ตอนที่ 248 หนิงเซ่าชิงพบปะสหาย ซูชีสอนวิชากระบี่ (2)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 248 หนิงเซ่าชิงพบปะสหาย ซูชีสอนวิชากระบี่ (2)

แต่ใครเล่าจะรู้ ทั้งสองแทบหมดสิ้นเรี่ยวแรง มีบาดแผลเต็มตัว แม้นจะเดินเหินให้มั่นคงยังยาก…

ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ไร้กังวลและมีความสุขมากในชีวิตของเขา เป็นครั้งแรกที่มีคนที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘สหายสนิท’ เช่นนี้ เหงาเมื่อไรก็สามารถดื่มสุรา ประลองฝีมือกันได้ พูดคุยและหัวเราะจริงใจต่อกัน เวลาเป็นทุกข์ก็สามารถระบายความในใจออกมาได้…

และก็เป็นเพราะประสบการณ์ในช่วงเวลานี้ เมื่อเขากลับไปเมืองหลวงอีกครั้ง เขาก็ได้การยินยอมจากผู้อาวุโสในตระกูลให้เป็นหัวหน้าตระกูลคนต่อไป

เรื่องจบแล้ว เขาก็ไม่ได้เชิญให้หลูเจิ้งหยางมาเมืองหลวงเพื่อรับใช้ตระกูลหนิง เพราะว่าเขารู้ดีว่าหลูเจิ้งหยางผิวเผินอาจมองอะไรง่ายดายไปหมด แต่ภายในใจกลับกลับเป็นคนทะนงตนแลภูมิใจในตนเอง

หลูเจิ้งหยางแม้นว่าจะไม่ได้กลับมาเมืองหลวงด้วย แต่พวกเขาทั้งสองติดต่อกันมาโดยตลอด ครั้งนี้ที่โดนพิษ แม้ว่าตัวยานำพาจะไม่ใช่หลูเจิ้งหยางที่หามา แต่ที่หมอประหลาดรักษาให้เขาได้นั้น ก็เพราะมีหลูเจิ้งหยางออกหน้าให้เช่นกัน

ในช่วงวิกฤติเช่นนี้ ผู้ดูแคลนการเมืองมาโดยตลอดอย่างหลูเจิ้งหยางกลับเข้าเมืองหลวงมาเพื่อช่วยเขา

หลูเจิ้งหยางบอกว่าตนเองเป็นธรรมดาในหมู่บ้านชนบท แต่ท่าทางดูไม่ใช่คนธรรมดา อย่างไรก็ตามพื้นเพของเขาก็ไม่ได้สูงจริงๆ เป็นเพียงบุตรชายของพ่อค้าแซ่หลูธรรมดาๆ คนหนึ่งที่อยู่ทางทิศตะวันตก

แม้ว่าตระกูลหลูจะร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้มีอำนาจมากมายนัก บรรพบุรุษของเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเมืองหลวงเลย

ตอนเด็กๆ หลูเจิ้งหยางเป็นที่โปรดปรานของผู้หลักผู้ใหญ่ เขาฉลาดเฉลียวมีพรสวรรค์ ทะนงตนภาคภูมิใจในตนเอง อีกทั้งยังสง่าผ่าเผย อย่างไรก็ตามนิสัยกลับกล้าหาญ ชอบคบหาสหายมากมาย ตอนที่อยู่ดินแดนตะวันตก เขาจึงมีอำนาจบ้างเล็กน้อยแล้ว

หนิงเซ่าชิงเป็นคนที่ใกล้ชิดกับเขาขนาดนี้ ถึงแม้นจะไม่ไปตรวจสอบรายละเอียดเอง แต่ก็ย่อมจะมีคนไปตรวจสอบอยู่แล้ว ข่าวลือไม่ต้องให้เขาไปสืบก็ล้วนมาถึงหูเขาเอง ข้อมูลที่เกี่ยวข้องก็จะมาวางไว้บนโต๊ะของเขาอย่างเงียบๆ

“ตอนนี้สถานการณ์ละเอียดอ่อน พี่หนิงวางแผนจะฝ่าฟันความยากลำบากนี้ไปได้อย่างไร” หลูเจิ้งหยางดื่มไปพลางแล้วก็เล่นจอกสุราที่อยู่ในมือไปพลาง ท่าทางนี้ขัดกับบุคลิกคนดื่มหนักอย่างเขานัก แสดงให้เห็นว่าคนรักการดื่มสุราเช่นเขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก

“ศัตรูอยู่ในที่มืด ข้าอยู่ในที่แจ้ง ต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่้เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา” คำพูดของหนิงเซ่าชิงฟังดูมีเหตุผล

ท่าท่างสบายๆ เมื่อครู่นี้ของหลูเจิ้งหยางเปลี่ยนเป็นจริงจัง “แม่ลูกตระกูลเซี่ยก้าวขึ้นไปทีละขั้นๆ ไม่เว้นวัน หากพี่หนิงไม่สะดวก เจิ้งหยางจะออกหน้าให้ท่านเอง แน่นอนว่าจะทำให้แม่ลูกสองคนนั่นคลานมากราบพี่หนิงเอง”

เมื่อเทียบกับสีหน้าที่ไม่ปกติของหลูเจิ้งหยางแล้ว สีหน้าของหนิงเซ่าชิงยังคงดูเฉยเมย “สองคนนั้นเป็นเพียงตัวประกอบเล็กๆ เท่านั้น จะไปกล้ารบกวนพี่หลูได้อย่างไหร่”

ไม่ว่าจะรับความช่วยเหลือจากหลูเจิ้งหยางหรือไม่ แต่ความปรารถนาดีนี้เขาจะรับเอาไว้

หลูเจิ้งหยางไม่ได้แสดงความคิดเห็น “ก็ท่านขี้สงสารเกินไป”

หนิงเซ่าชิงเงยหน้าขึ้นมองหลูเจิ้งหยาง ใบหน้าที่น้อยครั้งนักจะจริงจัง “ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ เซ่าชิงไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาแล้ว ก่อนหน้านี้เห็นแก่ความสัมพันธ์ ไม่อาจตัดใจลงมือ ในเมื่อตอนนี้ข้าตัดสินใจกลับเมืองหลวงแล้ว สายสัมพันธ์นั่นก็ได้ตัดไปนานแล้ว”

“อืม!” หลูเจิ้งหยางได้ยินเขาพูดดังนั้น เขาก็เอนหลังพิงพนักพิกเก้าอี้ “ข้าอยากฟังรายละเอียด!”

หากเป็นคนอื่น มักจะทำให้คนอื่นอยากฝ่าฝืนกฎ ทว่าหลูเจิ้งหยางย่อมจะทำทุกอย่างได้อย่างเป็นธรรมชาติ ท่าทางสบายๆ นั้น ก็ยิ่งทำให้ดูอิสระ

หนิงเซ่าชิงหยิบหมากรุกสีดำออกมาเล่นในฝ่ามือ “โอกาสยังมาไม่ถึง ให้เซ่าชิงได้แสดงฝีมือบ้าง พี่หลูอย่าเพิ่งลงมือ เพียงยืนดูเรื่องสนุกอยู่ด้านข้างก็พอ หนิงเซ่าชิงจะต้องหาตัวผู้กระทำผิดที่อยู่เบื้องหลังได้อย่างแน่นอน”

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าของหลูเจิ้งหยางที่มีอยู่เล็กน้อยได้หยุดลงแต่กลับผุดรอยยิ้มสบายๆ ดั่งดอกไม้เบ่งบานขึ้นมาแทน “เช่นนี้ก็ดี เจิ้งหยางรู้นานแล้วว่าพี่หนิงไม่ใช่คนคิดไม่ได้ เมื่อก่อนเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่พวกเขาเป็นแม่และเป็นน้อง จึงได้ปล่อยผ่านมาจนพวกเขากำเริบเสิบสาน กล้าลงมือทำร้ายท่าน…” พูดมาถึงตรงนี้หัวข้อการสนทนาก็เปลี่ยนไปอีก “คนที่อยู่เบื้องหลังผู้นั้น ไม่ทราบว่าในใจของพี่หนิงหมายตาใครเอาไว้แล้วหรือไม่ ต้องการความช่วยเหลือจากเจิ้งหยางไหม”

หนิงเซาชิงส่ายหัวปฏิเสธความหวังดีของเจิ้งหยาง ยิ้มแปลกๆ พลางกล่าว “ยังไม่มี แต่ว่าได้โยนแหออกไปแล้ว เชื่อว่าคนผู้นั้นจะต้องติดแหในไม่ช้า”

หลูเจิ้งหยางยกจอกชาขึ้นมาอีกครั้ง “เช่นนั้นเจิ้งหยางดื่มยินดีให้กับพี่หนิงก่อนล่วงหน้าหนึ่งจอก ขอให้พี่หนิงกลับไปที่จวนได้โดยเร็ว สามารถยึดอำนาจกลับคืนมาและขจัดภัยพิบัติได้”

หนิงเซ่าชิงยิ้มแต่ไม่กล่าวอะไร เพียงแต่ยกจอกสุรายินดีเท่านั้น

ทั้งสองคนชนจอกสุราเปล่าๆ กัน ราวกับว่าพวกเขากำลังดื่มสุรากันจริงๆ เทใส่ปากพร้อมๆ กัน แล้วหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุข

มีสหายรู้ใจเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว!

……

ฟ้าเพิ่งจะสว่างเล็กน้อย ซูชีทีใส่ชุดรัดรูปก็อยู่ในสนามฝึกยุทธ์ของจวนกั๋วกงแล้ว

เจิ้นกั๋วกงมีอำนาจทางการทหาร มีทักษะการต่อสู้ที่ไร้เทียมทาน สนามฝึกยุทธ์ในจวนทั้งใหญ่ทั้งว่างเปล่า ซ่อนตัวอยู่ในป่าไผ่ ถูกล้อมรอบไปด้วยรั้วไผ่ อาวุธทุกชนิดวางไว้อยู่ที่ขอบสนาม พร้อมใช้งาน

ซูชียืนอยู่เฉยๆ คนเดียวแบบนี้มันก็น่าเบื่อ เขากวาดตามองดูเล็กน้อย แล้วก็หยิบกระบี่มาเล่มหนึ่ง แล้วก็พุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า

ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยมาถึงก็เห็นร่างสีม่วงระบำกระบี่อยู่ขึ้นไปบนกลางอากาศ จิตวิญญาณดั่งเทพ การไหลเวียนของลมปราณดั่งสายรุ้ง พลังกระบี่รอบๆ กายเผยให้เห็นถึงความสง่างาม ต้นไม้โดยรอบพลิ้วไสวตามสายลม ใบไม้ร่วงหล่นมาจากปลายกระบี่ของเขา กระจัดกระจายออกไปรอบทิศทาง

มั่วเชียนเสวี่ยเชิญซูชีมาสอนวิชากระบี่ให้นาง ผ่านเรื่องเมื่อวานมา นางคิดใคร่ครวญดีแล้วว่าความสามารถขององครักษ์ในจวนไม่ได้สูงอย่างที่นางจินตนาการไว้

ทักษะการต่อสู้ของคนเหล่านั้นยังเทียบไม่ได้กับอาซานและอาอู่ที่ใช้พลังเพียงสามส่วนเลย เป็นเพียงผู้ปกป้องดูแลจวนธรรมดาๆ เท่านั้น เพียงแต่มีภูมิหลังเป็นทหารและจงรักภักดีนัก แม้นจะเคยร่วมสงครามแต่ตอนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนคนเฝ้าเวรยามธรรมดาๆ เท่านั้น ไม่ได้มีความน่าเกรงขามแต่อย่างใด

มั่วเชียนเสวี่ยให้ซูชีมาสอนวิชากระบี่ให้แบบนี้ ย่อมจะมีเหตุผลอยู่แล้ว

นางจะเรียนวิชากระบี่กับหนิงเซ่าชิงก็ได้ แต่ว่าเขากำลังยุ่ง ยิ่งไปกว่านั้นนางยังไม่อยากพึ่งพาเขาทุกเรื่อง นางจะเรียนกับมั่วเหนียง ชูอี สืออู่ หรืออาซานอาอู่ก็ได้ แต่ว่านางคือเจ้านาย พวกเขาก็จะไม่กล้าสอนสั่งอะไรจากนาง ทั้งยังไม่กล้าแก้ไขอะไรให้นางมากอีกด้วย แล้วจะเรียนให้ดีได้อย่างไร ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ…วิชากระบี่ของพวกเขาไม่ใช่อันดับหนึ่ง

ตอนนี้นางมีพลังภายในแล้ว สิ่งที่อยากเรียนก็คือใช้ลมปราณควบคุมกระบี่ เป็นวิชาการต่อสู้ขั้นสูง ไม่ใช่การฟันดาบแทงกระบี่แบบที่พวกนางทำกัน ซูชีไม่เหมือนกัน วันนั้นนางเห็นด้วยตาของตัวเองตอนเขากับหนิงเซ่าชิงปะทะกัน ในสถานการณ์ตอนนั้น แม้ว่าเขาจะล้ม แต่ก็ยังป้องกันอ่างแช่น้ำไว้ได้ ไม่เผยความตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่ายังมีพลังส่วนเกินที่ยังไม่ได้ปล่อยออกมาอยู่

หากเขาต้องเผชิญหน้ากับหนิงเซ่าชิงขึ้นมาจริงๆ ใครจะแพ้หรือชนะก็ยากจะบอกได้

แม้ว่าหนิงเซ่าชิงจะห้ามนางเรื่องที่เกี่ยวกับซูชี แต่นั่นเป็นเพียงมุมมองที่คับแคบ

ระหว่างนางกับซูชีมีเพียงมิตรภาพแบบเพื่อนสาวเท่านั้น ไม่มีอะไรในกอไผ่ นางอยากใช้โอกาสนี้จัดการนิสัยแย่ๆ ของหนิงเซ่าชิงด้วย… หากเขาไม่ชอบให้นางพูดคุยกับบุรุษ เช่นนั้นนางก็คุยกับบุรุษไม่ได้ตลอดไปใช่หรือไม่ จากนั้นก็ห้ามพบหน้าบุรุษที่อยู่ด้านนอก หากเรื่องราวดำเนินไปเช่นนั้น ระดับต่อไปคือให้นางปฏิบัติตามหลักสามเชื่อฟังสี่จรรยา ไม่ให้ก้าวออกจากห้อง นางก็ต้องเชื่อฟังเช่นนั้นหรือ!

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะยังคงเป็นมั่วเชียนเสวี่ยที่มาจากยุคสมัยใหม่อีกหรือ! นางยังคงเป็นที่เขารักคนนั้นหรือเปล่า! ถึงเวลานั้นนางจะมีความสามารถปกป้องตนเองหรือไม่! ยังจะมีพื้นที่ให้ออกเสียงเรียกร้องอีกหรือไม่!

ไม่มีทาง หากถึงขั้นนั้นจริงๆ นางก็เป็นเพียงเมล็ดพันธุ์ที่ได้แต่เฝ้ามองเขาและรับการดูแลจากเขาตลอดไป แล้วนางจะเติบโตเป็นป่าใหญ่ที่คอยปกป้องเขาจากลมฝน อยู่ในระดับเดียวกับเขา ชมทิวทัศน์ ดูการใช้ชีวิตของผู้คนได้อย่างไร

แม้ว่าเขาเคยสาบานว่าชั่วชีวิตนี้จะรักเพียงนางคนเดียว แต่นางคือคนจากยุคปัจจุบัน ไม่ใช่คนยุคโบราณ ไม่เชื่อในคำสาบานอะไรพวกนี้ ของอย่างคำสาบาน หากคนสาบานจริงจังถือว่าเป็นคำสัตย์ แต่หากคนฟังจริงจังขึ้นมา…ถือเป็นคำลวงทันที!