ตอนที่ 247 หนิงเซ่าชิงพบปะสหาย ซูชีสอนวิชากระบี่ (1)
เพียงมองแวบเดียว ก็รู้ว่าทั้งสองมีพรสวรรค์ที่โดดเด่น
“พี่หลู เชิญ…”
ชายที่สวมใส่ชุดสีน้ำเงินเข้มถือหมากรุกสีขาว คิดอยู่ครู่หนึ่งก็โยนหมากลงไปในตะกร้า พลางยิ้มเบาๆ “พี่หนิงหมากตัวนี้สุดยอดมาก เจิ้งหยางพ่ายแพ้ ข้าเลื่อมใสท่านจริงๆ มาดื่มกันอีกสักจอก”
พูดจบ ก็ยกถ้วยขึ้นมา รินชาให้หนิงเซ่าขิงซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับกระดานหมากรุก ดื่มจนไม่เหลือ
หนิงเซ่าชิงยิ้มเล็กน้อย แล้วก็ยกแก้วชาที่ว่างเปล่าขึ้นมา
ท่าทางของสองคนนี้ เหมือนคนกำลังดื่มชาเสียที่ไหน เหมือนกำลังดื่มสุราเสียมากกว่า
หลูเจิ้งหยางวางจอกชาลง ยืดศีรษะขึ้นเล็กน้อย เหมือนกำลังลิ้มรสชาอยู่ แต่ปากกลับพูดว่า “ดื่มสุราสุขสำราญใจมากกว่า”
หนิงเซ่าชิงหัวเราะดังลั่น “เอาสุรามา วันนี้ข้าจะดื่มสุรากับพี่หลูไม่เมาไม่กลับ” ครึ่งประโยคแรกดูเหมือนว่าจะพูดกับคนที่ยืนอยู่นอกห้อง ส่วนครึ่งหลังย่อมต้องพูดกับคนที่อยู่เบื้องหน้าอยู่แล้ว
บุรุษในชุดสีน้ำเงินที่ท่าทางไม่ธรรมดาก็คือสหายที่สนิทที่สุดของหนิงเซ่าชิง…คุณชายหลูเจิ้งหยาง
คนที่อยู่ด้านนอกห้องนำสุราเข้ามารวดเร็วมาก ทั้งสองคนเป็นสหายที่ไม่ได้พบเจอกันมานาน พอนำสุรามาแล้วก็ไม่มีใครพูดอะไรมาก เพียงแค่รินสุราชนจอกแล้วดื่มกัน
ทุกความเสียใจ ทุกความเจ็บปวด ทุกๆ อย่าง…ล้วนเอาไปลงที่สุรา!
ไหสุราว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง หนิงเซ่าชิงก็มองดูหลูเจิ้งหยางที่กำลังดื่มอย่างหนัก จู่ๆ ก็นึกถึงฉากที่พวกเขาได้พบกันครั้งแรก
เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อหกปีที่แล้ว…
สุดยอดตระกูลขุนนางเหตุใดถึงได้มีสถานะที่สูงส่งจนทำให้ฝ่าบาทรู้สึกกลัว เพราะได้ร่วมต่อสู้กับไคจูฮ่องเต้พระองค์ก่อนจนได้ชัยชนะและได้รับการแต่งตั้ง และก็เพราะพวกเขายังมีที่ดินศักดินา มีแซ่ที่มีเกียรติยศเป็นของตัวเอง
แม้ว่าที่ดินศักดินาเหล่านั้นจะไม่ได้ดีอะไรนัก และอยู่ห่างจากเมืองหลวงมากด้วย ที่ดินศักดินาของตระกูลหนิงยิ่งไกลเข้าไปใหญ่ อีกทั้งยังเป็นที่รกร้าง แต่ที่ดินศักดินาก็คือที่ดินศักดินา มันคือสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงสถานะว่าจะเจริญรุ่งเรือง หรือถดถอย
ปีนั้นเขาอายุได้สิบห้า ท่านพ่อเห็นว่าเขาจบการฝึกฝนจากอาจารย์แล้ว คิดว่าเขาน่าจะออกไปหาประสบการณ์สักหน่อย จึงได้ส่งเขาไปยังที่ดินศักดินา รับหน้าที่ดูแลกองกำลังลับ ในขณะเดียวกันก็จะได้ขจัดความไม่สงบทุกอย่างในที่ดินศักดินาด้วย
ที่ดินศักดินาทั้งคดเคี้ยวทั้งห่างไกล เป็นเวลานานแล้วที่ไม่มีเจ้านายมาเฝ้าดู ทำให้คนเกิดความไม่ซื่อสัตย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมหัวหน้าตระกูลทุกรุ่นก่อนจะรับช่วง จะต้องผ่านด่านการไปจัดการดูแลพื้นที่ในปกครองให้เป็นระเบียบเสียก่อน ต้องรับหน้าที่ดูแลกองกำลังลับ ในขณะเดียวกันก็มีอำนาจสามารถล้างไพ่ใหม่ได้
หนิงเซ่าชิงถ่อมตัวกับคนอื่นมาโดยตลอด ไม่บอกคนอื่นเรื่องสถานะของตนเอง กระทำการสิ่งใดก็จะสวมใส่หน้ากากทอง และก็คือหนึ่งในเหตุผลที่ว่าทำไมถึงมีคนเห็นใบหน้าของเขาน้อยนัก เขาที่เพิ่งจะออกมาหาประสบการณ์ เป็นวัยที่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองมากที่สุด องครักษ์สักคนก็ไม่ได้พามาด้วย แน่นอนว่าอิ่งซาคือข้อยกเว้น เดิมเขาก็เป็นเงาของหนิงเซ่าชิงอยู่แล้ว
ครั้งแรกที่พบกับหลูเจิ้งหยาง ก็คือตอนที่หนิงเซ่าชิงเดินทางไปถล่มค่ายโจรชั่วที่คิดจะสร้างกองทัพ เขาขจัดคนนับร้อยด้วยกระบี่เดียว ภายใต้กระบี่นี้ไม่มีโจรที่รอดชีวิตเหลืออยู่เลย ขณะที่เขากำลังภูมิใจในตนเองอยู่ หลูเจิ้งหยางก็ปรากฏตัวมาพร้อมกับกระบี่ที่มีรูปร่างและความสง่างามไม่เหมือนของเขาเลยสักนิด
หลูเจิ้งหยางทำราวกับว่าเขามองไม่เห็นศพและคราบเลือดในหมู่บ้าน ยั่วยุขึ้นอย่างไร้ยางอาย “อะไรกัน เจ้าคิดว่าจัดการโจรที่ไร้ค่าพวกนี้ได้ก็คืออันดับหนึ่งในใต้หล้าแล้วหรือ ทำเป็นสวมใส่หน้ากาก ซ่อนหัวแต่หางโผล่ ไม่ใช่วีรบุรุษ!”
ที่หนิงเซ่าชิงใช้คือกระบี่อ่อน ที่หลูเจิ้งหยางใช้คือกระบี่แข็ง ดั่งคำที่ว่าคนอ่อนแอก็เอาชนะคนที่แข็งแกร่งได้ พอหัวหน้าโจรออกไป พวกลูกน้องก็ฝีมือแย่เกินไป เขาต่อสู้อย่างหนัก พวกโจรก็ทรุดล้มลงไปจนหมด
หลูเจิ้งหยางแต่งกายสง่างาม ท่าทางดั่งสายรุ้ง ไม่ใช่โจรในพื้นที่อย่างแน่นอน พอดีเลยเขาจะได้ลองกระบี่มายาหยกของเขาว่ามีพลังมากเพียงใด ดังนั้นจึงชี้กระบี่ออกไป “หากคับข้องใจ ก็ลองสู้กันดูสักตั้ง หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็ย่อมจะเห็นความจริง”
“อยากต่อสู้? ย่อมได้ ลงมือเถอะ” คำพูดที่เปล่งออกมาทรงพลังนัก หลูเจิ้งหยางชักกระบี่ออกจากฝัก เขาถือกระบี่ไว้ในมือ สายตาเฉียบคม การทรงตัวมั่นคง
กระบี่ที่กระทบแสงตะวันสะท้อนมาบนร่างของเขา ปกคลุมชุดสีน้ำเงินของเขาด้วยประกายแสงระยิบระยับ เพียงชั่วพริบตาเดียวเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ความสง่างามทั้งหมดได้เปลี่ยนไปเป็นความเคร่งขรึม
ทันทีที่พลังแผ่ออกมา เขาก็รู้ทันทีว่าได้พบกับคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยากแล้ว
หนิงเซ่าชิงเอาชนะความแข็งแกร่งด้วยความนิ่มนวล ส่วนหลูเจิ้งหยางก็เอาชนะความนิ่มนวลด้วยความแข็งแกร่ง กระบี่ของเขาพุ่งไปอย่างรวดเร็วว่องไว แต่หลูเจิ้งหยางกลับปล่อยผ่านแล้วหยุดมันไว้ การก้าวเท้าลวงตาของเขา หลูเจิ้งหยางตามติดเขาราวกับเงา
ทั้งสองต่อสู้กันสามร้อยกระบวนท่า พัวพันกันไปมา สู้จนถึงที่สุดแล้ว เหมือนเพชรตัดเพชร จนทั้งสองต่างก็เห็นใจกัน
ต่อสู้กันไม่จบ ทั้งสองก็ต่างยิ้มให้กัน และเก็บกระบี่ที่อยู่ในมือ ลู่เจิ้งหยางนอนอยู่ตรงนั้นแล้วหยิบไหสุราออกมา ความเคร่งขรึมเมื่อครู่นี้ล้วนสลายหายหมดแล้ว ตอนนี้ไม่มีการป้องกันใดๆ ต่างฝ่ายต่างทำตัวสบายๆ ไม่ได้ต่อสู้อย่างไร้กังวลและสนุกเช่นนี้มานานแล้ว “มา ดื่มสุรากัน!”
เดิมหนิงเซ่าชิงเป็นคนที่รักความสะอาด แต่ความสบายๆ ของเขา จึงได้นั่งลงที่พื้นเช่นกัน คนหนึ่งสบายๆ มีอิสระ อีกคนหนึ่งอ่อนโยนดั่งสุภาพบุรุษ ทว่าทั้งสองคนกลับมาต่อสู้กันอย่างสนุกสนานและเปิดใจคุยกันได้
สุราไหนั้นรสชาติแย่มาก หนิงเซ่าชิงคิดไม่ตกว่าทำไมสุราที่คุณชายหลูเจิ้งหยางผู้นี้พกติดตัวมาถึงรสชาติแย่เช่นนี้ แต่เขากลับดื่มได้เสียมากมาย
เขาไม่ได้ถามหลูเจิ้งหยางว่าเหตุใดถึงไปปรากฏตัวอยู่ที่นั่น หลูเจิ้งหยางเองก็ไม่ได้บอก แต่ว่าหลังจากที่เขาดื่มสุราหมด ก็ถอดหน้ากากออก บอกหลูเจิ้งหยางอย่างจริงจรัง “ข้าคือคุณชายอันดับหนึ่งหนิงเซ่าชิง จากตระกูลหนิงในเมืองหลวง”
หลูเจิ้งหยางเองย่อมไม่ใช่คนโง่เขลา ที่นี่คือที่ดินศักดินาของตระกูลหนิง บนที่รกร้างผืนนี้ ไม่มีใครไม่รู้จักคุณชายอันดับหนึ่งแห่งตระกูลที่อยู่ในเมืองหลวงอย่างเขา
หนิงเซ่าชิงรู้ผลลัพธ์ของการเปิดเผยสถานะจริงกับหลูเจิ้งหยาง และได้เตรียมใจไว้ดีแล้ว คนผู้นี้อาจยืนขึ้นทันทีด้วยความเกรงกลัวและเคารพ กล่าวคำพูดประจบประแจง หรือไม่ก็เผชิญหน้าด้วยพลังกระบี่ที่แท้จริงในทันที เพราะเกิดจากความบาดหมางระหว่างตระกูลและผลประโยชน์
ไม่คาดคิดเลยว่าหลูเจิ้งหยางจะดื่มสุราต่อไป สีหน้าไม่เปลี่ยน ตอนที่หนิงเซ่าชิงพูดจบ เขากลับไม่ตกตะลึงแม้แต่น้อย เขาตบหน้าอกพลางกล่าวว่า “ข้าคือคนป่าที่อยู่ในชนบท หลูเจิ้งหยาง”
เมื่อแนะนำตัวเสร็จเขาก็กลับมาจริงจังอีกครั้ง จ้องมองหนิงเซ่าชิง จากนั้นก็หัวเราะขำขัน “ดูเจ้าแล้ว หน้าตาก็ไม่ดีกว่าข้าสักเท่าไหร่ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกใครฉุดไปเป็นลูกเขย ปิดหน้าปิดตาไปเถอะ”
ตระกูลที่ทำให้คนหน้าเปลี่ยนสีได้อย่างตระกูลหนิง ในสายตาของหลู่เจิ้งหยาง ดูเหมือนว่าตระกูลหนิงในเมืองหลวงจะไม่ได้มีความสำคัญอะไร เป็นเพียงแซ่ที่เหมือนๆ กับคนในชนบทของเขา คุณชายอันดับหนึ่งอย่างหนิงเซ่าชิงในสายตาของเขา เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่สามารถหยอกล้อด้วยได้
อารมณ์ของเขาสดใสขึ้นในทันที แล้วก็หัวเราะออกมาเสียยกใหญ่ ใครจะคิดว่าหลังเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดโจรกลับมาจบลงที่การดื่มสุราอย่างสำราญใจ
ตั้งแต่เล็กก็ไม่มีสหาย โดดเดี่ยวมาตลอด ทุกๆ คนให้ความเคารพเขา อยู่ห่างเขา เขาไม่เคยรู้ว่ามิตรภาพคืออะไร…ดังนั้นพวกเขาจึงร่วมมือกันสังหารผู้ที่ไม่เชื่อฟังจนสิ้นซาก ท่านพ่อของเขาเคยพูดไว้ว่าเวลาที่ใครมีปัญหาให้ลงโทษหนัก เพื่อป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู จะปกครองแผ่นดินป่าเถื่อนเหล่านี้ใช้ได้แต่กลยุทธ์ที่เหี้ยมโหดเท่านั้น
แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้มันไม่ได้ง่ายดายเหมือนการสะกดคำ ทุกวันล้วนโหดร้าย…ไม่ใช่ทุกคนที่เกิดมาจะสมบูรณ์แบบ การฝึกฝนตนเองคือการออกไปสั่งสมประสบการณ์ สถานการณ์ที่พานพบคือสิ่งที่จะทำให้เขาเติบโตขึ้นทีละขั้น
ตอนนั้นเองที่เขาตระหนักได้ว่าการเข้าไปในถ้ำเสือโดยลำพังมันอันตรายเพียงใด ยังดีที่มีหลูเจิ้งหยางอยู่เคียงข้างทุกวัน เอาชนะศัตรูด้วยกัน หลั่งเลือดด้วยกันกับเขา เติบโตไปด้วยกันกับเขา และบุกน้ำลุยไฟเป็นเพื่อนเขา เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางด้านความสามารถทางการทหาร
และแล้วความวุ่นวายทุกอย่างจบลง ตอนที่เขาเปิดเผยสถานะตนเองต่อทุกคน ทุกคนล้วนเลื่อมใสในตัวเขา พื้นที่รกร้างก็กลับมาอยู่ในมือของตระกูลหนิงอีกครั้ง