ฉังหนิงกลับบ้านในวันที่สาม หวังซีไม่ได้ไปร่วมด้วย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนจวนหย่งเฉิงโหวนึกถึงหวังซีขึ้นมากะทันหัน หรือเพราะตอนทำความรู้จักญาติค้นพบว่าคนหายไปคนหนึ่งกันแน่ โหวฮูหยินส่งพานหมัวมัวมาเชิญอย่างปัจจุบันทันด่วน หวังซีรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นโหวฮูหยินที่ทำไม่ถูก ต่อให้นางยุ่งมากจนหลงลืมไปชั่วขณะ เช่นนั้นคนใต้บังคับบัญชามัวทำอะไรกันอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นความสะเพร่าประเภทนี้ สำหรับคนเป็นนายหญิงดูแลเรื่องในบ้านแล้ว บางครั้งมีโทษถึงแก่ชีวิตได้
นางไม่ยอม
“หมัวมัวเกรงใจเกินไปแล้ว” หวังซีอ้างว่าจินซื่อออกไปข้างนอก ให้จินซื่ออยู่ในห้อง นางออกมาพบพานหมัวมัวเพียงลำพัง “เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่ได้เทียบเชิญ คิดได้ว่าในเมื่อพวกข้ากับที่จวนก็เป็นเพียงญาติดองกัน คงไม่มีความคิดอยากเชิญพวกข้าไป พวกข้าก็เลยมีแผนการสำหรับเรื่องอื่นไปแล้ว ประเดี๋ยวข้าเองก็ต้องออกไปข้างนอกเช่นกัน เกรงว่าคงไม่มีเวลาไปที่โน่นแล้ว”
หากมิใช่เพราะโหวฮูหยินระบุชื่อให้พานหมัวมัวเป็นคนมาเชิญแขก นางย่อมซ่อนตัวไปแล้ว
พอหวังซีกล่าวเช่นนี้ ใบหน้านางพลันร้อนผ่าว มุมปากอ้าหุบ ไม่รู้จะพูดอะไรดี
หวังซียกชาส่งแขก แม้แต่วันออกเรือนก็ฉังเหยียนก็ไม่ไปร่วมดื่มสุรามงคลด้วย
บ้านรองย่อมรู้ว่านี่คือการระบายอารมณ์ นายหญิงรองขบคิดเรื่องนี้แล้วรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ควรไปกล่าวขอโทษหวังซีสักครั้ง ทว่าท่าทีของโหวฮูหยินเป็นเช่นนั้น แต่ถ้าไม่ไปก็รู้สึกว่าภายภาคหน้าหวังซีจะได้แต่งเข้าจวนจ่างกงจู่ ไม่อยากทำให้คนไม่พอใจ
หันซื่อกำลังกังวลเรื่องหาโอกาสไปคุยกับหวังซีไม่ได้เสียที ตอนนี้จึงกระตือรือร้นอย่างยิ่ง หว่านล้อมแม่สามีว่า “ท่านเป็นผู้อาวุโส ต่อให้มีจุดที่ทำไม่ถูกต้องบ้าง ก็ไม่อาจไปกล่าวขอโทษด้วยตัวเอง และทางด้านโหวฮูหยินก็สะเพร่าไปแล้วจริงๆ”
กล่าวจบ นางกระซิบที่ข้างหูนายหญิงรองว่า “ได้ยินว่าเป็นความคิดของกูไหน่ไนรอง แต่โหวฮูหยินไม่รู้เจ้าค่ะ”
นี่เท่ากับอธิบายปัญหาทั้งหมดได้แล้ว กล่าวคือโหวฮูหยินไม่เพียงสอนสั่งฉังหนิงให้ดีไม่ได้ ยังควบคุมดูแลคนข้างกายให้ดีไม่ได้ด้วย
นายหญิงรองเบ้ปาก รู้สึกว่าหากมิใช่เพราะโหวฮูหยินได้แต่งงานมีตำแหน่งดีกว่า นางก็คงไม่ได้ดีเด่นมากความสามารถไปกว่าตน
“ข้าจะช่วยท่านเดินทางไปตระกูลหวังสักครั้งหนึ่งเองเจ้าค่ะ” หันซื่อเสนอความเห็นให้แม่สามีต่อ “พวกเราคงไม่อาจเอาแต่พึ่งพาจวนโหวตลอดไปหรอกกระมัง”
นี่หากแยกบ้านออกไป จะไม่มีสายสัมพันธ์ของตัวเองเลยไม่ได้!
นายหญิงรองสนใจขึ้นมาทันที ไม่เพียงให้หันซื่อไปตระกูลหวังเท่านั้น ยังส่งของขวัญล้ำค่าไปให้เป็นจำนวนมากอีกด้วย
เมื่อหันซื่อเจอหวังซี คำพูดคำจาก็กล่าวได้อย่างน่าฟัง “ข้ารู้ว่าเจ้าระคายใจกูไหน่ไนรอง ข้าเองก็รู้สึกเช่นกันว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง คิดว่าต่อให้เจ้าไป ในใจก็ไม่มีความสุข มิสู้พักผ่อนอยู่ที่บ้านดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นญาติหรือไม่ใช่ญาติ ก็ต้องไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ถึงจะสนิทสนมกันได้ ไม่อย่างนั้นจะมีคำกล่าวเก่าแก่ที่บอกว่าญาติห่างไกลมิสู้เพื่อนบ้านชิดใกล้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร”
ไม่เอ่ยถึงแม่สามีของนางเลยแม้แต่ครึ่งประโยค
หวังซีจึงรู้สึกว่าหันซื่อผู้นี้เก่งกาจกว่าแม่สามีของนางมาก
นางขบคิดอยู่ในใจว่านายหญิงรองนั้นภาคภูมิใจในตัวคุณชายสามฉังบุตรชายคนโตของตัวเองเป็นที่สุด หากนางยุแยงให้หันซื่อแยกบ้านกับแม่สามี ไม่รู้ว่านายหญิงรองจะทำหน้าอย่างไร
อย่างไรก็ตาม ความคิดดังกล่าวก็แค่ผ่านมาแล้วผ่านไป
นางยังไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้
วันที่ฉังเคอออกเรือน นางกลับเดินทางไปถึงตั้งแต่เช้าตรู่ ยังลากจินซื่อไปเจอฉังเคอด้วย
จินซื่อแอบยัดตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงให้ฉังเคอเงียบๆ ยังกระซิบบอกนางด้วยว่า “ให้เจ้าเก็บไว้เป็นเงินส่วนตัว ไม่ต้องบันทึกลงใบรายการของขวัญ แล้วก็อย่าบอกผู้อื่นด้วย ไม่อย่างนั้นคงทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองใจแน่”
ความหมายโดยนัยก็คือไม่ได้ให้ฉังหนิงกับฉังเหยียน
ฉังเคอไม่สบายใจ อยากบอกจินซื่อว่าหวังซีแอบให้ร้านค้านางหนึ่งร้านไปแล้ว อีกทั้งคิดว่าหวังซีเองก็ใกล้จะออกเรือนแล้ว จินซื่อยังต้องเตรียมสินเจ้าสาวให้หวังซีและต้องเอาเงินมาจากที่บ้านอีก แต่ก็กลัวว่าหากจินซื่อทราบเรื่องแล้วจะไม่พอใจ หรือตนพูดออกไปแล้วอาจทำให้จินซื่อกับหวังซีมีรอยบาดหมางกันแทน จึงได้แต่กล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่าและรับเอาไว้ ทว่าเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้นายหญิงสามฟังแทน
นายหญิงสามนึกถึงสินสอดที่ตระกูลเวินนำมาให้แล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ต้องกลัว ตอนอาซีออกเรือน เจ้าตอบแทนนางดีๆ ก็ได้แล้ว”
ถึงเวลาบุตรสาวของนางก็มีความสามารถตอบแทนน้ำใจดังกล่าวแล้วเช่นกัน
จากนั้นเพียงพริบตาเดียวก็ถึงวันคล้ายวันเกิดของจ่างกงจู่ในเดือนสี่
จ่างกงจู่ไม่อยากจัดงานใหญ่โต ตอนที่เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่ามาสอบถาม นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าจะเป็นแม่สามีคนอยู่แล้ว ยังจะจัดงานวันคล้ายวันเกิดอะไรอีก!”
เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะร่า กล่าวว่า “มิใช่เพราะกำลังจะเป็นแม่สามีแล้วถึงยิ่งสมควรจัดงานวันคล้ายวันเกิดหรอกหรือ อย่างไรก็ตาม ปีนี้จัดง่ายๆ สบายๆ หน่อยก็ดีเหมือนกัน ปีหน้าแต่งสะใภ้เข้าบ้านแล้ว ค่อยให้สะใภ้จัดให้ท่าน รอได้อุ้มหลานชายแล้วก็ให้หลานชายจัดให้ท่าน”
จ่างกงจู่พูดคุยกับเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าอย่างยิ้มแย้มไปกว่าครึ่งค่อนวัน แต่พอเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่ากลับไปแล้ว สีหน้านางสลดลงมา ยังให้ชุ่ยกูหยิบกระจกมาให้นางส่องดูครั้งแล้วครั้งเล่าอีกด้วย กล่าวว่า “ข้ายังไม่ได้แก่ขนาดนั้นกระมัง เหตุใดเพียงพริบตาเดียวก็จะต้องอุ้มหลานชายเป็นย่าคนแล้ว”
ขณะที่กล่าว ตัวเองก็สั่นเทิ้มไปครั้งหนึ่งก่อนเป็นคนแรก
ชุ่ยกูได้แต่ปลอบนางว่า “ต่อให้เป็นท่านย่า ท่านก็เป็นท่านย่าที่ดูอ่อนวัยและงดงามที่สุดเจ้าค่ะ”
จ่างกงจู่รู้สึกว่าตอนนี้ตนยังรู้สึกยากที่จะทำใจยอมรับได้ กล่าวว่า “เจ้าว่า ข้าให้พวกเขาแยกบ้านออกไปเป็นอย่างไร”
เมื่อตาไม่เห็นใจก็เป็นสุข ปิดหูขโมยระฆัง เรื่องประเภทนี้ปิดไว้ได้นานเท่าไรก็ปิดให้นานเท่านั้นดีกว่า
ชุ่ยกูไม่รู้จะพูดอะไรดีไปชั่วขณะ
งานวันคล้ายวันเกิดครั้งนี้จ่างกงจู่ส่งเทียบเชิญไม่มากนัก ไม่รบกวนไปถึงเฉินเจวี๋ยทางโน้น
ทว่าเฉินเจวี๋ยกลับฝ่าลมคลุกฝุ่นเร่งเดินทางกลับมาจากเฉิงโจว ตอนมาเยี่ยมจ่างกงจู่ยังทำทีเป็นมองซ้ายมองขวาพลางกล่าวว่า “เหตุใดไม่เห็นคุณหนูหวัง เรื่องใหญ่ขนาดนี้ นางไม่มาช่วยได้อย่างไร”
เด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน ผู้ใดมาช่วยงานที่บ้านสามีบ้าง?
นอกเสียจากว่าอยากประจบสอพลอบ้านสามีจนไม่สนแม้แต่หน้าตาและเกียรติ
สีหน้าของจ่างกงจู่พลันเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง ปกติล้วนแสร้งทำไม่เป็นไม่รู้ ทว่าครานี้ไม่ยอมให้นางเคยตัวอีก กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่เคยรู้เลยว่าก่อนแต่งงานเจ้าไปช่วยงานที่ตระกูลติงด้วย เห็นได้ชัดว่าหมัวมัวสอนมารยาทที่อยู่ข้างกายเจ้าไม่รู้จักกฎระเบียบเลยแม้แต่น้อย”
นางหันไปถามชุ่ยกูว่า “ทุกวันนี้ผู้ใดเป็นคนปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายกูไหน่ไนใหญ่?”
“หวังหมัวมัวเจ้าค่ะ!” ชุ่ยกูตอบอย่างนอบน้อม
“เรียกนางกลับมา” จ่างกงจู่กล่าวเยือกเย็น “ข้าก็ว่าเหตุใดทุกครั้งที่แม่สามีของกูไหน่ไนใหญ่เจอข้าล้วนมีสีหน้ากังวลใจ หากข้ามีสะใภ้ที่ไม่สนใจเรื่องในบ้านของตัวเองแม้แต่เรื่องเดียว แต่เรื่องของตระกูลเดิมกลับต้องการสอดมือเข้าไปยุ่งทุกเรื่องอย่างกูไหน่ไนใหญ่ล่ะก็ ข้าเองก็คงกังวลใจเช่นกัน กล่าวไปกล่าวมาล้วนเป็นความผิดของข้า ไม่ควรทิ้งนางไว้กับหมัวมัวสอนมารยาท เลี้ยงจนนางเสียนิสัยไปหมดแล้ว”
ยังกล่าวกับเฉินเจวี๋ยอย่างใจดีว่า “บัดนี้เจ้าก็โตเป็นนายหญิงดูแลงานในบ้านของผู้อื่นไปแล้ว ต่อให้ข้าอยากอบรมสั่งสอนเจ้าตอนนี้ก็คงไม่เหมาะ บางเรื่องเจ้าคงต้องจัดการด้วยตัวเอง แต่หมัวมัวที่ไม่ยึดถือในกฎระเบียบเช่นนี้ไม่อาจปล่อยไปได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้นางทำเรื่องของเจ้าเสียหายในสักวัน”
กล่าวจบก็ให้ชุ่ยกูไปหยิบป้ายคำสั่งไปเรียกคนที่ตระกูลติง
เฉินเจวี๋ยโกรธจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
หมัวมัวข้างกายนางไม่ต่างจากหมัวมัวข้างกายเฉินอิง ล้วนเป็นคนที่มารดาผู้ให้กำเนิดของพวกเขาทิ้งเอาไว้ให้นาง ภายหลังจ่างกงจู่มาบอกว่าประทานชาติกำเนิดให้หมัวมัวทั้งสองคนใหม่เป็นรางวัล ให้ขึ้นทะเบียนกับสำนักกิจการภายใน หมัวมัวทั้งสองคนต่างคิดแค่ว่าเป็นเกียรติที่จ่างกงจู่ต้องการยกย่องพวกนางเท่านั้น แม้นไม่ได้รับเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ จำต้องพยายามดูแลเด็กทั้งสองคนอย่างใส่ใจมากขึ้น
ต่อมาจ่างกงจู่ก็ไม่สนใจเรื่องนี้อีก
พอนางโตขึ้นเข้าใจว่าหลังจากเฉินลั่วถือกำเนิดแล้ว ด้วยความรักลูกของตัวเองจ่างกงจู่คงคร้านจะสนใจดูแลเรื่องของพวกเขาแล้ว และจ่างกงจู่ก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องของพวกเขาจริงๆ พอเวลาผ่านไปนานวันเข้า นางเองก็ค่อยๆ ลืมเรื่องนี้ไป ยิ่งไปกว่านั้นทุกๆ เดือนหมัวมัวทั้งสองท่านยังมีเบี้ยรายเดือนห้าร้อยตำลึงอีกด้วย ไม่ใช่ไม่ได้อะไร
แต่วันนี้ต้องจ่ายราคาค่างวดแล้ว เนื่องจากรับเบี้ยรายเดือนของสำนักกิจการภายใน เช่นนั้นก็ถือเป็นหมัวมัวของสำนักกิจการภายใน สำนักกิจการภายในจึงมีอำนาจตัดสินใจเรื่องตำแหน่งของพวกนาง
หมัวมัวทั้งสองท่านดูแลนางกับเฉินอิงมานานหลายปี เป็นคนที่สมควรได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีในยามบั้นปลายอยู่ในจวนแล้ว แล้วก็เป็นหนึ่งในคนที่นางกับเฉินอิงไว้ใจที่สุด เป็นแขนซ้ายขวาของพวกเขา นอกจากไม่อาจยกให้แล้ว หากถูกจ่างกงจู่เรียกตัวกลับไปจริงๆ แล้วถูกเอาไปทิ้งไว้ที่มุมไหนก็ไม่รู้ เช่นนั้นคนข้างกายนางจะคิดอย่างไร
ติดตามเจ้านายที่ไม่มีอนาคต ผู้ใดจะทุ่มเทแรงกายแรงใจให้ได้
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฉินเจวี๋ยกระวนกระวายยามอยู่ต่อหน้าจ่างกงจู่ นางจ้องจ่างกงจู่ กล่าวขึ้นอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อยว่า “ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าเล่ห์เกินไปแล้วกระมัง ข้าอุตส่าห์คิดมาตลอดว่าท่านเป็นคนไม่เลวผู้หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าท่านจะจงใจวางแผนการเพื่อรอวันนี้!”
จ่างกงจู่ไม่คิดจะมองนางตรงๆ ด้วยซ้ำ รอนางพูดจบแล้วถึงได้จิบชาคำหนึ่ง กล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “เจ้าคิดเช่นนั้นมาตลอดอยู่แล้วมิใช่หรือ หากข้าไม่ช่วยยืนยันสิ่งที่เจ้าคิด เจ้าก็คงยังคิดว่าข้าเป็นคนโง่ที่ไม่มีความสามารถอะไรผู้หนึ่ง!”
นางตะโกนเสียงดังว่า “ใครก็ได้เข้ามา” จากนั้นกล่าวว่า “ส่งหมัวมัวทั้งสองท่านไปที่สำนักกิจการภายใน ให้พวกเขาจัดการกันเอง”
นี่เท่ากับไม่คำนึงถึงความเป็นความตายแล้ว
“ไม่ ท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้!” เฉินเจวี๋ยหน้าซีดเผือดหันไปหมายจะพุ่งเข้าใส่จ่างกงจู่ ทว่าถูกป้ารับใช้ข้างกายจ่างกงจู่ขวางเอาไว้
จ่างกงจู่มองนางอย่างเหยียดหยัน ไม่ได้กล่าวอะไร
ชุ่ยกูรู้ว่าจ่างกงจู่ต้องการสั่งสอนเฉินเจวี๋ยเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หวังซีต้องไม่สบายใจหลังจากที่แต่งเข้ามาเพราะมีพี่สาวสามีเช่นนี้
นอกจากนี้นางเองก็ไม่ค่อยชอบใจหมัวมัวทั้งสองคนเช่นกันที่ชอบพูดไร้สาระต่อหน้าพวกเด็กๆ ทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องที่หาทางลงไม่ได้ จึงรีบหยิบป้ายคำสั่งแล้วมุ่งหน้าออกไปข้างนอก
เฉินเจวี๋ยไม่เคยเห็นจ่างกงจู่ที่เป็นเช่นนี้มาก่อน นางชะงักงันอยู่ตรงนั้นไปชั่วขณะ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้สติกลับมา ร้องเสียงหลงให้สาวใช้เด็กตามชุ่ยกูไป
เด็กสาวเหล่านั้นจะกล้าทำได้อย่างไร
เพียงแสร้งวิ่งตามออกไปตามหน้าที่เท่านั้น
ส่วนนางยืนอยู่กลางห้องโถงด้วยใบหน้าซีดเผือด จะก้าวหรือจะถอยก็ยากลำบากทั้งสองทาง ได้แต่กล่าวว่า “ข้าจะไปบอกท่านพ่อของข้า!”
จ่างกงจู่ไม่ยกหางตาขึ้นด้วยซ้ำ มองเฉินเจวี๋ยจ้ำอ้าวออกไปอย่างรวดเร็ว
พวกสาวใช้เด็กเก็บถ้วยชากันอย่างเบามือเบาเท้า
มุมปากชิงกูแต้มยิ้ม ประคองจ่างกงจู่กลับห้อง
จ่างกงจู่ถอนใจกล่าวว่า “ที่นางกลายเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบเช่นกัน”
หากนางสนใจดูแลเฉินเจวี๋ยสักหน่อย ดึงเอาคนข้างกายนางที่มีเจตนาร้ายซ่อนเร้นเหล่านั้นออกไป นางจะไม่โง่เขลาถึงขนาดนี้หรือไม่
เฉินเจวี๋ยไปฟ้องไม่เป็นผลเนื่องจากเจิ้นกั๋วกงกับเฉินอิงตามฮ่องเต้เสด็จไปที่เซวียนฝู่
ฮ่องเต้ประสงค์ไปดูการป้องกันเมืองของทางนั้นสักหน่อย
เฉินลั่วกับจ่างกงจู่รั้งอยู่จิงเฉิง จ่างกงจู่จัดงานวันคล้ายวันเกิดอย่างเงียบๆ
หวังซีไม่ได้ไปร่วมงาน
นางเป็นว่าที่ภรรยาของเฉินลั่วก็จริง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่ได้ตบแต่ง ไปร่วมงานด้วยจึงดูไม่ค่อยดีนัก จินซื่อกับหวังเฉินเป็นตัวแทนของตระกูลหวังไปร่วมแสดงความยินดี
ฉังเคอตั้งใจมาอยู่เป็นเพื่อนหวังซีเป็นพิเศษ
หวังซีถามอย่างแปลกใจว่า “ครอบครัวของพี่เขยไม่ว่าอะไรหรือ”
ดูจากสิ่งที่ตระกูลเวินตระเตรียมให้เวินเจิงก็รู้ได้ถึงความทะเยอทะยานของพวกเขาแล้ว งานวันคล้ายวันเกิดของจ่างกงจู่เป็นโอกาสอันดียิ่งที่จะได้สร้างสายสัมพันธ์กับผู้คน
ฉังเคอกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าเองก็ไม่ไปมิใช่หรือ”
หวังซีหัวเราะอย่างกระดากอาย กล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจข้า ข้าไม่อยากไปจริงๆ”
นางกลัวตัวเองจะถูกชักจูงเข้าไปในสวนป่านั่นอีกครั้งแล้วเห็นเรื่องอะไรเข้าอีก
ตอนนี้สถานะของนางไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เมื่อก่อนนางรู้เรื่องอะไรไปก็ไม่เป็นไร ทว่าบัดนี้ไม่อาจเห็นอีกเป็นอันขาด
ฉังเคอยิ้มกล่าวว่า “เจ้าวางใจเถอะ! พี่เขยของเจ้าไปก็เหมือนกันแล้วมิใช่หรือ พวกเราควรถือโอกาสตอนที่พวกเขาไม่อยู่มาคุยกันให้หนำใจถึงจะถูก”
หวังซีไม่เห็นด้วย กล่าวว่า “เป็นเจ้าคนเดียว มิใช่พวกเรา ข้าอยู่ที่นี่มีเรื่องสนุกให้ทำมากมาย”
“ได้ๆๆ ข้าพูดผิดไปแล้วพอใจหรือยัง” ฉังเคอกล่าวขอโทษด้วยรอยยิ้มกว้าง หาได้มีความจริงใจแม้แต่น้อย
สองพี่น้องจึงหัวเราะออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
…………………………………………………………….