บทที่ 193 ในที่สุดก็ฟื้น

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 193 ในที่สุดก็ฟื้น

บทที่ 193 ในที่สุดก็ฟื้น

เมื่อเห็นลักษณะท่าทางที่ไม่ค่อยสบายอย่างยิ่งของคนผู้นั้น กู้หนิงผิงก็ตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของอีกฝ่าย อุณหภูมิที่ร้อนจัดทำให้เขาตกใจ เขารีบเทน้ำใส่อ่าง ตามที่พี่สาวเคยทำและใช้ผ้าขนหนูเปียกวางไว้บนหน้าผากของคนผู้นั้น

ร่างกายชายผู้นั้นร้อนผ่าวและไม่สบายตัว บริเวณบาดแผลราวกับลุกเป็นไฟ ดวงตาของเขาปิดสนิท ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน เมื่อมองดูเช่นนั้น แม้แต่จิตใต้สำนึกของเขาก็ยังวุ่นวาย

กู้เสี่ยวหวานที่ไม่กล้าหลับลึกนัก ตื่นขึ้นทันทีหลังจากได้ยินเสียงที่ทำอะไรไม่ถูกของกู้หนิงผิง

“หนิงผิง เขาเป็นไข้ใช่หรือไม่?” กู้เสี่ยวหวานลุกขึ้นนั่งอย่างกังวลและถามกู้หนิงผิง

“ท่านพี่ เขาตัวร้อนมาก!” กู้หนิงผิงวางผ้าเช็ดตัวเปียกอีกผืนไว้บนหน้าผากของชายผู้นั้น และหันกลับมาตอบกู้เสี่ยวหวาน ท่าทางของเขาดูกังวลแลทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย

กู้เสี่ยวหวานรีบลุกขึ้นและเดินเข้าไปหา กู้เสี่ยวหวานจับมือชายผู้นั้นและรู้สึกถึงอุณหภูมิราวกับเหล็กร้อน เมื่อสัมผัสหน้าผากของชายผู้นั้นก็พบว่ามันร้อนผ่าว น่ากลัวยิ่งนัก

“เหตุใดถึงร้อนเช่นนี้?” กู้เสี่ยวหวานไม่คิดว่าร่างกายของเขาผู้นี้จะร้อนดังโดนไฟเผา นางจึงประหม่าเล็กน้อย!

โลกแห่งนี้ไม่มียาลดไข้และการฉีดยาลดไข้ ด้วยการแพทย์ที่ล้าหลัง มีโอกาสสูงที่จะคร่าชีวิตผู้คนได้

คนผู้นี้จะไม่สามารถผ่านธรณีประตูนรกนี้ได้จริงหรือ?

กู้เสี่ยวหวานกังวลอยู่พักหนึ่ง หากไม่มียา นางสามารถใช้วิธีการทางกายภาพเพื่อทำให้เย็นลงได้เท่านั้น กู้เสี่ยวหวานจึงสั่งให้กู้หนิงผิงถอดเสื้อผ้าของคนผู้นั้น แล้วเช็ดตัวของคนผู้นั้นด้วยน้ำอุ่นต่อไป

กู้เสี่ยวหวานมีหน้าที่เช็ดร่างกายส่วนบน เช็ดเหงื่อออกจากใบหน้าและหน้าอกของชายคนนั้นด้วยผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น เพื่อที่เขาจะได้ไม่รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ

กู้หนิงผิงมีหน้าที่เช็ดร่างกายส่วนล่าง ตอนนี้คนผู้นี้กำลังตัวร้อนอย่างรุนแรง และเขาอาจตายได้ทุกเมื่อเพราะการติดเชื้อที่บาดแผล กู้เสี่ยวหวานไม่กล้าที่จะประมาท นางถูกปลุกให้ตื่นจากความง่วงนอนอย่างสมบูรณ์ เมื่อตื่นเต็มตาขึ้น นางก็เช็ดร่างกายของชายคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ท่านพี่ เราไม่รู้จักคนผู้นี้ เราไม่รู้ว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่ เราช่วยเขาไว้เช่นนี้ ถ้าในอนาคตเกิดปัญหาขึ้นจะทำอย่างไร อีกอย่างเห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา” ตั้งแต่เขาช่วยชีวิตคนผู้นี้ไว้ กู้หนิงผิงก็เต็มไปด้วยความสงสัยต่อคนผู้นี้

คนผู้นี้ไม่รู้ที่มา อีกทั้งยังไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ความจริงแล้วเขาคือผู้ใดกันแน่ ภายใต้แสงตะเกียงน้ำมันสีเหลืองสลัว ดวงตาของชายผู้นี้ปิดสนิท ใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากซีดจาง และขนตายาวราวผีเสื้อกำลังกระพือปีก

ผู้ชายคนนี้มีใบหน้าที่สมบูรณ์แบบราวกับเทพเจ้า ใบหน้าที่งดงามราวกับถูกแกะสลักด้วยมีด ซึ่งทำให้ผู้คนไม่อาจลืมเลือนยามได้พบเห็น

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของกู้หนิงผิง เมื่อนางเช็ดร่างกายของคนผู้นี้ เด็กหญิงก็เห็นแหวนหยกบนนิ้วหัวแม่มือซ้ายของเขา แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับหยก แต่เมื่อมองแวบแรก หยกนั้นโปร่งใส และในความโปร่งแสงมีสีม่วงจาง ๆ ซึ่งมองแวบแรกก็รู้ได้เลยว่ามีค่ามาก

คนผู้นี้คงมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา กู้เสี่ยวหวานมีความเสียใจภายหลังเล็กน้อย นางไม่รู้ว่ามันเป็นพรหรือคำสาปที่ช่วยชีวิตคนผู้นี้ แต่ตอนนี้ก็ได้ช่วยไว้แล้ว ถ้าจะทำความดีก็ทำให้ถึงที่สุด และเมื่อบุคคลนั้นหายดีแล้ว ก็ให้เขาออกไปจากที่นี่โดยเร็ว

กู้เสี่ยวหวานไม่ตอบคำพูดของน้องชาย นางไม่รู้จะตอบอย่างไรดี พูดได้เลยว่ายิ่งมีคนรู้เรื่องนี้น้อยเท่าไรยิ่งดี และในเวลานั้นปัญหาของพวกเขาก็จะน้อยลง

อาจเป็นเพราะว่าคนผู้นั้นมีสุขภาพแข็งแรง หรือมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะมีชีวิตรอด เมื่อใกล้รุ่งสางไข้ของเขาก็ค่อย ๆ ลดลง

กู้เสี่ยวหวานและกู้หนิงผิงก็เหนื่อยล้ามากเช่นกัน แต่ไม่ว่ากู้หนิงผิงจะพูดอย่างไร กู้เสี่ยวหวานก็ปฏิเสธที่จะพักผ่อน

โดยหลักแล้วต้องการให้กู้หนิงผิงพักผ่อนเพราะกลัวว่าเขาจะเหนื่อย

แต่กู้หนิงผิงตบหน้าอกของเขาและกล่าวว่า “ท่านพี่ ข้าเป็นผู้ชาย ข้าไม่เหนื่อย ท่านไปพักผ่อนเถอะ”

กู้เสี่ยวหวานส่ายหัว “เจ้าเหนื่อยมาทั้งคืน เจ้าก็ควรไปนอน”

“ท่านพี่…” กู้หนิงผิงยังคงต้องการจะเถียง แต่กู้เสี่ยวหวานโบกมือของนางอย่างอ่อนแรงพลางกล่าวว่า “เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะนอนบนขอบเตียงนี้สักครู่ พวกเราพักผ่อนกันสักครู่”

เมื่อกู้หนิงผิงเห็นพี่สาวของเขาพูดแบบนี้ เขาจึงทำได้เพียงเท่านั้นคลานกลับขึ้นเตียง เอาหัวพิงหมอนและผล็อยหลับไป

กู้เสี่ยวหวานกลัวว่าคนผู้นั้นจะรู้สึกหิวเมื่อตื่นขึ้น ดังนั้นนางจึงไปที่ห้องครัวเพื่อทำข้าวต้ม เคี่ยวมันช้า ๆ บนกองไฟเล็ก ๆ คาดว่าเมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมา ข้าวต้มทำเสร็จพอดีจึงค่อยกลับเข้าไปในห้อง คอยดูแลคนผู้นั้นอยู่เรื่อย ๆ นางเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของคนผู้นั้นเป็นระยะเพราะกลัวว่าแผลจะอักเสบและเป็นไข้อีก

“น้ำ น้ำ…”

น้ำ? กู้เสี่ยวหวานที่ไม่ได้หลับลึกนักจึงได้ยินเสียงแหบแห้งและอ่อนแรงชัดเจน นางตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว ลืมตาขึ้นมองไปทางคนผู้นั้น ริมฝีปากของเขาแห้งผาก เกรงว่าเพราะเป็นไข้ ร่างกายจึงสูญเสียน้ำไปมากและตื่นขึ้นด้วยเหตุนี้

กู้เสี่ยวหวานรีบเทน้ำจากชามป้อนให้เขาดื่มอย่างระมัดระวัง ไม่นานริมฝีปากแห้งของเขาก็กลับมาชุ่มชื้นขึ้นเล็กน้อย

หลังจากดื่มน้ำแล้ว ชายผู้นั้นก็นอนลงอีกครั้ง คาดว่าช่วงเวลาอันตรายได้ผ่านไปแล้ว กู้เสี่ยวหวานจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เมื่อได้ยินเสียงรอบข้าง ฉินเย่จือลืมตาขึ้นอย่างตื่นตัว บาดแผลบนร่างกายของเขายังคงเจ็บปวด แต่บาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นไม่เป็นอะไรแล้ว ครั้งนี้เขาประมาทและตกหลุมพรางของคนเลวผู้นั้น ไม่เช่นนั้น คนเลวผู้นั้นจะทำร้ายเขาอย่างสาหัสด้วยกังฟูแมวสามขา*[1]ได้อย่างไร

ฉินเย่จือขยับตัวเล็กน้อย และสัมผัสโดนบาดแผลโดยบังเอิญ เข้าอ้าปากค้างด้วยความเจ็บปวด เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นจึงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อกดเขาลง “อย่าขยับ หมอบอกว่าอาการบาดเจ็บของเจ้ารุนแรงมาก ช่วงนี้ไม่สามารถขยับตัวตามใจได้”

ฉินเย่จือขมวดคิ้ว คิ้วเรียวยาวของเขาขมวดเข้าหากัน เขาเหลือบมองไปด้านข้าง น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยถามอย่างระมัดระวง “เจ้าช่วยข้าไว้ใช่หรือไม่?”

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า ถึงแม้นางจะไม่อยากยอมรับมากนัก

ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นส่องแสงระยิบระยับราวกับดวงดาวที่สว่างที่สุดบนท้องฟ้า กู้เสี่ยวหวานเองก็มีดวงตาที่สวยงามเช่นกัน

ในวันนั้นเขาได้รับบาดเจ็บและหมดสติไป แต่เขาก็คอยระมัดระวังคนรอบข้างอยู่เสมอ ดวงตาเฉียบคมของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความระมัดระวัง แต่วันนี้เมื่อตื่นขึ้น ดวงตาเหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยดวงดาวที่เจิดจ้า ดวงดาวเหล่านั้นเจิดจ้าดุจอัญมณีเม็ดงาม

…………………………………………………………………………..

*[1] กังฟูแมวสามขา หมายถึง การขาดทักษะในการทำสิ่งต่าง ๆ, ผู้ที่มีความรู้ทักษะต่าง ๆ เพียงเล็กน้อย