้นเดินไปที่ศาลากวางร้อง
***
ด้านซอยลิ่วเถียว เฉินลั่วให้คนนำปลาตะลุมพุกหนึ่งตัว ผักตั้งโอ๋หนึ่งกำ และผักอีกหลากหลายชนิดมาให้ บอกว่าให้หวังซีเอาไว้ทำกับข้าว
ฉังเคอหัวเราะงอหงาย ชี้ปลาตะลุมพุกตัวนั้นพลางกล่าวว่า “นี่คงไปไถมาจากจวนจ่างกงจู่อีกแล้วกระมัง”
เวลานี้จิงเฉิงยังไม่มีปลาตะลุมพุกวางขายในตลาด หากมีก็ต้องเป็นของที่ส่งมาจากเจียงหนาน
หวังซีไม่สะทกสะท้าน ไม่ได้รู้สึกกระดากอายแม้แต่นิดเดียว กล่าวขึ้นว่า “เจ้าแค่พูดมาว่าเจ้าจะกินหรือไม่กิน”
“กิน!” ฉังเคอเท้าสะเอวกล่าว “ไม่กินก็เปล่าประโยชน์ หาประโยชน์ได้ก็ควรหา”
หวังซีหัวเราะฮ่าเสียงดัง
คนที่มาส่งปลาให้เป็นบ่าวชายข้างกายของเฉินลั่วมีนามว่าลิ่วฝู เขากล่าวว่า “คุณชายรองยังให้บ่าวบอกท่านว่า สองสามวันนี้ให้ท่านอย่าออกไปไหน ที่จวนจ่างกงจู่เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อยขอรับ”
หวังซีตกใจ
ปีที่แล้วมีเรื่องของจินซงชิง ปีนี้…
นางรีบถาม “เกิดอะไรขึ้น”
ลิ่วฝูลูบท้ายทอย กล่าวว่า “เป็นคุณหนูห้าของจวนเซียงหยางโหวขอรับ ไม่รู้ว่าเดินไปถึงเรือนชั้นนอกได้อย่างไร บังเอิญเจอกับหัวหน้ากองธงเล็กของกองพลทองคำผู้หนึ่งเข้า จ่างกงจู่กับฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวกำลังหารือกันอยู่ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดีขอรับ”
ถ้าแค่บังเอิญเจอบุรุษข้างนอก ทุกคนเงียบไว้ก็ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้จ่างกงจู่ช่วยออกหน้าให้ ยังต้องหารือกับฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวอีก
เกรงว่าการบังเอิญเจอกันครั้งนี้จะมิใช่ความบังเอิญธรรมดา
หวังซีกับฉังเคอต่างมองหน้ากัน
“ข้าทราบแล้ว” หวังซีเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวกับลิ่วฝูว่า “เจ้ากลับไปบอกคุณชายรองสักคำ”
ลิ่วฝูถอยออกไปอย่างลิงโลดยินดี
ฉังเคอกลับร้อนใจขึ้นมา “ควรรั้งลิ่วฝูเอาไว้สอบถามให้กระจ่าง”
แม้นคุณหนูห้าเจี่ยกับนางจะไม่ได้มีไมตรีต่อกันมากมาย แต่อายุเท่ากัน ยามออกไปร่วมงานสังคมก็ได้เจอกันบ่อยครั้ง พอจะได้คุยกันบ้างสองสามประโยค จึงมีความประทับใจที่ดีต่อกัน เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ในฐานะที่เป็นสตรีเหมือนกัน จะไม่ให้นางเป็นห่วงได้อย่างไร จึงรู้สึกกังวลใจหลายส่วน
หวังซีกลับเชื่อมั่นในตัวเฉินลั่วมากกว่า กล่าวว่า “ในเมื่อเขาให้พวกเราหลีกเลี่ยง ย่อมต้องมีจุดที่ไม่สะดวกสำหรับพวกเราแน่ พวกเราหลีกเลี่ยงสักระยะหนึ่งก่อนก็แล้วกัน สุดท้ายจะเป็นอย่างไร ย่อมมีผลลัพธ์ออกมาอยู่ดี”
พวกนางรู้แค่ผลลัพธ์ก็พอแล้ว
ตอนเย็นแม้นทั้งสองคนจะต้มน้ำแกงปลาตะลุมพุกผักตั้งโอ๋ แต่สุดท้ายก็กินกันอย่างไม่ค่อยแช่มชื่นนัก ตอนที่เวินเจิงมารับนาง ฉังเคอจึงไม่ได้รั้งอยู่ต่อนาน
หวังซีกล่าวว่า “หากข้าได้ข่าวคราวอะไรจะส่งข่าวไปให้เจ้า ส่วนเจ้าถ้าได้ข่าวคราวอะไรก็ส่งข่าวมาบอกข้าด้วยสักคำหนึ่ง”
ฉังเคอพยักหน้า เดินทางกลับตระกูลเวินพร้อมเวินเจิง ต่อให้รู้สึกร้อนใจเพียงก็เชื่อฟังคำเตือนของเฉินลั่ว อยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหน กระทั่งมีข่าวการหมั้นหมายระหว่างคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวกับหัวหน้ากองธงเล็กแซ่ซ่งจากกองพลทองคำผู้หนึ่งลือมาให้ได้ยิน นางถึงได้นั่งไม่ติดที่อีก เร่งเดินทางไปพบหวังซี
หวังซีกำลังคุยกับป้ารับใช้ผู้หนึ่งอยู่ เห็นนางมาถึงแล้วก็ไม่ได้หลบเลี่ยง ชี้เก้าอี้กระเบื้องตัวกลมข้างกายพลางกล่าว “เจ้าเองก็นั่งลงมาฟังด้วยกันเถอะ”
ฉังเคอถึงได้ค้นพบว่าป้ารับใช้ผู้นั้นกำลังพูดเรื่องงานแต่งของคุณหนูห้าเจี่ยอยู่
“เป็นคนชานเมือง ปู่ย่าล้วนยังมีชีวิตอยู่ รุ่นพ่อมีพี่น้องผู้ชายสี่คน ส่วนรุ่นเขามีพี่น้องผู้ชายสิบสองคน เป็นครอบครัวใหญ่มีสมาชิกมาก...บิดาของเขาเป็นคนลำดับที่สอง…เขาเข้ากองพลทองคำโดยอาศัยเส้นสายของท่านอาสี่ของเขา…ตระกูลฝั่งภรรยาของอาสี่ของเขาเป็นสหายเก่าแก่ของจวนเว่ยกั๋วกง สนิทสนมกับกูไหน่ไหนใหญ่ที่แต่งเข้าตระกูลถานผู้นั้นเป็นอย่างมาก…ฐานะของครอบครัวธรรมดา หน้าตาก็สามัญ โชคดีที่เป็นคนฉลาดมีความสามารถ อยู่กองพลทองคำมาหกถึงเจ็ดปีแล้ว ใช้ความสามารถของตัวเองไต่เต้าจนได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองธงเล็ก”
กองพลทองคำเป็นสถานที่อะไร มีคนจากจวนกั๋วกงและจวนโหวอยู่ไม่น้อย คนจากครอบครัวขุนนางก็มากมายนับไม่ถ้วนดุจขนวัว แม้แต่คนที่มีชาติกำเนิดอย่างเฉินอิง ตอนเข้าไปใหม่ๆ ยังต้องเริ่มต้นจากการเป็นหัวหน้ากองธงเล็กเลย
อาศัยความสามารถของตัวเองไต่เต้าจนได้เป็นหัวหน้ากองธงเล็ก นั่นยิ่งกว่ามีความสามารถแล้ว
ฉังเคอกับหวังซีแลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่ง เอ่ยเร่งป้ารับใช้ผู้นั้นว่า “เช่นนั้นบังเอิญเจอกันได้อย่างไร”
ป้ารับใช้ผู้นั้นเผยสีหน้ากระอักกระอ่วนออกมา กล่าวเสียงค่อยว่า “ว่ากันว่าคุณหนูห้าเจี่ยทำปิ่นทองตก จึงหาสถานที่หนึ่งสำหรับผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ผลปรากฏว่าใต้เท้าซ่งผู้นั้นปราดเข้าไป”
นั่นยิ่งไม่สมเหตุสมผลแล้ว
คุณหนูห้าเจี่ยมีชาติกำเนิดเช่นไร สถานที่อะไรผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ได้ สถานที่อะไรไม่อาจรั้งอยู่ได้ ย่อมต้องรู้ดีไม่ปล่อยให้มีเรื่องผิดพลาดได้แม้แต่ครึ่งเดียว
ฉังเคอยังอยากถามต่อไป แต่หวังซีหันไปทำสัญญาณมือห้ามนางเอาไว้ ให้ไป๋กั่วนำซองแดงมาให้ป้ารับใช้ผู้นั้นพลางกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ขอบคุณท่านมาก ข้าไม่สบายใจ จำต้องเรียกท่านมาสอบถาม บัดนี้รู้แล้วว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับจวนจ่างกงจู่ ข้าเองก็วางใจลงได้แล้ว”
ป้ารับใช้ผู้นั้นโบกมือเป็นพัลวันพร้อมกล่าวว่า “มิกล้าเจ้าค่ะ” บ่ายเบี่ยงอยู่ครู่หนึ่งถึงได้รับซองแดงเอาไว้ ยอบเข่าทำความเคารพแล้วถอยออกไป
………………………………………………………………….