บทที่ 212 ความโกรธของเย่แจ๋หยิ่ง

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 212 ความโกรธของเย่แจ๋หยิ่ง

แต่เป็นเพราะการเคลื่อนไหวเช่นนี้ จึงทำให้ทั้งสองแนบชิดกันเป็นอย่างมาก ราวกับปลายจมูกกำลังจะชนกับปลายจมูกแล้ว

หานแสถึงกับหายใจไม่ออก เมื่อมองดูหลานเยาเยาในระยะประชิด อีกทั้งดวงตาอันดำสนิทและเป็นประกายนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ….

ใบหน้าขาวนวลและบอบบางค่อยๆแดงระเรื่อขึ้นมา….

ริมฝีปากแดงสดอันเย้ายวนนั้นสะดุดตาเป็นอย่างมาก จนทำให้อยากลองลิ้มรสดูสักครั้ง….

พอดูถึงตอนนี้ หานแสชะงักเล็กน้อย สายตาวอกแวกไปหมด ในขณะที่หลานเยาเยายังไม่ต่อสู้กลับอีกครั้งเขาก็ลุกขึ้นก่อนเสียเอง จากนั้นก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว

ในตอนที่เดินออกประตู เขาก็เกือบจะสะดุดล้มกับขอบประตูอีกเสียด้วย

จนไม่รู้ว่าเมื่อใดกันที่หูค่อยๆแดงขึ้น

หลังจากที่ออกมาอยู่ด้านนอก เขาก็เข้าไปเอนตัวกับกำแพง หลังจากนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานเสียงต่ำๆก็เปล่งออกมา

” เวลาไม่เช้าแล้ว ควรลงมือได้แล้ว”

หลานเยาเยาที่ใจยังเคืองไม่หายก็ค่อยๆลุกขึ้นยืน

” เจ้าใช้ยาผิดหรือไร ? ดวงอาทิตย์เพิ่งจะลับขอบฟ้า ! ”

คนสารเลว !

หากยังมีคราวหน้า นางขอสัญญาเลยว่าจะทำให้เขารู้สึกเสียใจที่มาเกิดบนโลกใบนี้

น้ำเสียงของหลานเยาเยาไม่ดีมากนัก ด้วยความโกรธที่ยังไม่หายไปเลยทำให้น้ำเสียงที่พูดกับหานแสไม่น่าฟังอย่างยิ่ง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น!

หานแสถึงค่อยได้หันไปดูยังทิวเขาก็ได้เห็นว่าพระอาทิตย์เพิ่งจะเริ่มตกดิน และทางทิศตะวันตกก็ยังคงส่องแสงสะท้อนสีแดงอยู่

เขาก็อดไม่ได้ที่อยากจะหัวเราะ จากนั้นมุมปากก็ค่อยๆยกขึ้นมา

” ได้ เช่นนั้นรออีกสักประเดี๋ยวค่อยไป ”

แต่เพียงไม่นาน รอยยิ้มบนไปหน้าของเขาก็นิ่งตรึงบนใบหน้า…..

เพราะเห็นเย่แจ๋หยิ่งที่ยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลออกไป ใบหน้าเย็นชา บรรยากาศรอบกายปกคลุมไปด้วยกลิ่นไอแห่งความอันตรายและน่ากลัว

ดูท่าแล้ว เขาคงเห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้แล้ว

” หึ! ”

หานแสแสยะคำพูดออกมาเบาๆ โดยไม่มีความรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็ค่อยๆจัดเสื้อผ้าของตัวเองจนเข้าที่ ก่อนจะพุ่งออกไปต่อสู้กับเย่แจ๋หยิ่ง

ทั้งสองหายวับออกไปจากด้านนอกห้องของหลานเยาเยาอย่างรวดเร็ว

มาต่อสู้กันยังพื้นที่อันสงบที่ไกลออกไป ทั้งสองล้วนแต่มีบาดแผลบนร่างกาย ยิ่งกว่านั้นบาดแผลบนร่างของเย่แจ๋หยิ่งนั้นบาดเจ็บหนักกว่าเป็นหลายเท่า

แต่ว่า ! ต่อสู้อยู่หลายรอบ หานแสนั้นก็ได้รับบาดเจ็บ ส่วนเย่แจ๋หยิ่งนั้นเพียงแค่ผมยุ่งเหยิงเล็กน้อย

หานแสหายใจหอบพร้อมกับพูดอย่างรุนแรง

“เพียงแค่กลั่นแกล้งนางเล็กน้อยเท่านั้น จำเป็นต้องต่อสู้กันรุนแรงเช่นนี้เชียวรึ? แล้วอีกประการหนึ่งท่านก็ตัดสัมพันธ์กับนางแล้ว นี่ยังจะไม่อนุญาตให้ผู้อื่นเข้าใกล้นางเลยหรือ? ”

เขาเช็ดคราบเลือดที่มุมปากออก ด้วยใบหน้าที่ยังคงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

เย่แจ๋หยิ่งย้ายร่างเข้าไปซ่อนตัวในพุ่มไม้ จนไม่สามารถมองเห็นแววตาของเขาได้อย่างชัดเจน แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นกลับเยือกเย็น

“ข้าเคยกล่าวแล้วว่าอย่าแตะต้องตัวนางอีกแม้แต่น้อย ”

พูดไปพลางย้ายร่างกลับมาแล้วทันใดนั้นเขาก็ปรากฏต่อหน้าของหานแส แล้วหมัดที่เต็มไปด้วยกำลังภายในอันรุนแรงก็พุ่งไปหาเขาอีกครั้ง

” ยังคงความรุนแรงจริงๆ”

หานแสรีบหลบหนี ด้วยความรู้สึกประหลาดใจ!

เขาเคยคิดว่าช่องว่างระหว่างเขาและเย่แจ๋หยิ่งนั้นไม่ได้ต่างกันมากมาย เพราะยังไงเสียพวกเขาก็เคยประลองฝีมือกันมาก่อนแล้ว

ถึงแม้พลังวรยุทธ์กำลังภายในของเขาจะสู้เย่แจ๋หยิ่งไม่ได้ แต่ในตอนนั้นรู้สึกว่าจะไม่มีความแตกต่างอะไรมากนัก

แต่กลับคิดไม่ถึงว่า…..

แท้จริงแล้วเขาไม่เคยเผยพลังออกมาทั้งหมด ดูท่าแล้วคงจะรำคาญใจในตัวเขาแล้วจริงๆ

ถึงกระนั้น แล้วจะยังไง?

จะต้องกลัวเขาเช่นนั้นรึ?

จากนั้น ทั้งสองก็ต่อสู้กันอีกรอบ

เวลาผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ หานแสชันเข่าลงกับพื้น พร้อมกับมือข้างหนึ่งที่ยันตัวเอาไว้ บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยช้ำม่วงช้ำเขียว พร้อมกับมือที่กำหมัดแน่นไม่ยอมปล่อย

เห็นได้ชัดว่าถูกตีเข้าอย่างหนัก แต่เขากลับหัวเราะออกมา

“เหอะๆๆๆ….”

“เพื่อสตรีนางเดียว แม้แต่พลังภายในที่แท้จริงของตัวเองก็ไม่ยั้งไว้แล้ว เหอะๆๆ อ๋องเย่ ท่าทางหึงหวงของท่านช่างน่าสนใจยิ่งนัก! “…..

หานแสพูดพลางค่อยๆลุกขึ้นยืน ถึงแม้อาการจะค่อนข้างสาหัส แต่เขาก็ยังคงพูดต่อด้วยความท้าทาย

” ท่านไม่ต้องการนาง ข้าจะเอาเอง ท่านไม่ทะนุถนอมนาง ข้าก็จะทะนุถนอมนาง สิ่งของล้ำค่าเช่นนี้เหตุใดถึงปล่อยให้นางถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นด้วยเล่า ”

เมื่อเห็นเย่แจ๋หยิ่งจะลงมืออีกครั้ง หานแสก็รีบกระแอมออกมาแล้วยกมือขึ้นมาห้าม

” วางใจเถอะ ข้าไม่แตะต้องนาง ถ้าข้าสามารถชนะใจนางได้ ให้นางเข้าหาข้าเอง ถึงเวลานั้นท่านจะโทษข้าไม่ได้แล้ว ”

เขาพูดประโยคนี้ด้วยมั่นใจอันล้นหลาม

ก็แค่สตรีนางเดียว มีหรือที่เขาจะสยบไม่ได้?

พูดจบก็คิดจะบินจากไป แต่กลับพบว่าเขาถูกทำร้ายจนสาหัสเกินไป อยากจะบินงั้นหรือ…..คงจะไม่ได้ในตอนนี้เสียแล้ว สุดท้ายก็ทำได้เพียงเดินโซซัดโซเซกลับไป

หลังจากที่หานแสจากไป ความโกรธของเย่แจ๋หยิ่งที่สะกดไว้มาเป็นเวลานานก็ระเบิดออกมา แล้วเขาจึงยกหมัดขึ้นมาต่อยกับต้นไม้ใหญ่ แล้วเลือดสดๆก็ไหลออกมาจากมือของเขา ค่อยๆไหลลงไปตามต้นไม้

ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย เขาหลับตาลงอย่างเงียบๆ เพียงไม่นานเลือดสีดำเข้มก็ไหลออกมาจากมุมปาก

……

หลานเยาเยาที่ไม่รู้ว่าเย่แจ๋หยิ่งและหานแสกำลังต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง ก็เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง ท้องฟ้าก็มืดไปนานแล้ว ชนเผ่าหยินไห่ส่วนมากก็น่าจะเข้านอนกันหมดแล้ว นางเองก็ได้เปลี่ยนชุดออกตระเวนกลางคืนแล้วเรียบร้อย หากจะถามว่านางไปหาชุดออกตระเวนกลางคืนมาจากไหน นางนั้นได้เตรียมเอาไว้ในระบบหมดแล้วก่อนที่จะมาถึงดินแดนแห่งนี้เสียอีก

“หายไปไหนแล้ว?”

หลานเยาเยารู้สึกกังวลใจเล็กน้อย ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะว่าวรยุทธ์ของหานแสนั้นเก่งกาจ ถ้าหากไม่ไตร่ตรองถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในห้องของผู้อาวุโสใหญ่ แล้วเขาสามารถใช้ประโยชน์ได้ นางถึงยังได้รอเขาอยู่ มิเช่นนั้นนางก็ออกไปลงมือคนเดียวนานแล้ว

เมื่อรอแล้วรออีกก็ยังไม่เห็นการปรากฏตัวของหานแส หานแสเจ้าคนไม่รู้จักเวลา ตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้วยังไม่เห็นเงาอีก

ช่างเถิดๆ นางไปคนเดียวก็ได้

จากนั้นหลานเยาเยาก็ปิดใบหน้าด้วยผ้าสีดำ พลางเปิดหน้าต่างแต่ยังไม่ทันได้กระโดดออกไป นางก็ถึงกับตะลึงกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าจนถอยหลังกลับไปหลายก้าวแล้วสิ่งที่ดึงดูดสายตาของนางก็คือคนที่ตอนนี้มีใบหน้าที่บวมเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ซึ่งกำลังถูใบหน้าของเขาอยู่ในตอนนี้ หลังจากที่เห็นนางเปิดประตูออกมา เขาก็รีบเอามือไปไขว้หลังทันที แล้วเดินเข้าไปพิงหน้าต่าง ด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย

เจ้าคนนี้คือผู้ใดกัน?

หลานเยาเยากวาดตามองเขาอยู่หลายครั้งหลายครา จากนั้นก็เรียกชื่อออกมาอย่างไม่แน่ใจ

“หานแส?”

ถึงแม้จะเปลี่ยนเป็นชุดดำทั้งตัว แต่ทรงผมกลับไม่ได้เปลี่ยน เช่นนั้นก็เป็นหานแสไม่มีผิดแน่

ว่าแต่เพราะเหตุอะไรหน้าเขาถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ได้ นางเองก็ไม่อาจรู้ได้

“ไปกันเถิด!”

หานแสคิดว่านี่เป็นช่วงเวลาที่น่าอับอายที่สุดในชีวิตของเขา อ๋องเย่คนนั้นก็ช่างขี้โมโหเกินไปแล้วจริงๆ ตีโดนร่างกายเขาก็น่าจะพอแล้ว เหตุใดถึงได้เล็งใบหน้าของเขาด้วย !

“อ๋อ ไปกันเถอะ!”

เป็นเพราะสิ่งที่เขารังแกนางก่อนหน้านี้ นางจึงยังโกรธเขาอยู่ แต่พอเห็นสภาพที่ย่ำแย่ของเขาตอนนี้แล้ว นางจึงตัดสินใจที่จะไม่ตำหนิเขา

ต่อจากนั้น !ทั้งสองก็พากันไปซ่อนตัวอยู่ที่ป่าหลังห้องของผู้อาวุโสใหญ่ หลังจากที่แสงเทียนในห้องดับลง พวกเขาถึงได้ค่อยๆเข้าไป เพื่อความปลอดภัยจากการถูกจับ หลานเยาเยาจึงตั้งใจวางธูปหลับใหลไว้ในห้องของผู้อาวุโสใหญ่ด้วย จากนั้นทั้งสองต่างพากันปีนหน้าต่างเข้าไปในห้อง แล้วรีบแยกกันตามหาหนังสือทำเนียบบรรพชนทันที หาอยู่เป็นเวลานานก็ยังหาไม่พบ ตอนนี้จึงทำให้หลานเยาเยาเริ่มหดหู่ใจ ก็เพียงแค่หนังสือทำเนียบบรรพชนเล่มเดียวไม่ใช่หรือไง? นอกจากบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การพัฒนาของชนเผ่าหยินไห่ และช่วงเวลาการเกิดเหตุการณ์สำคัญต่างๆ แล้ว ก็ไม่มีความลับอะไรที่จะให้ผู้อื่นเห็นมิได้

มีความจำเป็นที่ต้องเก็บซ่อนลึกลับเช่นนี้เชียวรึ?

ในเวลานี้ หานแสก็เดินเข้ามาหา ดูจากท่าทางของแล้วก็คงจะหาไม่เจอเช่นเดียวกัน เขาลูบหน้าตัวเอง ไม่พูดสิ่งใด

“ถ้าหากหนังสือทำเนียบบรรพชนอยู่ที่นี่จริงๆ เช่นนั้นก็แสดงว่าที่นี่มีช่องลับ” หลานเยาเยาวิเคราะห์

ตอนนี้สาเหตุที่หาหนังสือทำเนียบบรรพชนไม่พบก็มีความเป็นไปได้เพียงสองประการเท่านั้นก็คือถ้าเกิดเจี่ยนหมิงพูดเท็จ หรือภายในห้องนี้มีช่องลับอยู่ แต่นางคิดว่าอย่างสุดท้ายน่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด

“ช่องลับ?”