บทที่ 232 สมบัติที่อสูรวิญญาณเฝ้าปกป้อง
บทที่ 232 สมบัติที่อสูรวิญญาณเฝ้าปกป้อง
คำพูดคล้ายคำสั่งส่งผลให้ใบหน้าลวี่จียิ่งทะมึน หึ นางเป็นคนจากแคว้นมาร นายท่านทั้งตามใจทั้งปกป้องคนในแคว้นยิ่งกว่าอะไร ไม่ปล่อยให้คนอื่นมารังแกโดยง่าย ไม่เช่นนั้นจะถูกเอาคืนเป็นร้อยเท่า
ดังนั้นคนแคว้นมารจึงมีความหยิ่งผยองรักศักดิ์ศรีนัก ลวี่จีก็ไม่ต่าง นางเริ่มบังเกิดความเป็นปฏิปักษ์ต่อคนทั้งสอง เริ่มกลายเป็นความเกลียดชังแล้ว
“อย่าผลีผลาม” ชิงอวี่รั้งแขนลวี่จีไว้พลางส่ายหน้าน้อย ๆ
“นายหญิง ในถ้ำนี่มีความผันผวนของพลังวิญญาณทรงพลังมาก” เด็กหนุ่มผมทองเอ่ยเสียงเบา แต่สีหน้าดูสับสน “แต่….. กลิ่นอายวิญญาณเหมือนจะไม่ได้มาจากมนุษย์ เป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์”
“อะไรนะ?” ชิงอวี่เบิกตากว้าง “อสูรศักดิ์สิทธิ์?”
มันเป็นสิ่งมีชีวิตหายากที่มีแต่ในตำนานเท่านั้น อสูรวิญญาณที่ทรงพลังกว่าอสูรวิญญาณขั้นสุด โดยต้องเป็นอสูรที่มีระดับหลายสิบแล้วจึงจะเรียกว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้
ทว่า….. ในแดนระดับต่ำเช่นแดนมุกหยก จะมีกลิ่นอายของอสูรศักดิ์สิทธิ์อยู่ได้หรือ? กระทั่งในแดนธาราขาวยังอาจหาไม่ได้ด้วยซ้ำ
เช่นนี้น่าตกใจเกินไปแล้ว
“ไหมไหม เจ้ามั่นใจหรือ?” ชิงอวี่ขมวดคิ้วถาม
เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบทันควัน เพียงแต่เอ่ยขึ้นว่า “ท่านฟังเสียงจากในนั้นดู”
ชายหนุ่มชุดขาวทั้งสองยังคงซัดพลังเข้าโจมตีสิ่งที่อยู่ภายในถ้ำไม่หยุด เหมือนนางจะได้ยินเสียงร้องโกรธเกรี้ยวดังมาก่อนหน้านี้ เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกสิ้นหวัง ตอนนี้มันเบาลงมากแล้ว ยิ่งฟังก็ยิ่งเศร้าในใจ
เหมือนมันรู้ว่าตัวมันกำลังจะตาย เสียงคำรามไม่ดังกังวานเช่นแต่ก่อน แต่เหมือนกับจะร้องขอความช่วยเหลือ
ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย ข้าจะตายไม่ได้
ใช่แล้ว มันกำลังร้องขอความช่วยเหลือ
มันเป็นข้อความที่ผุดขึ้นมาในหัวนางทันทีที่ได้ยินเสียงจากในถ้ำ
ชิงอวี่ประหลาดใจที่เข้าใจความหมายของเสียงคำรามนั้น แต่ไม่ทันได้ครุ่นคิดต่อ เสียงคำรามก็เบาลงเรื่อย ๆ
จั้งไหมกับนายหญิงจิตใจเชื่อมต่อกัน เขาจึงรู้ว่านางคิดอะไร “นายหญิงอยากช่วยหรือ?”
ชิงอวี่นัยน์ตาล้ำลึกก่อนเอ่ยเสียงสุขุม “อืม ต้องช่วยอยู่แล้ว”
“พลังบำเพ็ญของสองคนนั้นไม่ต่ำ เผยกลิ่นอายชั่วร้ายทั่วร่าง ให้นายหญิงรับมือคงไม่ดี ให้ข้าจัดการเถอะ”
เด็กหนุ่มพูดจบก็ลอบเคลื่อนกายออกห่างจากนางในร่างล่องหน พอจะลงมือโจมตีถึงได้เผยตัวตนออกมา
ดังนั้นหลังจากคนชุดขาวคนหนึ่งถูกพลังซัดกระเด็นไปแล้ว ตรงหน้าจึงมีเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่ร่างเป็นสีทองระยับทั้งตัวปรากฏขึ้น ส่งผลให้ทุกคนชะงักไป
“เจ้าเป็นใคร? กล้าลอบโจมตีพวกข้างั้นหรือ!?” เมื่อเห็นสหายตนถูกส่งร่างปลิวไปไกล ทั้งยังกระอักเลือดออกมาไม่หยุด ในใจก็เกิดความโกรธแค้น ใบหน้าดุดันราวกับอยากกินคน “พวกข้าไม่คิดอยากก่อเรื่องบนแดนระดับต่ำ แต่ในเมื่อพวกเจ้ารนหาที่ตายก็อย่าได้โทษข้า!”
“หึ โอ้อวดนัก”
จั้งไหมยกยิ้มดูถูก จากนั้นลูกตาหรี่แคบสีเงินและทองก็เปลี่ยนเป็นรูปสามเหลี่ยมกลับหัวเมื่อเขาเริ่มคืนร่างจริง
งูหลามแรดทองคำตัวใหญ่นับสิบจั้ง ลำตัวหนาเท่าจับคนสี่คนมามัดรวมกัน มันแลกลิ้นแดงเป็นแฉกออกมา ก่อนที่หางจะตวัดรัดร่างชายชุดขาวทั้งสองแล้วโยนขึ้นฟ้า จากนั้นก็รัดร่างไว้ คล้ายกับกำลังเล่นสนุก
งูหลามแรดยักษ์ที่จู่ ๆ ปรากฏขึ้นไม่เพียงทำให้ชายชุดขาวทั้งสองตกใจ แต่ยังทำให้ลวี่จีที่สุขุมมาตลอดยังนิ่งอึ้งไปนาน
ใบหน้างดงามของนางขาวซีดไปเล็กน้อยด้วยถูกภาพตรงหน้าทำให้ตกใจไปเช่นกัน
ชิงอวี่เผยแววตาจนใจ ต้องทำให้ใหญ่โตเช่นนี้เลยหรือ…..
แล้วต้องเผยร่างจริงด้วย?
แต่นางไม่ได้เห็นร่างจริงจั้งไหมมานานหลายปี เหมือนจะตัวใหญ่ขึ้นมากเหมือนกัน
ชายชุดขาวทั้งสองถูกงูหลามแรดยักษ์จับโยนไปมาไร้หนทางสู้ ท้องไส้ปั่นป่วนมึนงงไปหมด แต่กลับไม่อาจอาเจียนออกมาได้ ยิ่งทำให้รู้สึกแย่กว่าเดิมไปอีก
จอมยุทธ์ที่ได้รับความเคารพบนแดนเมฆาสวรรค์ ไม่คิดเลยว่ามาดินแดนระดับต่ำจะถูกทำให้อับอายขายขี้หน้าได้เช่นนี้ ทั้งยังไม่อาจต่อต้านอะไรได้อีก
ไม่รู้ว่าไอ้งูหลามยักษ์ตัวนี้จู่ ๆ โผล่มาจากไหนกันแน่!
เหมือนมันจะโยนคนจนเบื่อแล้ว งูหลามแรดยักษ์จึงพ่นลมหัวเราะเยาะออกมา ใช้หางรัดเล็กน้อย ได้ยินเสียงเป๊าะดังขึ้นสองครั้ง คอของคนทั้งสองถูกหักออกแยกจากร่าง ส่วนร่างก็แหลกเละผิดรูปจากแรงรัดจนกลายเป็นก้อนเนื้อชุ่มเลือดไป จากนั้นมันก็โยนซากศพทั้งสองทิ้งไปที่กองหินข้าง ๆ
ลวี่จียิ่งหน้าซีดกว่าเก่า เป็นอสูรวิญญาณที่ทรงพลังนัก!
นางเริ่มไม่มั่นใจว่าวันนี้จะรอดออกไปได้หรือไม่ แต่นางรับปากกับนายท่านไว้แล้วว่าจะปกป้องคุ้มครองชิงอวี่ให้ปลอดภัย
นัยน์ตาเย้ายวนของลวี่จีฉายแววเด็ดเดี่ยว ก่อนจะเคลื่อนตัวไปบังชิงอวี่ไว้ เตรียมพร้อมป้องกันการโจมตีจากงูหลามแรดยักษ์ตัวนั้น
หากแต่เด็กสาวด้านหลังกลับหัวเราะเสียงเบาขึ้น “เอาล่ะไหมไหม กลับร่างได้แล้ว ทำไมต้องเล่นเสียโชกเลือดเช่นนั้น? เห็นหรือไม่ว่าทำพี่สาวคนงามตกใจไปหมดแล้ว?”
ลวี่จีได้ยินแล้วยังไม่เข้าใจ แต่ก็เห็นงูหลามแรดยักษ์ค่อย ๆ หดเล็กลง
จากนั้นแสงสีทองก็ส่องสว่าง ไม่เห็นงูหลามน่าผวานั่นอีกต่อไป แต่กลับมีเด็กหนุ่มผมทองร่างสูงยืนอยู่แทนที่ บนริมฝีปากประดับด้วยรอยยิ้ม เหมือนเด็กหนุ่มหล่อเหลาที่เชื่ออกเชื่อฟังคนหนึ่ง
แล้วยิ่งตอนที่ชิงอวี่เรียกเขามา เขาก็ยอมก้มหัวให้เด็กสาวขยี้หัวเล่นแต่โดยดี นัยน์ตาสีเงินและทองดูประหลาดตาทอประกายอบอุ่น ดูอ่อนไหวเป็นพิเศษ
เป็นภาพน่ารัก มองแล้วอดหน้าแดงไม่ได้
ใครจะไปคิดว่าเด็กหนุ่มท่าทางน่ารักไร้พิษภัยเช่นเขา แท้จริงคืองูหลามแรดยักษ์ที่เพิ่งสังหารคนไปสองคนเมื่อพริบตาก่อนได้?
ลวี่จีเปลี่ยนสีหน้าไปมา ก่อนจะเอ่ยเสียงไม่อยากเชื่อขึ้น “เขา…..”
ชิงอวี่ยิ้มตอบคำ “เขาเป็นจิตวิญญาณอาวุธของข้า ร่างจริงคืองูหลามแรดยักษ์ทองคำ ดูสง่าผ่าเผยไม่ใช่น้อยเลยว่าไหม?”
จั้งไหมย่อมไม่เผยกายต่อหน้าคนโดยง่าย และคนที่เคยเห็นส่วนมากก็คนตายทั้งสิ้น ทว่าลวี่จีเป็นลูกน้องโหลวจวินเหยา นางจึงเห็นนางเป็นมิตร ให้นางเห็นเขาเช่นนี้นับว่าไม่เป็นไร
ลวี่จีได้ยินก็ยิ่งตกใจ “จิตวิญญาณอาวุธที่มีร่างอสูรวิญญาณเป็นของตนเองหรือ?!”
นางไม่เคยได้ยินเรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้มาก่อน!
“ถึงจะฟังดูไม่น่าเชื่อแต่ก็เป็นเรื่องจริง เขา…..” ชิงอวี่ขยี้หัวเขาอีก “เป็นจิตวิญญาณอาวุธที่มีร่างอสูรวิญญาณเป็นของตนเอง”
ลวี่จีใช้เวลาทำความเข้าใจอยู่นานก่อนจะสรุปความได้
สตรีที่นายท่านหมายตาย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอยู่แล้ว
เมื่อชายชุดขาวทั้งสองสิ้นใจไปแล้ว เสียงร้องจากในถ้ำจึงค่อย ๆ เบาลงไป
ชิงอวี่เดินเข้าไปด้านในช้า ๆ สองตามองรอบข้าง กลับไม่พบร่องรอยของอสูรวิญญาณใด
นางอดประหลาดใจไม่ได้ แล้วเสียงมาจากไหนกัน?
ในตอนที่กำลังสงสัยอยู่นั้นก็มีบางอย่างค่อย ๆ เหินลงมาตรงหน้า ทำให้นางเบิกตากว้าง
เป็นหงส์ไฟขนาดใหญ่ที่ลำตัวสีแดงก่ำดั่งเลือด ลำตัวยาวหลายสิบเมตร ร่างใหญ่โตของมันกินพื้นที่เกือบทั้งถ้ำ ร่างดูรางเลือน เหมือนจะอยู่ในสถานะวิญญาณ ราวกับว่าลมหอบหนึ่งก็ทำให้มันสลายไปได้
มันดูอ่อนกำลังเต็มทน ดวงตายังไม่อาจลืมขึ้นได้ แต่พอชิงอวี่เข้าไปใกล้ มันก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เผยให้เห็นลูกตาสีทองงดงาม
ปกติแล้วอสูรวิญญาณจะระแวดระวังกับมนุษย์ เต็มไปด้วยความเกลียดชังและรังเกียจ แต่ไม่รู้ทำไม เจ้าหงส์ไฟกลับไว้ใจชิงอวี่มาก นางเข้าไปใกล้มันมันยังไม่แม้แต่จะขยับร่าง นัยน์ตาสีทองจ้องมายังนางท่าทางอบอุ่นอ่อนโยน
“เป็นอะไรหรือไม่?” ชิงอวี่ถามเสียงเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทางของหงส์ไฟดูอ่อนแรงนัก
“ขอบคุณมาก” หงส์ไฟอ้าปากกล่าว เป็นสุ้มเสียงสตรีอ่อนโยนดังออกมา
อสูรวิญญาณระดับ 8 ขึ้นไปจะสื่อสารภาษามนุษย์ได้ ชิงอวี่จึงไม่ตกใจอะไร
อีกทั้งไหมไหมยังบอกว่ามันไม่ใช่อสูรวิญญาณธรรมดา แต่เป็นอสูรวิญญาณขั้นสุดยอดที่เรียกได้ว่าเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ มีพลังทำลายล้างสะท้านสวรรค์
“ทำไมเจ้าถึงอ่อนแอเช่นนี้ได้? ร่างเดิมของเจ้าเล่า? ตอนนี้เจ้าอ่อนแรงมาก หากไม่รีบกลับร่างเดิม อีกไม่นานเจ้าก็จะ” ชิงอวี่เอ่ยหน้าเครียด
หงส์ไฟส่ายหน้าตอบน้อย ๆ “เวลาของข้าหมดลงไปแล้ว แต่ข้ารั้งอยู่ที่นี่เพื่อทำหน้าที่ให้สำเร็จ ในเมื่อท่านมาแล้ว หน้าที่ของข้าก็นับว่าจบลงแล้ว”
“หน้าที่?” ชิงอวี่ถามด้วยความฉงน
หงส์ไฟไม่ตอบ ราวกับหมดกำลังไปสิ้นแล้ว ร่างใหญ่ของมันยิ่งจางลงเรื่อย ๆ ก่อนจะหายไปไม่ได้ยินแม้แต่เสียงคร่ำครวญใด
ภายในถ้ำนั้นว่างเปล่า เว้นเสียแต่วัตถุที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ที่กำลังเปล่งแสงจาง ๆ ออกมาที่มุมหนึ่งเท่านั้น
ชิงอวี่หรี่ตาลงก่อนเดินเข้าไป มันเป็นเศษวิญญาณที่จางมากจนแทบมองไม่เห็น แต่สัมผัสคุ้นเคยกลับทำให้ชิงอวี่รู้ว่ามันต้องเป็นของท่านแม่แน่
นางเก็บซากวิญญาณลงมุกฟื้นคืนวิญญาณอย่างเบามือ จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
แต่นางยังไม่ทันได้สบายใจ วางใจลงเพียงชั่วขณะหนึ่ง ร่างนางก็เกร็งขึ้น สัมผัสเยียบเย็นเสียดแทงกระดูกพลันผุดขึ้นมาในกาย ชิงอวี่เอนร่างไปด้านหลัง หลบการโจมตีได้อย่างทันท่วงที
นางกลิ้งตัวหลบแล้วเห็นคนผู้หนึ่งสวมชุดดำทั้งตัวหลบอยู่ในมุมมืดอย่างสมบูรณ์ เขาจงใจกดกลิ่นอายตน นางจึงไม่ทันสังเกตเห็น
ไม่รู้ทำไม ชิงอวี่รู้สึกว่าเคยเห็นคนเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งการแต่งกายแบบนั้นมันคุ้นตานัก…..
ทันใดนางความคิดทั้งหลายก็หยุดลง นางพลันนึกขึ้นได้!
คนผู้นี้สวมผ้าคลุมดำคล้ายกับสตรีหน้าตาอัปลักษณ์ที่นางประมือเข้าที่หอคอยกั้นวิญญาณแคว้นชิงหลาน
ทั้งสองก็แต่งตัวชุดดำตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นนี้ อีกทั้งยังมีกลิ่นอายชั่วร้ายเหมือนกันอีก
ดูท่าชายชุดขาวทั้งสองที่ตายไปแล้วจะมีสหายร่วมกลุ่มที่ซุ่มรอโจมตีอยู่อีก คอยจับตามองพวกนางทุกฝีก้าว
จุดประสงค์ของพวกเขา….. คงจะเหมือนกันกับนางกระมัง!