ตอนที่ 221 ผู้หญิงหน้าไม่อาย

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 221 ผู้หญิงหน้าไม่อาย

หลินม่ายหันกลับมาเพื่อเรียกหาอวี๋เจียจิ้น

อวี๋เจียจิ้นพูดกับแม่เสี่ยวหงว่า “ในเมื่อคุณเองก็ต้องการต่อเติมชั้น ถ้าอย่างนั้นคุณคงต้องแจ้งความจำนงกับเพื่อนบ้านอีกฝั่งหนี่งของคุณด้วย”

หลินม่ายอดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่าถ้าต้องแจ้งความจำนงต่อกันเป็นทอด ๆ แบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะเสร็จเสียที

ดังนั้นเธอจึงหันไปบอกกับเพื่อนบ้านทั้งสองว่า “ถ้าพวกคุณสามารถเพิ่มชั้นได้ ช่วยแจ้งให้ฉันทราบอีกทีหนึ่งนะคะ” หลังจากนั้นเธอก็พานายช่างจางเข้าไปในตึกแถวสไตล์ตะวันตกที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง

พอนายช่างจางประเมินแล้วเขาก็พูดขึ้นว่า “ชั้นนี้จะแยกห้องออกจากกันเป็นสัดส่วน หรือจะรวมให้กลายเป็นห้องเดียวกันก็ได้”

เธอวางแผนไว้ในใจแต่แรกแล้ว ว่าจะใช้ตึกแถวหลังนี้เปิดเป็นร้านอาหารแห่งที่สอง ขายซาลาเปา เกี๊ยว และบะหมี่

โดยให้ร้านสาขาแรกขายเฉพาะเซาเข่าแค่อย่างเดียว

ตอนนี้ทั้งซาลาเปาและเกี๊ยวของร้านเธอเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง ลูกค้ามากมายต่างเดินทางจากแดนไกลเพื่อมาอุดหนุนซาลาเปากับเกี๊ยวที่ร้านของเธอโดยเฉพาะ

หลินม่ายไม่กังวลเกี่ยวกับยอดขายซาลาเปาเท่าไรนัก เพียงแต่ซาลาเปาเป็นอาหารที่ขายได้เฉพาะช่วงเช้า ไม่สามารถขายช่วงดึกได้

เธอวางแผนว่าจะพัฒนากิจการซาลาเปาและเกี๊ยวให้ขยายการเติบโตขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนกิจการเซาเข่า เธอมั่นใจว่ามันจะสามารถทำเงินให้กับเธอได้อย่างรวดเร็ว

จากความทรงจำของเธอในภพชาติที่แล้ว ดูเหมือนยุคสมัยนี้จะยังไม่มีร้านขายเซาเข่าแพร่หลายมากนัก

เธอคิดชื่อร้านทั้งหมดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ร้านขายซาลาเปากับเกี๊ยวจะยังคงใช้ชื่อเดิมคือ ‘เปาห่าวซือ’

ส่วนร้านเซาเข่า เธอตั้งใจว่าจะเปลี่ยนใหม่ไม่ใช้เปาห่าวซือแล้ว

ตั้งชื่อร้านเสียใหม่ว่า ‘เหรินเจียนเยียนหั่ว’

หลินม่ายบอกความประสงค์กับนายช่างจาง “ทุบผนังชั้นล่างที่เชื่อมต่อกับห้องครัวออกเลยค่ะ แล้วติดตั้งกระจกใสเป็นผนังกั้นโซนแทน”

นายช่างจางเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็แนะนำว่า “ถ้าใช้กระจกใสเป็นผนังกั้น ลูกค้าก็จะมองเห็นสถานการณ์วุ่นวายในครัวอย่างทะลุปรุโปร่งตั้งแต่ครั้งแรกที่เดินเข้ามา ถ้าครัวสกปรกนิดหน่อย หรือพ่อครัวเผลอสะเพร่าทำอะไรผิดไป ลูกค้าก็จะเห็นด้วยเหมือนกัน…”

หลินม่ายเข้าใจทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร คงกังวลว่าลูกค้าจะเห็นด้านที่ไม่ดีภายในครัว และอาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของร้าน

เธอยิ้มพลางตอบกลับ “ถ้าอย่างนั้นฉันจะตั้งกฎเกณฑ์การทำงานให้เข้มงวดขึ้น ภายในครัวจะต้องสะอาดอยู่เสมอ และระหว่างทำงานพนักงานครัวจะต้องไม่ประมาท”

เธออยากติดตั้งผนังกั้นให้เป็นกระจกใส ก็เพื่อให้ลูกค้าสามารถมองเห็นความสะอาด สว่าง และเป็นระเบียบเรียบร้อยของครัวได้อย่างชัดเจน เพื่อเพิ่มชื่อเสียงของร้านไปในทางที่ดี

ทั้งสองขึ้นไปบนชั้นสองของอาคาร หลินม่ายขอให้นายช่างจางช่วยปรับปรุงบริเวณชั้นสองทั้งหมดให้กลายเป็นที่พักอาศัยส่วนตัว

ถึงแม้ตอนนี้จะยังอยู่ในช่วงปี 1980 แต่เมืองเจียงเฉิงก็มีขนาดใหญ่พอสมควร ทั้งยังมีคนมีฐานะอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก คนรวยเหล่านี้นิยมสร้างห้องชุดซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยครบครัน

นายช่างจางคิดตามคำขอของเธออย่างเงียบ ๆ ก่อนจะพูดว่า “ผมสามารถปรับปรุงชั้นสองได้ตามความต้องการของคุณ แต่ผมคงหาอ่างล้างจานสำหรับห้องครัว กระเบื้องปูพื้น รวมถึงโคมไฟระย้าสำหรับตกแต่งห้องส่วนตัวบนชั้นสองให้คุณไม่ได้”

หลินม่ายตอบ “เดี๋ยวฉันค่อยไปหาซื้อเองทีหลังได้ค่ะ คุณจดรายการสิ่งของที่คุณไม่สามารถหาซื้อได้ไว้ให้ฉันได้เลย”

หลังจากนั้นทั้งสองก็วางแผนปรับปรุงลานกว้างด้านหลังตึก สร้างโรงจอดรถใหม่ และสร้างห้องสำหรับกำจัดขยะเป็นการเฉพาะเพื่อคัดแยกวัตถุดิบให้เป็นสัดส่วน

การทำซาลาเปากับเกี๊ยวต้องใช้วัตถุดิบจำนวนมาก ถ้าไม่สร้างห้องคัดแยกขยะไว้คงจัดการวัตถุดิบได้ยากพอสมควร

หลังจากสรุปรายละเอียดทั้งหมดแล้ว หลินม่ายก็ออกจากตึกแถวไปพร้อมกับนายช่างจาง

สภาพอากาศในเจียงเฉิงยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทันทีที่อากาศแจ่มใส อุณหภูมิก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แสงแดดร้อนจัดแทบแผดเผาผิวหนังจนไหม้เกรียม

หลินม่ายดึงปีกหมวกบังแดดของตัวเองลงมา เพื่อให้มันสามารถบดบังแสงแดดให้ได้มากที่สุด

ขณะนั้นเอง เท้าคู่หนึ่งซึ่งสวมรองเท้าหนังคู่งามก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเธอ

หลินม่ายไม่ได้ให้ความสนใจ คิดว่าคนที่เดินสวนไปมาบนถนนคงบังเอิญเข้ามาขวางทางเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ในขณะที่เธอกำลังจะเดินหลบเลี่ยงไปอีกทาง อีกฝ่ายกลับคว้าแขนเธอไว้โดยพลการ

หลินม่ายเงยหน้าขึ้นมองด้วยความไม่พอใจ กระทั่งเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายที่ยังคงสวยงามสมวัยเพราะดูแลตัวเองเป็นอย่างดีของหวังเหวินฟาง

เธอถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทำอะไรของคุณคะ?”

“ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอ!”

ด้วยนิสัยของหลินม่ายแล้ว ในเมื่อเธอรู้ว่าหวังเหวินฟางไม่มีความเป็นมิตรกับตัวเอง เธอจะสะบัดมือทิ้งแล้วเดินจากไปเลยยังได้

แต่ตอนนี้เธอกำลังคบหาอยู่กับฟางจั๋วหราน ดังนั้นคงไม่เหมาะสมนักหากเธอจะทำตัวกระด้างกระเดื่องไม่ไว้หน้าหวังเหวินฟาง

ดังคำกล่าวที่ว่า ก่อนตีสุนัขต้องมองหาเจ้าของของมันเสียก่อน

ถึงอย่างไรหวังเหวินฟางก็มีสถานะเป็นแม่เลี้ยงของฟางจั๋วหราน แม่ของเขาก็เหมือนแม่ของเธอเอง

ถ้าไม่ไว้หน้าหล่อนเสียหน่อย เกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาท

ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งสองก็เดินมาถึงร้านกาแฟที่ดำเนินกิจการโดยรัฐ

ปกติแล้วร้านกาแฟประเภทนี้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับชาวต่างชาติ แต่ช่วงสองปีที่ผ่านมาก็กลายเป็นที่นิยมในหมู่ชาวจีน

แต่เนื่องจากกาแฟแก้วหนึ่งมีราคาแพงเกินความจำเป็น จึงมีชาวจีนแค่ไม่กี่คนที่เต็มใจอุดหนุน

ภายในร้านกาแฟมีลูกค้าบางตา เงียบสงบมาก เอื้ออำนวยแก่การสนทนาเรื่องต่าง ๆ

ทันทีที่ทั้งสองนั่งลง พนักงานสาวก็เดินเข้ามารับคำสั่ง

หวังเหวินฟางหยิบเมนูที่พนักงานสาวส่งให้ด้วยท่าทางไว้ตัว ก่อนจะหันไปพูดกับเธอว่า “ขอกาแฟฝรั่งเศสร้อนสองถ้วย”

หลังจากนั้นหล่อนก็หันมาแสยะยิ้มให้กับหลินม่าย ราวกับตัวเองเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์ที่ปฏิบัติต่อหญิงสาวยาจก “ความจริงแล้วฉันควรให้เธอสั่งกาแฟด้วยตัวเอง แต่เธอคงไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับกาแฟเท่าไหร่นัก ฉันจึงถือโอกาสสั่งกาแฟให้เธอเสียเลย”

หลินม่ายยิ้มเล็กน้อย “ที่จริงฉันเชี่ยวชาญด้านกาแฟพอตัวเลยล่ะค่ะ”

ชาติที่แล้วเธอดื่มกาแฟไปไม่รู้กี่แก้วต่อกี่แก้ว เมื่อเป็นแบบนี้แล้วจะไม่ให้เธอเชี่ยวชาญเกี่ยวกับมันได้อย่างไร

หวังเหวินฟางนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มพรายอีกครั้ง “สาวน้อย อย่าโกหกเพียงเพราะอยากรักษาใบหน้าของตัวเองเลย ฉันไม่เสียมารยาทหัวเราะเยาะเธอหรอก”

ในใจของหลินม่ายแทบจะตะคอกออกมา ดูสีหน้าที่เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามของคุณสิ ยังจะบอกว่าไม่หัวเราะเยาะอีกหรือ!

“เปล่าเลยค่ะ ฉันเชี่ยวชาญจริง ๆ” ว่าแล้วเธอก็ร่ายยาวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “กาแฟสามารถแบ่งประเภทออกเป็นแบบเดี่ยวกับแบบผสม แบบเดี่ยวก็อย่างเช่น บลูเมาเท่น สุมาตรา มอคค่า บราซิล อิตาลี โคลอมเบีย และชาร์โคล ส่วนแบบผสมก็ได้แก่ คาปูชิโน่ ลาเต้ กาแฟข่ายเสวียน กาแฟรอยัล กาแฟร้อนรอยัลเลมอน กาแฟคาร์ลัว…”

หลังจากพูดจบ เธอจงใจถามหวังเหวินฟาง “คุณป้า ฉันพูดถูกหรือเปล่าคะ?”

ดวงตาของหวังเหวินฟางเบิกกว้าง เธอเข้าใจเรื่องพวกนี้ด้วยหรือนี่!

“ดูเหมือนคุณป้าจะไม่ค่อยรู้เรื่องกาแฟเท่าไหร่สินะคะ” หลินม่ายยิ้มหยัน ก่อนจะหันไปถามพนักงานสาวที่ยังคงยืนตะลึงงันอยู่ที่เดิม “คนสวย ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าจ๊ะ”

ในที่สุดพนักงานสาวก็ได้สติคืนกลับมา “ไม่ ไม่ผิดค่ะ”

หลังจากนั้นหล่อนก็เก็บเมนูคืน แล้วหันหลังเดินออกไป

แต่พอเดินห่างออกไปได้แค่ระยะหนึ่ง หล่อนก็หันมองกลับมาที่หลินม่ายอีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่หล่อนได้พบกับชาวจีนด้วยกันที่มีความเชี่ยวชาญด้านประเภทของกาแฟมาก

รออยู่ครู่เดียว กาแฟก็ถูกยกมาเสิร์ฟ

หลินม่ายหยิบถ้วยกาแฟของตัวเองขึ้นจิบอย่างเอื่อยเฉื่อย โดยไม่แม้แต่จะถามหวังเหวินฟางว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากเธอกันแน่

เดิมทีหวังเหวินฟางอยากรอให้หลินม่ายเสียความมั่นใจก่อน จากนั้นค่อยสาธยายจุดประสงค์ที่มาตามหาเธอในวันนี้

คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายไม่ยอมพูดอะไรออกมา

หวังเหวินฟางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา “สหายเสี่ยวหลิน ฉันได้ยินมาว่าเธอกับจั๋วหรานกำลังคบหากัน?”

นับตั้งแต่วันที่หลินม่ายตัดสินใจคบหากับฟางจั๋วหราน เธอเฝ้ารอคอยมาโดยตลอดว่าเมื่อไหร่พ่อและแม่เลี้ยงของเขาจะเข้ามาซักถามความจริงจากเธอเสียที ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง

หลินม่ายไม่ได้แสดงท่าทางตื่นตระหนก ยอมรับอย่างใจเย็น “ใช่ค่ะ ทำไมหรือคะ?”

หวังเหวินฟางเหยียดยิ้ม

รอยยิ้มอันทรงเสน่ห์นั้นแฝงไปด้วยความรังเกียจ

หล่อนวางถ้วยกาแฟในมือลง ก่อนจะล้วงซองกระดาษปึกใหญ่ออกมาจากกระเป๋า แล้ววางลงตรงหน้าหลินม่าย

“ในซองนี้มีเงินหนึ่งพันหยวน ฉันหวังว่าเธอจะยอมรับเงินจำนวนนี้ แล้วออกจากชีวิตของจั๋วหรานไปซะ”

หลินม่ายยิ้มหยันออกมาทันที “ฉันไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกเงินหนึ่งพันหยวนนะคะ แต่รายได้ต่อปีของจั๋วหรานมากกว่านี้เป็นไหน ๆ”

ใบหน้าของหวังเหวินฟางมืดมนลงทันที “ฉันขอเตือนว่าเธออย่าได้ทำตัวไม่รู้จักพอ! อย่าหวังว่าจะได้ชุบตัวแต่งงานเป็นครั้งที่สอง!”

หลินม่ายคิดว่าคำพูดของอีกฝ่ายชักน่าเกลียดขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้เธอไม่อยากไว้หน้าหล่อนอีกต่อไป ถึงแม้ว่าหล่อนจะเป็นแม่เลี้ยงของฟางจั๋วหราน

ไม่ต้องพูดถึงว่าหล่อนมีสถานะเป็นแม่เลี้ยงของฟางจั๋วหราน ต่อให้หล่อนเป็นแม่บังเกิดเกล้าของเขา เธอก็ไม่อยากรักษามารยาท

เธอยังไม่ทันแต่งงานเข้าตระกูลฟางด้วยซ้ำ หล่อนก็ปฏิบัติกับเธอแบบนี้เสียแล้ว

ถ้าวันหนึ่งเธอได้แต่งเข้าเป็นสะใภ้ตระกูลฟางจริง ๆ หวังเหวินฟางไม่ยิ่งโขกสับเธอยิ่งกว่านี้หรอกหรือ

ม้าดีโดนคนขี่ คนดีโดนคนแกล้ง(1) ช่วงชีวิตในภพชาติก่อน หลินม่ายเคยถูกพ่อแม่ของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนปฏิบัติต่อเธออย่างเลวร้ายราวกับเป็นหมูหมา ได้เกิดใหม่ในภพชาตินี้ เธอไม่มีวันยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเด็ดขาด

เธอโต้กลับทันที “ฉันจะทำตัวไม่รู้จักพอก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ คุณคิดว่าตัวเองควบคุมชีวิตฉันได้งั้นเหรอ? ต่อให้ฉันแต่งงานเป็นครั้งที่สองแล้วยังไงคะ? ใครบอกให้จั๋วหรานชอบฉันก่อนล่ะ!”

หวังเหวินฟางโกรธมากจนกัดฟันกรอด แค่นเสียงลอดไรฟันออกมา “เธอนี่มันหน้าไม่อายจริง ๆ!”

หลินม่ายเยาะเย้ย “คนสูงส่งอย่างคุณ ยังแอบหักหลังลูกชายของตัวเองลับหลังเลยนี่คะ”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สำนวนนี้มีความหมายว่า อย่าเป็นคนดีให้มาก เพราะถ้าทำตัวไร้เดียงสาเกินไปก็มักจะโดนคนอื่นรังแกได้ง่าย ๆ

สารจากผู้แปล

ก่อนจะทำอะไรก็ควรรู้กำลังของตัวเองก่อนนะ ไม่อย่างนั้นจะโดนเด็กถอนหงอกเอาได้นะป้า

ไหหม่า(海馬)