ตอนที่ 252 ผมไม่ได้คิดแบบนั้นกับพี่สะใภ้ใหญ่
ตอนที่ 252 ผมไม่ได้คิดแบบนั้นกับพี่สะใภ้ใหญ่
หลังมื้อเย็น ผู้ใหญ่แต่ละคนต่างกลับเข้าห้อง แต่ด้วยความที่เฉินเจียซิ่งยังอารมณ์ไม่ดี เขาจึงอยากชวนเฉินเจียเหอมาดื่มด้วยกัน
เฉินเจียเหอหันไปมองหลินเซี่ย
เฉินเจียซิ่งเห็นแล้วก็หงุดหงิด “ทำไมพี่เอาแต่มองหล่อนล่ะ? ชีวิตของพี่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าผมหรอก เราทุกคนได้รับการปฏิบัติเหมือนกัน พี่เองก็ควรเลิกกับหล่อนซะ”
เฉินเจียซิ่งพูดอย่างเปิดเผย ในใจเขาสาปแช่งให้อีกฝ่ายหย่าร้างด้วยซ้ำ
สีหน้าของเฉินเจียเหอมืดมนลง ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นยืนราวกับกำลังตั้งท่าเตรียมต่อสู้
เฉินเจียซิ่งล่าถอยด้วยความกลัว เสตามองไปทางอื่น “ผม… ผมพูดอะไรผิดหรือ? พี่ไม่มีอิสระแม้แต่จะดื่มกับน้องชายเลยนี่ พวกพี่จำเป็นต้องตัวติดกันด้วยหรือไง? นี่พี่คงไม่ได้ตั้งใจจะแต่งงานกับแม่เสือสาวจริงๆ ใช่ไหม ทุกคนที่มาจากตระกูลเสิ่นก็คงเติบโตมามีนิสัยเหมือนกันหมดนั่นแหละ”
หลินเซี่ยจ้องเฉินเจียซิ่งและเตือนเขาว่า “ถ้ายังไม่หุบปากอีก เดี๋ยวฉันจะเป็นคนจัดการกับนายเอง”
ไม่แปลกที่เธอจะพูดแบบนี้ การเปรียบเทียบเธอกับเสิ่นเสี่ยวเหมยนั้นเหมือนเป็นการดูถูกกันเล็กน้อย
เพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอและเสิ่นเสี่ยวเหมยไม่เหมือนกัน หลินเซี่ยมองไปทางเฉินเจียเหอและพูดว่า “คุณอยู่ดื่มเป็นเพื่อนเขาเถอะ ฉันจะพาหู่จือขึ้นไปอ่านหนังสือนิทานก่อนนอนเอง”
เฉินเจียเหอไม่อยากดื่มกับเฉินเจียซิ่งจริง ๆ เพราะผู้ชายคนนี้ดื่มแล้วคุมตัวเองไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาอารมณ์ไม่ดี ก็มักจะส่งเสียงดังเกินไป
ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน เฉินเจียเหอทำได้แค่สละเวลาจากครอบครัวของเขา และนั่งลงอย่างไม่เต็มใจเท่าไร
เฉินเจียวั่งรีบเดินตามหลินเซี่ยและคนอื่น ๆ ไปเพราะตั้งใจว่าจะวิ่งหนี แต่เฉินเจียซิ่งก็หยุดเขาไว้
“นายเองก็ไม่คิดจะนั่งดื่มเป็นเพื่อนฉันสักหน่อยเหรอ?”
เฉินเจียวั่งไม่อยากเห็นเขาร้องไห้และเห่าหอนหลังดื่มเกินขนาด “ผมอยากพักผ่อนน่ะ”
เฉินเจียเหอเงยหน้าขึ้น และพูดกับเฉินเจียวั่งว่า “นั่งลงเถอะ ในเมื่อเป็นพี่น้องกันก็ควรแบ่งเบาภาระร่วมกัน อย่าปล่อยให้พี่รองต้องแบกรับความเจ็บปวดอย่างโดดเดี่ยว”
เมื่อพี่ชายคนโตพูดแบบนี้ เฉินเจียวั่งไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องนั่งลงบราวนี่ออนไลน์
เฉินเจียซิ่งเตรียมเหล้าชั้นดีสองขวดมาจากที่ไหนสักที่แล้ว
เฉินเจียเหอเห็นเหล้าในมือเขาก็ต้องประหลาดใจ “นั่นมันของคุณปู่ไม่ใช่เหรอ? นายไปเอามันมาจากไหน?”
เฉินเจียซิ่งดูเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้มากขึ้นทุกที “ใครสนล่ะ เรามาดื่มให้สำราญใจกันเถอะน่า”
เฉินเจียวั่งแนะนำ “พี่รอง ผมเข้าใจว่าคืนนี้พี่แค่จะดื่มเพื่อลืมความเศร้า แต่การดื่มเจ้านั่นค่อนข้างสิ้นเปลืองไปหน่อยนะ ไว้พี่หย่าร้างก่อนแล้วพวกเราค่อยมาดื่มเหล้านี่ฉลองแล้วกัน ไปหาเอ้อโกวโถวสักขวดแทนเถอะ”
เขากลัวว่าคุณปู่จะหักขาของพี่รองในวันพรุ่งนี้ถ้ารู้เรื่องนี้เข้า
“ก็ฉลองล่วงหน้านี่ไง”
เฉินเจียซิ่งพูดจบก็เปิดฝาขวดโดยไม่ลังเล จากนั้นจึงไปหาภาชนะใส่เหล้าอย่างรวดเร็ว
เขารินเหล้าให้เฉินเจียเหอแก้วหนึ่งก่อน จากนั้นจึงรินอีกแก้วสำหรับตัวเอง และพูดกับเฉินเจียวั่งว่า “ส่วนนายก็เทน้ำต้มสุกเอาเองแล้วกัน”
“ผมดูพวกพี่ดื่มก็พอแล้ว เพิ่งกินข้าวเสร็จหมาด ๆ คงดื่มน้ำเยอะไม่ได้ เดี๋ยวจะท้องอืดเอา”
เฉินเจียซิ่งปฏิเสธ ดังนั้นเขาจึงต้องหาบางอย่างให้กับเฉินเจียวั่ง หลังจากค้นหาดูรอบ ๆ ในที่สุดก็พบขวดโซดาและรินลงในแก้วให้เขา
“พวกเราพี่น้องไม่ได้นั่งดื่มและพูดคุยกันแบบนี้มานานแล้วนะ นับตั้งแต่ฉันแต่งงานกับเสิ่นเสี่ยวเหมย พี่กับนายก็ปฏิบัติต่อฉันเหมือนเป็นศัตรู เลี่ยงที่จะเจอหน้าอยู่ตลอด ฉันรอให้พวกนายมาประนีประนอม ยอมรับ และกลับมาสนิทสนมใกล้ชิดกันเหมือนเมื่อก่อนอยู่นาน ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าวันหนึ่งพวกนายจะยอมแพ้”
เฉินเจียซิ่งดื่มเหล้าหมดแก้วในอึกเดียว และรินอีกแก้วให้ตัวเองทันที
“ฉันเสียใจมาก ตอนนั้นฉันเคยเป็นหนุ่มฮอตบนท้องถนน ขี่จักรยาน 28 บาร์ พอเห็นว่าพี่ใหญ่ยังเก็บชุดทหารหลังออกจากกองทัพไว้ก็เลยเอามันมาสวมทับเสื้อนักเรียน แล้วไปยืนอยู่หน้าทางเข้าโรงเรียนมัธยมหงซิง มีแต่นักเรียนสาวๆ มองฉันอย่างคลั่งไคล้เป็นโขยง”
เฉินเจียซิ่งถือแก้วเหล้าพลางนึกถึงช่วงเวลาแห่งปีทองของตัวเอง ทั้งร่างเขาเต็มไปด้วยความเปล่งประกาย
เฉินเจียเหอและเฉินเจียวั่งต่างพูดอะไรไม่ออก ทำได้แค่มองดูเขาอย่างเงียบ ๆ
พวกเขารู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดี รำลึกถึงอดีตที่ดีนับว่าดีกว่าบ่นถึงความยากลำบากใจในปัจจุบัน
“การที่เสิ่นเสี่ยวเหมยโขกสับฉันอาจเป็นทัณฑ์สวรรค์ก็ได้ใครจะรู้ แต่ฉันรู้ว่าตัวฉันนี่มันไร้สาระจริง ๆ ทิ้งผู้หญิงที่ซื่อสัตย์เหล่านั้นและไล่ตามเสิ่นเสี่ยวเหมยอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อที่จะตามจีบหล่อนให้ติด ฉันทำงานหนักสารพัดอย่าง ส่งรองเท้า ส่งอาหาร และทำงานอีกตั้งหลายอย่าง เคยใช้เงินเดือนทั้งหมดเพื่อเอาใจหล่อนด้วยนะ แต่หล่อนก็ยังคิดว่าฉันยากจน
หลังจากนั้น การแต่งงานกับหล่อนถือเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายจริง ๆ ฉันใช้ชีวิตเยี่ยงทาสมาตลอดหกเดือน เดินตามก้นเสิ่นเสี่ยวเหมยต้อย ๆ ตลอดทั้งวัน ถ่อมตัวมากจนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้ขี้แพ้”
เฉินเจียซิ่งพูดและตบหน้าตัวเองสองครั้ง “รู้ไหม ในชีวิตนี้ฉันไม่เคยถูกใครตบหน้าเลย พ่อแม่ยังไม่เคยตบหน้าฉันเลยด้วยซ้ำ แต่เสิ่นเสี่ยวเหมยเป็นใคร ต่อหน้าคนงานเกือบทั้งโรงงาน หล่อนตบหน้าฉันและพูดดูถูกสารพัด ฉันกลับเป็นเหมือนสุนัขกระดิกหางที่รอคอยความเมตตา ขอร้องให้หล่อนตามกลับบ้านอย่างนอบน้อมซะงั้น ฉันโคตรละอายใจเลย ศักดิ์ศรีตัวเองต้องถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าผู้หญิงคนหนึ่ง แทบไม่เหลือศักดิ์ศรีเหมือนผู้ชายคนอื่นแล้ว มันน่าอายมาก ยิ่งสำหรับตระกูลเฉิน มันยิ่งน่าอายเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่น้องที่เคยทำงานในกองทัพ และน่าอายยิ่งกว่าการเอาชุดทหารของพี่ชายตัวเองมาใส่ซะอีก”
เฉินเจียซิ่งเริ่มสบถมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่เขาพูด ส่วนเฉินเจียวั่งขมวดคิ้วเมื่อได้ฟัง
ถูกเสิ่นเสี่ยวเหมยตบหน้าและดูถูกในที่สาธารณะงั้นเหรอ?
ช่างเลวร้ายจริง ๆ
“ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ในที่สุดฉันก็เป็นอิสระ พอฉันหย่าเมื่อไหร่ก็จะกลับมามีชีวิตที่มีความสุขเหมือนในอดีตและเป็นชายโสดได้อย่างเต็มตัว ไม่ต้องรองรับอารมณ์ผู้หญิงคนนั้นหรือผู้เฒ่าตระกูลเสิ่นอะไรนั่นอีกต่อไป”
เฉินเจียซิ่งกระดกเหล้าอีกแก้วในอึกเดียวอีกครั้ง
เมื่อเขาเห็นว่าเหล้าในแก้วของเฉินเจียเหอยังเต็มอยู่ เขาก็เริ่มตื่นตัวเล็กน้อย “พี่ใหญ่ ทำไมไม่ดื่มล่ะ? นี่พี่ดูถูกฉันอยู่หรือเปล่า? นายยังไม่ให้อภัยฉันสินะ?”
“ดื่มสิ” เฉินเจียเหอโบกมือให้เฉินเจียวั่งเพื่อยกแก้วขึ้น ทั้งสามชนแก้วกันและจิบเป็นเชิงสัญลักษณ์
เฉินเจียซิ่งพอใจทันที
เขาดื่มอีกสองแก้ว อาการเมาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ ลิ้นของเขาเริ่มเปลี้ยและพูดจาไม่เป็นภาษา
เขามองไปยังเฉินเจียเหอ อดไม่ได้ที่จะพูดสิ่งที่อยู่ในใจ
“พี่ใหญ่ ฉันอิจฉาพี่จริง ๆ ต้องยอมรับว่าชีวิตพี่ค่อนข้างดี ฉันไม่รู้ว่าพี่โชคดีแค่ไหนสำหรับผู้ชายในวัยเดียวกัน ได้แต่งงานกับภรรยาที่อายุน้อยกว่า ทั้งสวย ทั้งมีความสามารถ ฉันพอมองออกอยู่หรอกว่ายัยเด็กเวรหลินเซี่ยคนนี้ทุ่มเทเวลาให้พี่อย่างเต็มใจ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าหล่อนต้องการอะไรจากหู่จือบ้าง หวังว่าหล่อนจะไม่เปลี่ยนใจเอาภายหลัง”
เฉินเจียเหอ “!!!”
“นายเรียกเธอว่าไงนะ?” เฉินเจียเหอมองด้วยสายตาที่เฉียบคม น้ำเสียงของเขาก็เริ่มเย็นชา
เฉินเจียซิ่งเมาและสับสน “หลินเซี่ยไง”
“พี่เรียกหล่อนว่าเด็กเวร” เฉินเจียวั่งพูดเสริมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
ดวงตาของเฉินเจียเหอเรืองวาบราวจะกินเนื้อคน จากนั้นเตือนว่า “ฉันจะให้โอกาสนายจัดระเบียบภาษาของตัวเองซะใหม่”
เฉินเจียซิ่งยอมแพ้และโบกมือ “โอเคๆ ฉันจะไม่เรียกหล่อนว่ายัยเด็กเวรอีกต่อไปแล้ว”
เฉินเจียวั่งพูดแทรก “พี่ควรเรียกหล่อนว่าพี่สะใภ้ใหญ่”
“นายขึ้นเสียงเหรอ?” เฉินเจียซิ่งกลอกตามาที่เขา
เฉินเจียวั่งกระแอมไอเบา ๆ และหลีกเลี่ยงหัวข้อนี้
เพราะความจริงแล้วเขาไม่ได้พูดเสียงดังเลย
ทันทีที่เฉินเจียวั่งหลีกเลี่ยง เฉินเจียซิ่งซึ่งดื่มมากเกินไปโดยไม่ได้คุมตัวเอง ก็ได้กลิ่นผิดปกติบางอย่างทันที เขาโอบแขนรอบไหล่ของเฉินเจียวั่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียนว่า “จะว่าไปแล้วหล่อนกับนายเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันนี่ หล่อนเคยช่วยชีวิตนายด้วย ชีวิตของหล่อนเมื่อก่อนก็ดูสูงส่งดีนะ แถมหน้าตาสวยด้วย ทำไมนายไม่เคยพูดถึงหล่อนมาก่อนเลยล่ะ?”
“นายก็ชอบหล่อนเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?” เฉินเจียซิ่งมองหน้าน้องสาม แล้วถามอย่างติดตลก
ใบหน้าอันหล่อเหลาของเฉินเจียวั่งเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที และเขาก็สะบัดมืออีกฝ่ายออก “พี่พูดบ้าอะไรน่ะ?”
“โอ้ จริงสินะ ร้อนตัวเฉยเลย!”
เฉินเจียเหอมองน้องชายสองคนด้วยดวงตาอันลึกล้ำ ทันใดนั้นบรรยากาศก็ผ่อนคลายลง
“พี่รอง ดื่มมากไปแล้ว ถึงเวลาเข้านอนแล้ว”
เฉินเจียวั่งผู้เย็นชาเฉยเมยมาโดยตลอดในตอนนี้แก้มแดงระเรื่อ ก่อนจะอธิบายกับเฉินเจียเหอด้วยน้ำเสียงติดอ่าง “พี่ใหญ่ พี่… พี่อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของเขาเลย ผมไม่เคยคิดแบบนั้นกับพี่สะใภ้ใหญ่เลยนะ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เจียซิ่งสมัยยังโสดก็ไม่เบาเหมือนกันนะเนี่ย ใช้กรรมไปแล้วก็ขอให้ตัดกรรมได้แล้วกันนะ
พี่เหอใจเย็นๆ นั่นน้องชายไง
ไหหม่า(海馬)