ตอนที่ 249 หนิงเซ่าชิงพบปะสหาย ซูชีสอนวิชากระบี่ (3)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 249 หนิงเซ่าชิงพบปะสหาย ซูชีสอนวิชากระบี่ (3)

ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อในความเป็นคนของเขา แต่นางไม่เชื่อในโลกที่โหดร้ายนี้ ธรรมเนียมหนึ่งสามีหลายภรรยา หากนางไม่มีอำนาจ แม้เขาไม่อยากมีอนุภรรยา คาดว่าคงมีคนมากมายคิดหาวิธียัดเยียดสตรีให้เขา

ทว่า หากนางทำให้ตนก้าวไปด้านหน้าอย่างห้าวหาญขึ้น เช่นนี้แม้ผู้อื่นหมายจะยัดเยียดสตรีเข้ามา ก็ต้องดูสีหน้าของนาง พิจารณาช่างน้ำหนักตน

ในยุคปัจจุบันอัตราการหย่าร้างสูงมาก ทว่าสามีภรรยาในชนบทโดยทั่วไปล้วนรักกันจนแก่ชรา เพราะเหตุใดล่ะ เคยมีนักวิเจยทำการวิเคราะห์ เพียงเพราะว่าชีวิตของคนในเมืองเดินหน้าด้วยความรวดเร็ว คนหนึ่งเดินหน้าไปไกล อีกคนยังอยู่ที่เดิม ทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ในระยะเดียวกัน ไม่มีบทสนทนาเดียวกัน มักสื่อสารกันไม่เข้าใจ มากไปกว่านั้นคือมุมมองความคิดเปลี่ยนผันกลายเป็นมองจากบนลงล่าง ดังนั้นจึงทำได้เพียงเลือกที่จะหย่าร้าง

ทางด้านสามีภรรยาในชนบทสาเหตุที่พวกเขารักกันยาวนาน เพราะโดยทั่วไปทั้งสองฝ่ายยืนอยู่ในระดับเดียวกัน ปัญหาที่นึกถึงก็เป็นปัญหาเดียวกัน ไม่ได้มีอะไรให้คิดมากเหมือนกัน อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง อย่างฉับพลันนางเห็นคนเดินเข้ามา ซูชีพลิกหมุนกระบี่วาโย พุ่งตัวมาด้วยความรวดเร็วและดุดัน

มั่วเชียนเสวี่ยหยุดนิ่ง ปลายกระบี่หยุดลงห่างจากนางสามไม้บรรทัด นางมาเพียงคนเดียว อยากจะฝึกการต่อสู้ให้ได้ระดับหนึ่ง แน่นอนว่าย่อมไม่อาจให้พวกมั่วเหนียงเห็น

อีกทั้ง นางพอจะรู้กฎในยุทธภพอยู่บ้าง ซูชีเห็นแก่มิตรภาพ รับปากสอนวิชากระบี่ให้นาง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขารับปากจะสอนวิชากระบี่ให้สาวใช้ของนาง

ซูชีชี้กระบี่ไปที่คอมั่วเชียนเสวี่ย จับกระบี่แน่นไม่ได้ชักกลับ แต่กวัดแกว่งกระบี่อยู่ตรงหน้านาง หัวเราะร่า “เจ้าช่วยมีปฏิกิริยาเหมือนสตรีทั่วไปเล็กน้อยได้หรือไม่”

มั่วเชียนเสวี่ยยื่นมือขึ้นผลักปลายกระบี่ คลี่ยิ้ม แล้วเอ่ยถาม “เจ้ามั่นใจหรือว่าอยากให้ข้ามีปฏิกิริยาเฉกเช่นสตรีทั่วไป” กล่าวจบ มั่วเชียนเสวี่ยทำท่าซุกซน อ้าปากจะกรีดร้อง

ซูชีรีบดึงกระบี่กลับ ลูบจมูก พูดด้วยความหงุดหงิด “ช่างเถอะ” หากนางร้องตะโกนเสียงดังขึ้นมา เกรงว่าผู้อื่นจะคิดว่าเขาเป็นพวกมากตัณหาเสียแล้ว!

ขอเพียงนางยิ้มก็พอแล้ว นางไม่เคยลงไพ่ตามหลักเหตุผลทั่วไป เขาไม่คาดหวังว่านางจะเป็นเหมือนผู้อื่น สตรีอื่นที่ไม่มีความรู้ด้านการต่อสู้ เมื่อเห็นกระบี่พุ่งเข้าหา บ้างก็ตกใจจนทำตัวไม่ถูก บ้างก็โมโหเกรี้ยวกราด ทั้งยังมีคนที่แสร้งทำเป็นอ่อนแอล้มลงบนพื้น รอให้เขาช่วยพยุงตัวขึ้น

แต่ว่า หากนางเป็นเหมือนหนึ่งในสตรีที่กล่าวไปนั้น เช่นนั้นก็ไม่ควรค่าให้เขาเย้าหยอกให้นางยิ้ม…เขาปรารถนาเพียงได้เห็นนางยิ้มบ่อยๆ ก็พอแล้ว

มั่วเชียนเสวี่ยเห็นเขาทำสีหน้าย่ำแย่ นางเองก็รู้สึกว่าตนนิ่งงันจนเกินไปเช่นเดียวกัน ไม่ตกใจเหมือนที่กุลสตรีควรเป็น ไม่อาจบรรเทาความเหนื่อยของเด็กน้อยจอมซุกซนที่คอยสอนกระบี่ให้นางนานกว่าครึ่งค่อนวันได้

แต่ว่า เขาเป็นคนที่นางเชิญมาสอนวิชากระบี่ เขาจะจับกระบี่มาสังหารนางจริงๆ ได้อย่างไร มีเพียงคนไร้สมองเท่านั้นกระมังที่จะคิดเช่นนั้น อีกทั้งเมื่อครู่เขาไม่มีเจตนาสังหารแม้แต่น้อย เจ้าบ้านี่เพียงแค่อยากทำให้นางตกใจเท่านั้น

เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางจึงฝืนพูดปลอบ “แม้เจ้าไม่อาจทำให้ข้าตกใจ ก็ไม่เห็นต้องมีสีหน้าเช่นนี้กระมัง อย่างน้อยก็สอนวิชากระบี่แก่หญิงงาม เจ้าช่วยแสดงความเป็นมืออาชีพเล็กน้อย จะได้หรือไม่!”

ซูชีเห็นน้ำเสียงของมั่วเชียนเสวี่ยอ่อนโยนขึ้น ใบหน้าอบอุ่นทำการยืนยันอีกครั้ง “ตกลงกันแล้ว ข้าสอนวิชากระบี่ให้เจ้า เจ้าต้องยกเครื่องปรุงทั้งหมดที่ผลิตจากโรงงานเครื่องปรุงเซียนมั่วให้กับภัตตาคารภายใต้ชื่อของตระกูลซูหนึ่งปีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย” ความเป็นจริงเขาไม่ต้องการสิ่งใดทั้งนั้น แต่ว่าเขารู้จักนางดี หากเขาไม่ต้องการสิ่งใด กลับกลายเป็นว่านางจะรู้สึกระแวงแล้วจะไม่ยอมให้เขาสอนวิชากระบี่ให้

สำหรับนางแล้ว นี่เป็นเพียงการแลกเปลี่ยน แต่นางไม่รู้เลยว่าสำหรับเขา นี่เป็นความฝันที่เขาปรารถนามานาน

มั่วเชียนเสวี่ยชำเลืองมองเขาครู่หนึ่ง “วิญญูชน…”

นางยังไม่ทันพูดจบ ซูชีก็พูดต่อ “พูดแล้วไม่คืนคำ!”

เหตุการณ์ในตอนนี้คล้ายกับตอนนั้นมาก ตอนที่นางขายรายการอาหารของเขา ทั้งสองมองตากันครู่หนึ่งแล้วหัวเราะเสียงดัง เห็นชัดว่าต่างนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น

หลังจากหัวเราะเสียงดัง ซูชีกระเอมไอแล้วหยุดหัวเราะ พูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “บอกมา เจ้าอยากฝึกวิชากระบี่ใด”

มั่วเชียนเสวี่ยถาม “เจ้าเป็นวิชากระบี่ใดบ้าง”

ซูชีตอบ “วิชากระบี่หนึ่งชุด!”

มั่วเชียนเสวี่ยมองบน นางย่อมรู้อยู่แล้วว่าเป็นวิชากระบี่หนึ่งชุด “วิชากระบี่ใดหนึ่งชุด”

ซูชีเลิกคิ้วขึ้นแล้วตอบอย่างไม่รีบร้อน “วิชากระบี่นี้มีนามว่า ‘หนึ่งชุด’ ‘หนึ่งชุด’ คือชื่อ เป็นวิชากระบี่ที่ข้าเคยฝึกในอดีต”

มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกอับอายเล็กน้อย ภัตตาคารภายใต้ชื่อของตระกูลซูมีมากมาย หนึ่งปีต้องใช้ซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูไม่น้อย ไม่ทราบว่าเครื่องปรุงเหล่านั้นของนางแลกมาด้วยวิชากระบี่ที่ไม่มีแม้แต่ชื่อ นางรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ใช่คนจริงจัง เช่นนั้นไม่เรียนก็ช่างประไร สีหน้าของนางหม่นหมองลงทันที หมุนตัวหันหลังหมายจะเดินจากไป

ซูชีแตะเท้าเล็กน้อย ขวางตรงหน้านาง คลี่ยิ้มบางๆ “เจ้าอย่าดูแคลนวิชากระบี่นี้ หากฝึกจนเก่ง ประสานกับวิชาตัวเบา ย่อมป้องกันตัวได้สบาย”

ดูจากสีหน้าของเขาไม่เหมือนพูดโกหก สามารถป้องกันตัวได้ก็ดีเหมือนกัน ประเด็นสำคัญคือ นางอยากให้เขาสอนวิชาตัวเบาให้นาง ด้วยเหตุนี้นางจึงเลิกคิ้วขึ้นโดยแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ “เช่นนั้นเจ้าแสดงให้ข้าดูหนึ่งรอบ”

ซูชีไม่ตอบ แตะเท้าเล็กน้อย ตัวของเขาอยู่ตรงกลางลานฝึกยุทธ์ วิชากระบี่นี้งดงามยิ่งนัก ประสานกับย่างก้าวดั่งลมของซูชี คาดไม่ถึงว่าจะเป็นการพริ้วไหวที่ยากจะบรรยาย ดูแล้วคล้ายจะเป็นวิชากระบี่ที่เหมาะสำหรับสตรี มั่วเชียนเสวี่ยประทับใจขึ้นมาทันที

วิชากระบี่หนึ่งชุดมีทั้งหมดห้ากระบวนท่าได้แก่ ป้องตัว ฟาด ฟัน แทง และหลบ

มองดูแล้วง่ายและสวยงาม แต่ความเป็นจริงยามฝึกวิชานี้ กลับยากยิ่งนัก มั่วเชียนเสวี่ยใช้วิชาตัวเบาไม่เป็น จึงยากจะเลี่ยงไม่ให้งุ่มง่าม ยามฝึกจึงไม่คล่องแคล่ว

ทางด้านซูชีมีความอดทนสูงเขาสอนนางตั้งแต่วิชาตัวเบา คนหนึ่งสอนด้วยความเต็มใจ อีกคนหนึ่งเรียนรู้อย่างตั้งใจ ในร่างกายมั่วเชียนเสวี่ยมีกลุ่มก้อนพลังปราณอยู่แล้ว หลังจากผ่านการเรียนรู้ตลอดหนึ่งวัน แม้นางไม่อาจฝึกฝนวิชากระบี่ได้สำเร็จ แต่วิชาตัวเบาก็พอจะฝึกได้เล็กน้อย แม้สูดลมหายใจแล้วไม่อาจกระโดดขึ้นบนอากาศ แต่นางก็สามารถกระโดดข้ามรั้วในลานฝึกยุทธ์ที่มีขนาดสูงใกล้เคียงกับนางได้

กลุ่มก้อนพลังปราณในร่างกายของนาง เดิมทีมีขนาดเล็กมาก

แต่พูดไปแล้วก็ช่างน่าแปลกยิ่งนัก นางเพิ่งฝึกตามตำราได้เพียงสองวัน ทว่าพลังปราณกลับปะทุขึ้นมา แม้แต่มั่วเหนียงก็ตกใจมาก ผลการฝึกสองวันของนาง สามารถเทียบกับผลการฝึกสองปีของผู้อื่น

มั่วเชียนเสวี่ยกระโดดข้ามรั้วได้ นอกจากนางจะดีใจแล้ว อดไม่ได้ที่จะอุทานในใจว่าอันตรายยิ่งนัก!

หากไม่ใช่เพราะพลังปราณนี้ นางไม่มีวันกระโดดข้ามรั้วได้อย่างแน่นอน ด้วยความสามารถของนางแล้วเกรงว่าซูชีจะส่ายหน้าเดินหนี ด้านซูชีเมื่อเห็นเชียนเสวี่ยที่แค่กระโดดข้ามรั้วได้ดวงหน้าก็ฉายรอยยิ้ม เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกเสียง

มั่วเชียนเสวี่ยเห็นเขาหัวเราะเยาะตน แน่นอนว่าย่อมไม่พอใจ ดังนั้นนางจึงแตะเท้าแล้วกระโดดอีกครั้ง เตรียมที่จะกระโดดเตะเขา ระหว่างนางกับซูชี ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลมากมาย สำหรับนาง เขาเป็นสหายคนหนึ่ง เช่นเดียวกับเพื่อนในยุคปัจจุบัน

ทว่าคิดไม่ถึงตอนที่นางกระโดด กระโดดต่ำไปเล็กน้อย กระโปรงของนางติดอยู่ที่กิ่งไม้บนรั้ว ทักษะที่เพิ่งเรียนรู้เมื่อครู่ ไม่อาจปรับใช้ได้

ยากจะคิด มั่วเชียนเสวี่ยหลับตาลง รอเพียงล้มหน้าคะมำ…

ความเจ็บปวดที่รอจะพานพบไม่มา… เอ๊ะ! เหตุใดพื้นจึงนุ่มเช่นนี้ ทั้งยังอุ่นๆ? มั่วเชียนเสวี่ยลืมตาขึ้น สิ่งที่นางเห็นกลับเป็นดวงตาคู่สวยของซูชี นางตั้งตัวไม่ทันไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ทั้งๆ ที่ซูชียืนอยู่ตรงกลางลานฝึกยุทธ์ ไกลจากนางมาก เขาจะล้มได้ไกลขนาดนี้ในชั่วพริบตาได้อย่างไร ทั้งยังล้มอยู่เบื้องล่างนาง แน่นอนว่านางต้องมองซ้ายมองขวา…